บทที่ 3
“ผมว่าเมื่อคุณมีเงินขนาดนั้นแล้วจะซื้อเสื้อสักกี่ชุดก็ย่อมได้ จะเดินทางไปไหนหรือหาความสุขใส่ตัวยังไงมันก็ย่อมได้ทั้งนั้นนะครับ อยากทำอะไรทำเลยครับเอ็ดดี้” ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เอลิสันก็เดินย้อนกลับเข้ามาในห้อง
“ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่แม่สามารถจะทำได้ด้วยนะคะ” เด็กสาวสอดขึ้น เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเท้าแขนเก้าอี้ตัวที่เอ็ดดี้กำลังนั่งอยู่ “หลังจากที่หนูวางสายจากคุณนายแวน โดเรน แล้ว หนูก็มาคิดว่าแม่น่าจะตั้งร้านรับซ่อมเก้าอี้พร้อมทั้งขายผ้าม่าน ผ้าทำเบาะเก้าอี้อะไรก็ตามแต่ได้ด้วย ทำให้มันเป็นธุรกิจขึ้นมาจริงๆเลย แถวนี้ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น ว่าแม่มีฝีมือในเรื่องนี้ขนาดไหน”
เป็นเจ้าของกิจการของตัวเองอย่างนั้นรึ เอ็ดดี้ครุ่นคิดถึงคำแนะนำของลูกสาวอยู่ แต่แล้วก็ส่ายหน้า
“ถ้าทำอย่างนั้นเราก็ต้องหาร้านในเมือง แล้วก็ยังต้องมานั่งทำงานอยู่แต่ในร้านทั้งวัน ทั้งที่แม่ชอบงานกลางแจ้งมากกว่า เพราะมันท้าทายความสามารถดี สำหรับเรื่องการท่องเที่ยวนั้นมันก็มีอยู่หลายแห่งที่แม่อยากจะไปแต่...” เธอถอนใจเบาๆ ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีความสุขหรือความสนุกหรือไม่ถ้าจะต้องเดินทางท่องเที่ยวแต่เพียงลำพัง ความสุขเมื่อครั้งที่ไปแค้มปิ้งกันในบริเวณเทือกเขาแบล๊คเมาเท่นในภาคใต้ของดาโกต้าคงจะผลุดขึ้นมาเตือนความจำอยู่ไม่รู้วาย
“มันยังไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตัดสินใจตอนนี้นี่ครับ” เจอรี่ว่า
“นั่นสิ และอีกประการหนึ่งฉันก็ไม่อยากตัดสินใจในเรื่องอะไรอย่างใจเร็วด่วนได้นักหรอก” เธอยิ้มให้ลูกเลี้ยงอย่างมั่นใจ
“ถ้าคุณทำอย่างนั้นผมเองก็คงจะแปลกใจมากเชียวละครับ เอ็ดดี้”เจอรี่กล่าวก่อนจะลุกขึ้นยืน “ถึงเวลาทำงานแล้วผมเห็นจะต้องออกไร่เสียที”
นับแต่วันที่เขาถูกปลดประจำการจากกองทัพเรือเจอรี่ได้ไปทำงานที่ไร่ผสมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อที่ในการปลูกพืชมากมายหลายเอเคอร์ และยังมรทุ่งเลี้ยงปศุสัตว์ด้วย
“ฉันดีใจนะที่เธอปลีกตัวจากงานที่ทำอยู่มาคุยกับเราและอยู่พบกับทนายความด้วย” เอ็ดดี้ว่า
“มันไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะว่าพักนี้ฝนตกหนักผมเลยไม่ค่อยอยากออกไร่เท่าไรนัก ก็เลย...” เขายักไหล่ ไม่ได้พูดต่อจนจบ
“เออ พูดถึงเรื่องงาน” เอ็ดดี้หันไปมองทางลูกสาว “เรายังจะต้องให้อาหารม้าด้วยนะนี่”
“ค่ะ แล้วก็ยังต้องทำความสะอาดคอกด้วย” เอลิสันพูดขรึมๆ “หนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”
“นั่นสิ แม่ก็จะไปอยู่เหมือนกัน” เอ็ดดี้เหลือบมองดูชุดสีน้ำตาลที่สวมอยู่
เจอรี่ซึ่งเดินเกือบจะถึงประตูบ้านอยู่แล้วหันมาบอกว่า
“เอาเป็นว่าผมจะมาวันอาทิตย์ก็แล้วกันนะครับ นอกเสียจากว่าเขาจะโกยฟางกันวันนั้น”
“เรากินอาหารกันตอนบ่ายโมงตามปรกตินะ” เอ็ดดี้บอกก่อนจะเดินตามเอลิสันขึ้นไปชั้นบน
