ไร่รักเริงฝัน

79.0K · ยังไม่จบ
Readed
36
บท
550
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

โจเซฟ กิ๊บส์ แต่งงานกับ เอ็ดดี้ ตั้งแต่หล่อนเพิ่งเรียนจบได้เพียงอาทิตย์เดียว ซึ่งขณะนั้นเขามีลูกชายอายุ 5 ขวบติดมาแล้วคนหนึ่ง ต่อมาหล่อนก็มีลูกสาวกับเขาอีกคน ทั้งสองคนนั้นคือ เจอรี่กับเอลิสัน ซึ่งต่างก็มีความรักต่อกันเสมือนพี่น้องแท้ๆ เมื่อเจอรี่อายุย่าง 24 และ เอลิสันอายุจวน 18 ปีเต็ม โจเซฟก็ตายจากไป เขาได้ทิ้งมรดกที่ทุกคนมิได้คาดฝันไว้กับครอบครัวของเขา ในจำนวนเงินที่ทุกคนจะมีความสุขสบายอีกหลายปี ลูกๆต่างพร้อมใจกันให้เอ็ดดี้มีสิทธิในการใช้เงินจำนวนนั้นตามแต่หล่อนจะต้องการ แล้วความสุขเมื่อครั้งหล่อนเดินทางไปเที่ยวในบริเวณเทือกเขาแบล๊คเมาเท่นในภาคใต้ของดาโกต้าก็ผลุดขึ้นมาจากความทรงจำของหล่อน...

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันแต่งงานสายฟ้าแลบรักหวานๆดราม่าโรแมนติก

บทที่ 1

ความรู้สึกตกใจยังกระจายอยู่ทั่วเรือนร่าง เมื่อเอ็ดดี้ กิ๊บส์ จ้องมองดูเช็คที่ถือค้างอยู่ในมือ สมองดูจะไม่ยอมรับในจำนวนเลขที่ระบุไว้ในเช็คใบนั้นเอาเสียเลย ยกมือขึ้นลูบคลำตรงขมับด้วยท่าทางงงๆ

“ฉัน...ฉันยังไม่เข้าใจในเรื่องที่คุณกำลังพูดอยู่เลยค่ะ คุณเว้นท์เวิร์ธ” เธอเพิ่งหาเสียงตัวเองพบและดูมันห้วนห้าวอย่างไรพิกล มองหน้าทนายความที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่สามีเคยนั่งเป็นประจำ “ตอนที่คุณโทรศัพท์มาแล้วก็บอกว่าอยากจะพูดเกี่ยวกับเรื่องการเงินของเรา ฉันคิดว่า...” เธอเปล่งเสียงหัวเราะปร่าๆ “คุณก็คงทราบดีนะคะว่าฉันต้องใช้เงินทุกเหรียญที่มีอยู่ในบ้านจัดงานศพเขา แล้วก็กำลังคิดอยู่ว่า จะทำยังไงดีถึงจะรักษาบ้านหลังนี้ไว้ตลอดไปได้ ฉันคิดว่าคุณจะบอกว่า เรามีหนี้สินอยู่มากมายมหาศาลแค่ไหนเสียอีก แต่นี่มัน...” เธอก้มลงมองเช็คในมือแล้วก็เหลือบตาขึ้นมองหน้าทนายความผู้นั้นอีกครั้ง “นี่มันเรื่องจริงหรือคะ”

“ขอรับรองเลยครับว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ” ความรู้สึกที่ว่าเขาเป็นผู้นำข่าวดีมาบอก ทำให้น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“แต่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะคะว่า โจเขาไปทำประกันอะไรไว้ที่ไหน” เอ็ดดี้จ้องมองดูเอกสารที่ระบุตัวเลขจำนวนไม่น้อยนั้นอยู่ “ที่จริงเราก็เคยพูดเรื่องนี้กันมานานเต็มที เพียงแต่ไม่สามารถจะเจียดเงินไปเป็นค่าเบี้ยประกันได้เท่านั้น” ซึ่งนั่นก็เท่ากับมีอีกคำถามหนึ่งตามมา เธอมองหน้าทนายอย่างใคร่รู้และแปลกใจระคนกัน “แล้วโจเขาไปหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเบี้ยประกันนั่นล่ะคะ”

