บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

“ถึงตอนนี้คุณไม่ต้องห่วงเรื่องต่างๆเหล่านั้นแล้วนี่ครับ เอ็ดดี้” ลูกเลี้ยงของเธอเป็นคนพูดสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ในใจออกมา

“ฉันรู้” เธอพูดเสียงดัง “แต่เพราะอะไรนะ เขาถึงไม่ยอมบอกให้เรารู้เรื่องบ้างเลย ทำไมพ่อของเธอถึงต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยล่ะ”

“ผมว่าพ่อเป็นคนง่ายๆมากกว่าครับ” เจอรี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่จริงคุณต่างหากที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เอ็ดดี้ คุณต้องดูแลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วก็คอยเป็นคนเก็บเงินไว้เวลาที่เราอยู่ในฐานะยุ่งยาก ยังจำตอนที่ผมถูกจับเพราะกินเหล้าวันเกิดอายุ 16 นั่นได้ไหมล่ะครับ ก็คุณนั่นแหละที่ไปเจรจาให้ผู้พิพากษาปล่อยตัวผมออกมา”

“ก็แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเล่า” เอ็ดดี้ย้อนถาม “เธอลองคิดดูสิว่า พ่อเธอต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันตั้งเท่าไหร่ เราน่าจะได้ใช้เงินจำนวนนั้นไม่ก็บางส่วนก็ยังดี จะได้ไปพักผ่อนกันบ้างหรือไม่ก็ซื้อรถใหม่สักคัน” เธอนึกไปถึงรถบุโรทั่งที่โจต้องใช้ความพยายามอยู่ทุกเช้ากว่าจะบังคับให้มันออกวิ่งได้

“ก่อนหน้าที่ผมจะไปเป็นทหารเรือ ผมกับพ่อเคยคุยกันนิดหน่อย คุณก็รู้นะเอ็ดดี้ว่าปรกติแล้วพ่อกับผมแทบจะไม่ได้พูดจากันเลย พ่อบอกว่าสิ่งงหนึ่งที่เสียใจอยู่จนทุกวันนี้ก็คือการรีบร้อนแต่งงานกับแม่ตอนที่อายุแค่สิบหก เพราะไม่เพียงแต่ทำให้พ่อต้องหยุดเรียนลงกลางคันเพื่อที่จะหางานทำเพื่อเลี้ยงครอบครัว รวมทั้งตัวผมที่เกิดในเวลาต่อมาแล้ว แต่ยังหมายถึงพ่อต้องสูญเสียความฝันของตัวเองอีกด้วย” เจอรี่ทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ที่ทนายความผู้นั้นเพิ่งลุกจากไปพร้อมกับโน้มตัวมาข้างหน้า มือทั้งสองประสานกันอยู่อย่างใช้ความคิด

“และนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พ่อตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องให้คุณกับเอลิสันมีชีวิตอย่างเป็นสุข” ที่จริงเอ็ดดี้รู้เรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่กระนั้นการที่ลูกเลี้ยงหยิบยกขึ้นมาทบทวนให้ฟังก็ยังสร้างความอบอุ่นให้บังเกิดแก่จิตใจยิ่งนัก “พ่อเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังด้วยนะครับ”

“และสิ่งหนึ่งที่พ่อไม่ได้บอกให้คุณรู้ก็คือ...” ลูกเลี้ยงของเธอกล่าวต่อ “พ่อรู้สึกละอายใจมากที่มาแต่งงานกับคุณ”

“ละอายใจอย่างนั้นรึ” เอ็ดดี้รู้สึกแปลกใจที่ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ “ทำไมล่ะ”

“หลังจากที่แม่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ พ่อไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกตามลำพังได้ยังไง และก็พอดีตอนนั้นพ่อได้พบกับคุณ แล้วก็แต่งงานกับคุณทั้งที่คุณเพิ่งเรียนจบได้แค่อาทิตย์เดียว พ่อบอกว่าพ่อเองก็ขโมยหรือที่ถูกแย่งชิงความฝันมาจากคุณ เพราะเมื่อคุณอยู่กับพ่อแล้วคุณก็มีลูกอีกหนึ่ง มีหนี้สินที่ต้องตามใช้ ไม่มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตในวัยสาวอย่างมีความสุขเลยครับ”

“แต่โจต้องการฉันนะ เธอเองก็เหมือนกัน” เอ็ดดี้ทักท้วง “ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอยากจะได้อะไรมากไปกว่านั้นเลย”