เอ็ดดี้เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนของลูกสาว หลังจากที่เจอรี่ขับรถออกไปจากบ้านแล้ว มองดูเอ-ลิสันหยิบกางเกงยีนส์ตัวเก่ากับเสื้อเชิ้ตออกมาจากตู้เสื้อผ้า บางครั้งเธอก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าอีก 2 เดือนลูกสาวจะอายุเต็ม 18 แล้ว
“แม่จะเอาอะไรหรือคะ” เอลิสันเงยหน้าขึ้นมอง
“คือแม่กำลังคิดอยู่ว่า...” เธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ แต่แล้วก็คิดว่าพูดออกไปตรงๆเลยจะดีกว่า “หนูอยากจะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยไหมล่ะลูก เอลิสัน”
“หนูคิดว่า เราเคยพูดกันถึงเรื่องนั้นมาแล้วนะคะ” สีหน้าของเด็กสาวเหมือนจะเยาะหยันตัวเอง
“แม่รู้ว่าเราเคยพูดกันตอนที่ลูกเรียนจบชั้นมัธยมมา แต่...” เอ็ดดี้อึ้งไป “คือแม่อยากจะให้แน่ใจว่าการที่หนูปฏิเสธเพราะหนูไม่อยากจะเรียนต่อเอง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพ่อกับแม่ไม่มีปัญญาส่งเสียหนูได้ ตอนนี้แม่ก็มีเงิน”
“โอย ไม่เอาหรอกค่ะแม่” เอลิสันขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หนูไม่อยากเรียนต่อระดับนั้นจริงๆ หนูไม่เคยคิดอยากจะได้ปริญญาเลย คงเหมือนพ่อมังคะไม่อยากได้อะไรไปมากกว่าการมีบ้านดีๆ อยู่สักหลังแล้วก็สร้างครอบครัวของตัวเองขึ้น”
“แม่ว่าพูดอย่างนี้มันก็ออกจะไม่ใคร่ยุติธรรมสำหรับพ่อนะ” เอ็ดดี้ทักท้วง เพราะรู้ว่าโจพยายามหาเวลาเรียนพิเศษในตอนค่ำ เพื่อส่งเสริมฐานะทางสังคมของตนเองอยู่เสมอ
“ต้องใช่สิคะแม่” เอลิสันยืนกราน “หนูรู้ซึ้งถึงเหตุผลที่ว่าเพราะอะไรพ่อถึงไม่เคยพูดเกี่ยวกับสิ่งที่พ่อคิดประดิษฐ์ขึ้นเลย เพราะพ่อไม่อยากให้ใครเขามามองพ่ออย่างที่พ่อไม่ได้เป็น พ่อเจียมตัวว่าเป็นเพียงแค่ช่างเครื่องคนหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้จะมีฝีมือดีสักแค่ไหน ก็ยังเป็นแค่ช่างเครื่องอยู่นั่นเอง และพ่อก็ไม่เคยรู้สึกอับอายที่ตัวเองจะเป็นได้เพียงแค่นั้นด้วย แล้วหนูจะต้องไปอายใครล่ะคะ”
“แต่นั่นมันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่จะมาอธิบายว่า เพราะเหตุใดเขาถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังหรอกนะลูก” เอ็ดดี้ยังคงครุ่นคิดถึงคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจไม่เว้นวาย
“นี่แม่ยังมองไม่เห็นอีกหรือคะว่า สมมติว่าพ่อเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง มันก็เป็นธรรมดาใช่ไหมล่ะที่แม่จะต้องภาคภูมิใจในตัวพ่ออย่างมาก แล้วก็ต้องเอาไปเล่าให้ใครต่อใครฟังต่อๆไป แม่ลองนึกดูสิคะว่ามันอาจจะมีใครสักคนหนึ่ง อย่างเช่นยายคุณนายแวน โดเรน นั่นก็ได้ที่จะต้องเริ่มพูดจาถึงเรื่องพ่อ จะต้องแสดงความชื่นชมว่าพ่อช่างเป็นคนเก่งเสียเหลือเกิน ซึ่งเรื่องอย่างนี้พ่อทนไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพ่อไม่ใช่คนประเภทชอบเรียกร้องความสนใจจากใครอยู่แล้ว”
“นั่นสิ บางทีหนูอาจจะพูดถูกก็ได้” เอ็ดดี้ถอนใจเบาๆ มองเห็นเหตุผลในสิ่งที่ลูกสาวกำลังพูดอยู่