“ผมก็กำลังคิดจะพูดเรื่องนั้นอยู่พอดีทีเดียวครับ” เขาเปิดกระเป๋าเอกสารหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมา

“ขอหนูดูหน่อยได้ไหมคะแม่” ลูกสาวของเธอเอื้อมมาดึงเช็คไปจากมือ เอ็ดดี้จึงหันมาให้ความสนใจกับเอกสารที่ทนายความกำลังหยิบออกมาส่งให้ เธอเพียงแต่พลิกๆดูเท่านั้น เพราะไม่ใคร่เข้าใจข้อความที่เขียนขึ้นเป็นภาษากฎหมายเท่าไรนัก

“ก็แล้วทั้งหมดนั่นมันหมายความว่ายังไงล่ะคะ” อีกครั้งหนึ่งที่ดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มบ่งบอกความสับสนในใจ

“ผมคิดว่าสามีของคุณต้องทำงานหนักมากเลยละครับ” ทนายความเอ่ยขึ้น

“เรื่องนั้นมันก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วนี่คะ” เอ็ดดี้หัวเราะเบาๆ “ปรกติโจจะใช้เวลาแทบจะทุกนาทีขลุกอยู่แต่ในโรงงานเล็กๆของเขาอยู่แล้ว พอกลับมาจากอู่ซ่อมรถยนต์เขาก็จะอาบน้ำ กินอาหาร แล้วก็หายตัวเข้าไปอยู่ในนั้น จะกลับออกมาอีกทีก็ตอนถึงเวลานอนนั่นแหละ” น้ำเสียงที่เล่ามิได้บอกถึงความไม่พอใจในพฤติกรรมของสามีแต่อย่างใด เพราะมันเป็นกิจวัตรประจำวันที่เธอยอมรับมานานแล้ว “เขารักงานจริงๆเลยค่ะ”

“และมันก็เป็นความรักที่นำประโยชน์มาให้ได้มากที่สุดด้วย เอกสารทั้งหมดนี่คือสิ่งประดิษฐ์ที่เขาไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้ มีบางรายการที่สามีของคุณได้ขายให้กับโรงงานผลิตรถยนต์ในดีทรอยท์” จอห์น เว้นท์เวิร์ธ อธิบายช้าๆ

“ลิขสิทธิ์หรือคะ” เอ็ดดี้มีความรู้สึกว่าอาการงุนงงนั้นคงจะไม่มีวันหายไปได้ง่ายๆแน่ ทุกคำพูดของทนายความผู้นี้ฟังดูมันช่างไร้เหตุผลเอาเสียจริงๆ “โจไม่เคยร่ำเรียนถึงระดับปริญญาเสียด้วยซ้ำ” และความที่เป็นคนมีความรู้น้อยนี้ทำให้รู้สึกไม่อยากเผชิญหน้ากับใคร และเพราะสิ่งนี้อีกเช่นกันที่ทำให้เขาหางานอื่นทำไม่ได้ นอกจากเป็นช่างเครื่องที่อู่ซ่อมรถยนต์ อันเป็นงานที่เขามีความชำนาญเป็นพิเศษ เพียงแต่ไม่ใคร่รู้สึกภูมิใจกับมันเท่าไรนัก “อันที่จริงเขาก็เคยใช้ความพยายามอยู่เหมือนกันนะคะ หาโอกาสเรียนพิเศษเสมอถ้าทำได้ แต่...” เธอปล่อยประโยคคำพูดให้ทิ้งค้างอยู่เพียงแค่นั้น

“ครับ ถึงแม้ว่าสามีของคนจะเป็นคนมีความรู้น้อยอย่างที่ว่า แต่งานที่เขาใช้ประสบการณ์คิดประดิษฐ์ขึ้นนี่มันก็เป็นยิ่งเสียกว่าสิ่งชดเชยอีกนะครับ” ทนายความกล่าวด้วยน้ำเสียงรับรองแข็งขัน “สำหรับเงินค่าที่เขาขายลิขสิทธิ์ไป มันเป็นจำนวนมากพอที่จะทำให้คุณอยู่ได้สบายไปอีกหลายปีทีเดียวคุณนายกิ๊บส์ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ผมก็ยังมีสัญญาของอีกสองบริษัท ที่ยินดีจะขอซื้อลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์ที่เขาคิดขึ้นไว้อีกหลายอย่างทีเดียวละครับ

ข่าวที่ตนเองกำลังได้รับอยู่มันเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะคาดคิดไว้ และอาการเงียบงันของทั้งลูกสาวกับลูกเลี้ยงที่เป็นผู้ชาย ก็บอกให้รู้ว่าทั้งสองคนต่างไม่อยากเชื่อในเรื่องที่ทนายความกำลังเล่าให้ฟังอยู่เลย

“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละค่ะ” เอ็ดดี้ส่ายหน้าอยู่ไปมา เรือนผมสีน้ำตาลเข้ามปัดอยู่กับช่วงไหล่ “ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรโจถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเลย”

“ผมเองก็เห็นจะตอบคำถามของคุณไม่ได้หรอกครับ” จอห์น เว้นท์เวิร์ธถอนใจเบาๆ “ผมรู้เพียงแต่ว่าโจเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้อายและไม่ใคร่แน่ใจในความสามารถของตัวเองเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเรื่องงานประดิษฐ์ต่างๆนี่แล้ว แทบไม่อยากให้ใครเห็นเสียด้วยซ้ำ ทำอย่างกับว่ามันเป็นสิ่งผิดกฎหมายอย่างนั้นแหละ ดูเหมือนเขามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าไม่ยอมให้ใครเห็นในสิ่งต่างๆ ที่เขาทำขึ้นเลยด้วยซ้ำนะครับ”

“แล้วเขาก็เอาเงินจากการขายลิขสิทธิ์นั่นเอง ไปจ่ายเงินค่าประกันชีวิตใช่ไหมคะ” เอ็ดดี้อยากจะให้ทนายความเว้นท์เวิร์ธได้ยืนยันในสิ่งที่เขาพูดมาอีกครั้ง

“ต้องเรียกว่าส่วนใหญ่ถึงจะถูกครับ” เว้นท์เวิร์ธพยักหน้า “ดูเหมือนเขามีเจตนาที่จะให้คุณได้เป็นผู้รับผลประโยชน์ในเรื่องนี้แต่ผู้เดียว ก็เท่ากับเป็นการทำพินัยกรรมไว้ล่วงหน้านั่นแหละครับ” เขาหยิบเอกสารอีกปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าส่งให้เอ็ดดี้ “ในนี้คือการสรุปเรื่องทั้งหมดไว้ รวมทั้งรายได้ประจำปีที่คุณจะได้รับขณะที่สัญญายังมีอายุอยู่ครับ”

เขาโน้มร่างเข้ามาอ่านพร้อมกันกับเธอ เอ็ดดี้มองตามปลายนิ้วที่ไล่ไปตามหัวข้อต่างๆ แต่กระนั้นเธอก็ยังรู้สึกคล้ายกับว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงอยู่ดี มันเป็นข่าวที่ดีมากจนไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้เลย

เอ็ดดี้มีความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกอยู่ในความฝัน ผิวหน้าที่ค่อนข้างคล้ำนั้นยังเผือดอยู่ด้วยความตกใจ แม้ว่าวัยของเธอจะล่วงไปแต่ก็ยังรักษารูปร่างของตัวเองไว้ได้เหมือนสาวรุ่น ทนายเว้นท์เวิร์ธอดคิดไม่ได้ว่าเธอยังสาวเกินกว่าที่จะต้องมาเป็นแม่หม้าย หรือมีลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว แต่จะอย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้ออกจะสวยมาก สวยเกินกว่าที่จะเป็นภรรยาของนายช่างทึ่มๆเช่น โจเซฟ กิ๊บส์ อย่างแน่นอน

“ผมขออนุญาตแนะนำสักหน่อยนะครับคุณนายกิ๊บส์” เขาเอ่ยขึ้น “ผมจะทิ้งเอกสารเหล่านี้ไว้ให้คุณอ่านสักสองวัน ผมเชื่อว่าหลังจากที่อ่านจนตลอดแล้ว คุณก็จะต้องมีคำถามที่จะถามผมอย่างแน่นอน สิ่งที่เราควรจะพูดถึงกันอย่างที่สุดก็คือ การเอาเงินที่คุณมีอยู่ไปลงทุนเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับอนาคตนะครับ”

“ค่ะ ฉันเองก็ต้องการเวลาสักสองสามวัน ที่จะใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน” เอ็ดดี้คล้อยตามอย่างมึนงง และทำท่าจะลุกขึ้น

“เดี๋ยวผมไปส่งคุณทนายเองดีกว่าครับ เอ็ดดี้” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมอาสาขึ้น

ตอนที่ประตูปิดตามหลังทนายความผู้นั้นลง ความสับสนวุ่นวายในสมองเริ่มคลายลงบ้างแล้ว แต่กระนั้นเอ็ดดี้ก็ยังงุนงงกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นอยู่ดี ทันทีที่มีเสียงฝีเท้าเดินกลับมาเธอก็เงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือ

“เธอเคยรู้เรื่องพวกนี้บ้างหรือเปล่าเจอรี่” มันน่าจะเป็นไปได้เพราะลูกเลี้ยงของเธอมักจะเข้าไปช่วยพ่อทำงานในโรงงานเล็กๆส่วนตัวในวันหยุดเสมอ เธอมองหน้าที่บ่งบอกถึงความซื่อสัตย์สุจริต เช่นเดียวกับพ่อของเขาอย่างสงสัย เจอรี่จะแปลกกว่าโจเซฟอยู่บ้างก็ตรงที่ประกายในดวงตาคู่นั้นมีแววร่าเริง สดใส ริมฝีปากพร้อมจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม และเรือนผมสีน้ำตาลทรายหยิกหยองก็ทำให้เขาดูหล่อไปอีกแบบหนึ่ง

“ผมเคยรู้ว่าพ่อเคยคิดประดิษฐ์อุปกรณ์บางอย่างที่สามารถนำมาใช้กับรถยนต์ได้อยู่ แต่สำหรับเรื่องนั้นไม่รู้เลยครับ” เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่เธอนั่ง ดึงเอกสารจากมือไปเปิดดู “ผมไม่เคยรู้เรื่องการจดทะเบียนลิขสิทธิ์อะไรนั่นเลย”

“แม่เก็บเช็คไว้ก่อนดีกว่า” เอลิสันเอาเช็คใส่มือมารดา “หนูไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าเวลานี้เรารวยแล้ว เมื่อคืนนี้บอกตรงๆว่าหนูแทบจะนอนไม่หลับเลย กลัวว่าจะต้องขายม้าตัวหนึ่งเพื่อที่เราจะได้มีเงินไว้กินไว้ใช้กันต่อไป แต่ตอนนี้เราสามารถจะซื้อม้าทั้งคอกก็ยังได้เลย”

“สำหรับแม่น่ะ กำลังคิดจะตัดที่ดินแบ่งขายไปเสียบ้าง” เอ็ดดี้ตอบตามความรู้สึกแท้จริง “ที่จริงทุกวันนี้เราก็มีรายได้พอสมควรจากการรับจ้างเลี้ยงม้าของคนอื่นอยู่ แต่เราก็ยังมีทั้งค่าจำนองบ้าน ค่าใช้จ่ายจิปาถะแล้วยังค่าอาหารการกิน แต่ละเดือนๆมันเป็นเงินจำนวนมากจริงๆ...”