“พ่อบอกว่าคุณกับพ่อไม่มีโอกาสแม้แต่จะไปฮันนีมูนกัน มันรบกวนใจพ่อมาตลอดเลยครับ” เจอรี่เสริม

“ทำไมจะไม่มี เราเคยไปด้วยกันครั้งหนึ่งไง เธอจำที่เราไปแค้มปิ้งกันที่แบล๊ค ฮิลล์ ได้ไหมล่ะ”

“นั่นน่ะหรือครับการฮันนีมูน”

“นั่นสิคะแม่ ฮันนีมูนอะไรกัน” เอลิสันหัวเราะน่ารัก “ตอนนั้นมีลูกติดไปด้วยตั้งสองคน ไม่เห็นมันจะโร-แมนติคตรงไหนเลย”

“ที่จริงโจเขาก็ไม่ใช่คนโรแมนติคอยู่แล้วนี่” เอ็ดดี้กล่าวแก้ มันเป็นความจริงจนเธอไม่รู้สึกว่าการพูดเช่นนั้นจะทำลายความรู้สึกอันดีที่เธอมีต่อเขาเสมอมา อีกประการหนึ่งโจก็มีคุณสมบัติอื่นที่นำมาทดแทนความไม่โรแมนติคของตัวเองได้ ใครก็ตามที่ได้รู้จักโจเซฟ กิ๊บส์ แล้วจะต้องรักเขา ซึ่งรวมทั้งตัวเธอเองด้วย ดังนั้นการพูดความจริงเกี่ยวกับตัวเขาจึงไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด

“ผมว่า ถ้าเราจะตอบคำถามที่นำมาสู่การพูดกันถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ก็เห็นจะพูดได้แต่เพียงว่าการที่พ่อทำอย่างนี้ก็เพราะว่าพ่อหวังที่จะเห็นคุณสามารถสร้างความฝันของตัวเองให้เป็นความจริงขึ้นมาเท่านั้นละครับเอ็ดดี้ พ่อเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าเผื่อไว้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา”

มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น เอลิสันผวาขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งทันที

“หนูรับเองค่ะ” พูดจบเธอก็วิ่งเข้าไปรับโทรศัพท์ในครัว ร้องบอกตามหลังมาว่า “อาจจะเป็นเคร๊กโทรมาก็ได้”

เอ็ดดี้มองตามร่างระหง ขาเรียวยาวของเด็กสาวที่วิ่งออกไปจากห้อง อย่างไม่สนใจในเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่อีก

“แกไม่ได้รับโทรศัพท์จากเคร๊กมาตั้งแต่ตอนฝังศพพ่อแล้ว” เอ็ดดี้หันไปบอกเจอรี่เป็นเชิงอธิบาย นับแต่จบการศึกษาเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา เอลิสันก็ออกเดทกับเคร๊กอย่างสม่ำเสมอ

“ที่จริงผมว่าเอลิสันไม่ควรติดต่อกับนายคนนี้อีกต่อไปแล้วละครับ” เขาพูดอย่างผู้ใหญ่มันคล้ายจะบอกให้เอ็ดดี้รู้ว่าในวัย 24 ของเขานั้น เจอรี่มีประสบการณ์ในชีวิตมากพอสมควร

“อ้าว ทำไมล่ะ”

“พ่อมีข่าวออกไปว่า เอลิสันไม่สามารถจะเรียนต่อ เกอร์เน่ย์ก็เลยหันไปควงคนอื่นที่ฐานะดีกว่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผมว่าน่าจะเลิกกันได้แล้วแต่เอลิสันคงไม่ยอมหรอก อย่าไปบอกให้แกรู้แล้วกันนะครับว่าผมพูดอย่างนี้ เอลิสันคงไม่รู้หรอกว่าลับหลังพวกผู้ชายมันคุยกันยังไง”

“ไม่บอกหรอก”

“และถ้าเคร๊กอยากจะพบกับเอลิสันอีกล่ะก้อ ช่วยบอกให้ผมรู้ด้วยนะครับ ผมมีอะไรนิดหน่อยที่จะต้องพูดกับเขา”

ไม่ต้องทายก็พอจะรู้ได้ว่า เรื่องที่เจอรี่ต้องการจะพูดกับเคร๊กนั้นเป็นเรื่องอะไร เจอรี่รักใคร่ในตัวน้องสาวคนนี้มากนับแต่วันที่เอ็ดดี้พาทารกน้อยเพศหญิงคนนี้กลับมาจากโรงพยาบาล และเด็กทั้งสองก็มีความรักใคร่กันฉันพี่น้องอย่างมากมาย ซึ่งความใกล้ชิดสนิทสนมของพี่น้องคู่นี้สร้างความปลื้มปิติให้เกิดขึ้นกับเอ็ดดี้อย่างมากมาย