ในชุมชนเล็กที่อยู่ในรัฐอิลลินอยส์เช่นนี้ งานที่โจทำขึ้นมาย่อมต้องนับว่าเป็นข่าวใหญ่ทีเดียว และโจก็คงไม่สามารถอดทนต่อคำสรรเสริญเยินยอหรือการแสดงความชื่นชมในความสามารถของตนที่เพื่อนบ้านทั้งหลายจะแสดงต่อเขาได้ และถึงแม้ว่าเขาจะมีคุณสมบัติของความเป็นผู้ชายอยู่มากมายหลายประการ เอ็ดดี้ก็เคยรู้เห็นอยู่แล้วว่า บางครั้งงานง่ายๆ เช่นการเลี้ยงลูกสักคนให้เติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มใหญ่กลับเป็นสิ่งที่เขาทำไม่ได้เอาจริงๆ
“แม่ดูหนูสิคะ” เอลิสันพูดต่อ “หนูคิดว่าตัวเองมีความสามารถในการเลี้ยงสัตว์ การฝึกม้าอะไรทำนองนั้นมากกว่า” เด็กสาวโยนกระโปรงที่ถอดออกไปไว้บนเตียงและหยิบกางเกงยีนส์ขึ้นมาสวมแทน “หนูรู้ค่ะว่าครั้งหนึ่งแม่พูดว่าหนูควรจะเป็นสัตวแพทย์ แต่แม่ก็ควรจะต้องรู้อีกด้วยว่าหนูไม่สามารถจะอดทนเรียนเกี่ยวกับเรื่องกาย-วิภาคได้ ชื่อเชื้อโรคบางตัวยังอ่านไม่ค่อยถูกเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสะกดชื่อมันหรอก” เด็กสาวพูดปนหัวเราะ
“ตอนนี้หนูพอมีเงินนะคะแม่ มันก็เป็นเงินที่ได้จากการขายลูกนังเฟียสต้า แล้วก็รับจ้างทำงานตอนฤดูร้อนที่ผ่านมานี่ เพราะฉะนั้นหนูก็สามารถจะไปยื่นใบสมัครเพื่อฝึกการแสดงโชว์บนหลังม้าตอนฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ได้แล้วล่ะค่ะ นอกจากนั้น หนูก็ยังอาจจะหาเงินพิเศษจากการรับตอกเกือกม้าที่เรารับจ้างเขาเลี้ยงได้อีกด้วย”
“ฟังหนูพูดมาทั้งหมดแล้วแม่ก็คิดว่า สิ่งหนึ่งที่เราแน่ใจได้ก็คือเราคงไม่มีทางหนีเรื่องม้าพ้นแน่เลย” เอ็ดดี้พูดยิ้มๆ
“ใช่ค่ะ” เอลิสันเห็นด้วย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นนั้นมันมีแววเลศนัยบางอย่างปรากฏอยู่ในดวงตาคู่สีน้ำตาล “เรามันพวกบ้าม้านี่คะ พ่อเองก็รักม้ามากด้วย” มันมีแววเศร้าแฝงอยู่ในรอยยิ้มของเด็กสาวก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นกว่าเดิม “ทั้งที่เราไม่สามารถจูงใจให้พ่อขึ้นหลังม้าสักตัวได้ก็เถอะ”
“จริงด้วยลูก”
“หนูว่าแม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวเสียก่อนไม่ดีหรือคะ” เด็กสาวเอื้อมไปหยิบรองเท้าบู๊ทออกมาสวม “หนูอยากจะเอาลูกของนังเฟียสต้าเข้าเชือกบ่วงเสียก่อน อยากให้แม่ช่วยหน่อย”
“แป๊ปเดียวเท่านั้นแหละจ้ะ” เอ็ดดี้ว่าก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องของเธอ
มันออกจะตลกที่เธอยังเห็นเอลิสันเป็นเด็กอยู่เสมอทั้งๆที่ตอนที่เธอแต่งงานกับโจนั้นอายุยังน้อยกว่าลูกสาวตอนนี้สัก 2-3 เดือนเห็นจะได้ เอ็ดดี้เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดเก่าออกมา เธอได้บริจาคเสื้อผ้าของโจให้กับทางโบสถ์ไปทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีเสื้อผ้ามากมายอะไร แต่เป็นเพราะส่วนใหญ่ เขาจะสวมชุดหมีที่ใช้ในเวลาทำงานมากกว่า กลิ่นน้ำมันที่ติดมากับเสื้อผ้ายังกรุ่นอยู่ในอากาศ เอ็ดดี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักเท่าไหร่ กว่าที่กลิ่นนั้นจะจางหายไป