“แม่คะ” เอลิสันชะโงกหน้าออกมาจากประตูครัว “คุณนายแวน โดเรน จะพูดด้วยน่ะค่ะ” เด็กสาวย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจ “เขาอยากรู้ว่าแม่จะซ่อมโซฟากับเก้าอี้พนักสูงให้เขาได้เมื่อไหร่ หนูอธิบายให้เขาฟังมาแม่มีงานยุ่งมาโดยตลอด ทั้งเรื่องงานศพพ่อและยังเรื่องอื่นๆ แต่ฟังจากที่เขาพูดแล้ว มันเหมือนกับว่าพ่อไม่น่าจะเลือกมาตายตอนนี้เลย ยายบ้านี่พูดจาไม่รู้ภาษาคนจริงๆ”

เอ็ดดี้พยายามจะไม่ถอนหายใจออกมาด้วยความรำคาญขณะเดียวกันก็นึกถึงงานที่ตนเองรับไว้และยังคั่งค้างอยู่

“บอกเขาไปว่าแม่จะทำให้เสร็จวันศุกร์ก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะ” เอลิสันหายไปจากหน้าประตูครัว

การรับซ่อมเบาะเก้าอี้นั้นเป็นงานอีกอย่างหนึ่งที่เอ็ดดี้ทำเพื่อหารายได้เข้าบ้าน เพียงแค่เงินเดือนที่โจได้รับย่อมไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในบ้าน ซึ่งบางครั้งก็ต้องตกอยู่ในสภาพชักหน้าไม่ถึงหลัง และการที่ต้องทำทั้งงานบ้าน ดูแลม้าที่รับจ้างเลี้ยงกับม้าของตัวเองและยังสวนดอกไม้อีก ทำให้เอ็ดดี้ไม่อาจเข้าไปหางานทำในเมืองได้ แต่กระนั้นเธอก็ยังอุตส่าห์หางานอื่นมาทำเพื่อช่วยสามีอีกทางหนึ่ง

“มันยังมีอะไรอีกบางอย่างที่ผมยังพูดไม่หมดเกี่ยวกับเรื่องเงินที่พ่อทิ้งไว้” เจอรี่เอ่ยต่อ “เงินจำนวนนั้นพ่อตั้งใจจะทิ้งไว้ให้คุณนะครับเอ็ดดี้ ไม่ใช่ผมหรือเอลิสัน คุณเป็นแม่เพียงคนเดียวในโลกนี้ที่ผมรู้จัก ถึงผมจะไม่ได้เรียกคุณว่าแม่ แต่คุณก็เท่ากับเป็นแม่แท้ๆของผมเสมอมา เพราะฉะนั้น ผมไม่อยากให้คุณคิดว่า เราควรจะมีส่วนในเงินนั้นกับคุณด้วย”

“แต่...” เอ็ดดี้ตั้งท่าจะทักท้วงแต่เจอรี่ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ไม่มีแต่ครับ ผมหมายความตามที่พูดจริงๆ เวลานี้คุณเพิ่งจะอายุสามสิบหกเท่านั้นนะเอ็ดดี้ แล้วคุณก็เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งจริงๆ ทางเดินในวันข้างหน้าของคุณยังอยู่อีกไกลนะครับ”

“เธอออกจะยอฉันมากไปหน่อยแล้วละ เจอรี่” เอ็ดดี้พูดยิ้ม พอขยับปากจะพูดต่อ เจอรี่ก็แซงขึ้นเสียก่อน

“พ่อต้องการให้คุณได้เงินจำนวนนี้ไว้ ผมรู้ และผมก็ขอพูดแทนเอลิสันด้วย เมื่อบอกว่าเราอยากจะให้คุณเป็นผู้ถือเงินจำนวนนี้ไว้ เรารู้ด้วยครับว่าคุณได้เสียสละเพื่อเรามามากแค่ไหน ผมอยากถามว่านานเท่าไหร่แล้วที่คุณไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆเลย” เขากลับย้อนถามในตอนท้าย

“ฉันจะซื้อไปทำไมล่ะ ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้” เธอพยายามจะพูดให้เห็นเป็นเรื่องตลก รู้ดีว่าสามีไม่ใช่คนชอบออกงานสังคมหรือไปหาอาหารกินนอกบ้าน เขาพอใจจะกินอาหารที่ทำขึ้นเองในบ้านมากกว่าจะไปซื้อกินข้างนอกแพงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel