ตอนที่ 6 เด็กหญิงดรัลดา
เรือนทรงไทยในหมู่บ้านทางเหนือ
ผู้หญิงที่ถูกเท ไม่ควรเสียเวลาไปกับการร้องไห้ฟูมฟาย อ้อนวอนให้เขากลับมา มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการมูฟออนไปไกลๆ
ภาพหลักฐานที่บ่งบอกถึงสัมพันธ์แบบลับๆ ระหว่างกิตติกับจารวีถูกวางลงบนโต๊ะให้พ่อแม่สามีได้ดูอย่างไม่ปิดบัง
กนกกับวันนีแทบเป็นลมล้มตึงเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น
บัวแก้วอยู่ฝ่ายดารารัตน์เต็มที่ เธอเล่าให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฟังถึงความอดทนของดารารัตน์ที่ผ่านมา
ทนแล้วทนอีก ให้โอกาสจนไม่รู้จะให้โอกาสยังไง ทำเป็นโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเพื่อรอให้กิตติกลับตัวกลับใจก็เหมือนเสียเวลาเปล่า ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนานขนาดนั้น ขืนยังอุดอู้อยู่ในห้องแคบๆ ปล่อยเวลาให้หมดไปวันๆ อนาคตลูกจะเป็นยังไง เธอนึกไม่ออก
“บ่าจ้าดง่าว หลงหญิงชู้หน้ามืดตามัว” กนกตบโต๊ะดังลั่น เรื่องนี้ทำคนมีหน้ามีตาให้หมู่บ้านอย่างเขารู้สึกขายขี้หน้าไม่เบา ต่อไปเวลาเจอญาติโกโหติกาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยิ่งในวงเหล้าคนคงเอามาพูดมาแซวกันสนุกปาก
“อ้ายกิตมันทำได้ยังไง แม่ไม่เคยสอนเลย เหลือเกินจริง” วันนีเป็นคนมีเหตุผล เธอไม่ใช่แม่ที่เห็นแก่ลูกชายแบบผิดๆ
ถึงอย่างไรลูกสะใภ้เองเธอก็เอ็นดูไม่ต่างจากลูกสาวแท้ๆ ไม่ใช่แค่ฐานะแม่ แต่ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เธอยิ่งเห็นใจลูกสะใภ้
ดารารัตน์ไม่เหลือใคร พ่อแม่ตาย ญาติๆ ต่างก็หนีหาย ลูกชายของเธอทำแบบนี้กับเมียได้ยังไง
“ดาวจะฟ้องอ้ายกิตหรือเปล่าลูก!”
วันนีกอดหลานแน่นขึ้น เธอพอจะมีความรู้เรื่องกฎหมายบ้าง กนกเองก็นั่งเงียบ มองหน้าหลานตัวน้อยก็พูดอะไรไม่ออกอีก
ยิ่งเด็กหญิงดรัลดายิ้มแป้นให้ทุกคนอย่างไร้เดียงสาก็เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ น้ำตาของวันนีค่อยๆ ไหลออกมา
ดารารัตน์นั่งมองพ่อแม่สามีอย่างปวดใจ เธอทำใจฟ้องร้องตามกฎหมายไม่ได้ เพราะถ้าเธอฟ้อง คนที่จ่ายเงินให้คงไม่พ้นสามีที่ต้องหาเงินให้นังเมียน้อย ไม่ว่าฟ้องชู้หรือฟ้องหย่า คนที่ต้องเดือดร้อนช่วยชดใช้ก็คงไม่พ้นพ่อแม่สามีตรงหน้า
ต่อให้กิตติมีหน้าที่การงานดี แต่ถ้าต้องจ่ายเงินค่าฟ้องทำเงินในบัญชีร่อยหรอก็คงลามปามเงินของพ่อปู่แม่ย่าอยู่ดี
แม้พวกท่านจะพอมีเงินก็ตาม แต่ก็เป็นเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต เธอไม่ต้องการแบบนั้น
พวกท่านดีกับเธอมาก หลังจากพ่อแม่ของเธอเสียชีวิต พวกท่านก็เลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนจนจบ เอ็นดูเธอ ดูแลใส่ใจเธอเหมือนเป็นลูกแท้ๆ คนหนึ่ง
ผัวเธอทำผิดแต่เพราะเขาเป็นลูกของพวกท่าน เรื่องนี้เธอจึงไม่โทษใคร แต่ก็ไม่มีวันให้อภัยเหมือนกัน
“ดาวจะหางานทำค่ะ แต่ดาวห่วงลูก ก็เลยปรึกษากับพี่บัว จึงสรุปได้ว่าต้องพึ่งใบบุญพ่อกับแม่ ดาวฝากยายรันด้วยนะคะ”
บ้านพ่อแม่สามีค่อนข้างมีฐานะ แม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ลำบาก เรื่องเลี้ยงหลานย่อมไม่รบกวนพวกท่านเกินไป
วันนีอุ้มเด็กหญิงดรัลดาไว้บนตัก กอดอย่างถนอม เด็กน้อยก็กอดย่ากลิ้งใบหน้าซุกซบไปมาอย่างออดอ้อนต้องการความอบอุ่น โดยไม่รู้สักนิดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน้อยๆ ของตนเอง
“โธ่เอ๋ย” วันนีสงสารหลานจับใจ เด็กน้อยเลือกเกิดไม่ได้ กลับต้องมาเจอปัญหาที่ผู้ใหญ่เป็นคนก่อ
เท่าที่ฟังบัวเล่า เรื่องง้อขอคืนดี คงยาก
“ดาวอยู่ที่นี่เถอะลูก พ่อแม่เลี้ยงได้” วันนีถามอย่างกังวล
พ่อไปทางแม่ไปทาง เด็กน้อยที่ควรจะได้อยู่ตรงกลางระหว่างพ่อแม่อย่างอบอุ่นกลับต้องอยู่ลำพังกับปู่ย่า
ไม่ใช่ว่าไม่รักหลาน แต่เพราะรักมากถึงอยากให้หลานมีเหมือนเด็กบ้านอื่นเขา
“ไม่ต้องทำงานก็ได้นะลูกนะ”
แน่นอนว่าดารารัตน์มีศักดิ์ศรีพอ เธอส่ายหน้า ปฏิเสธทันที
กนกลูบหัวหลานสาวอย่างรักใคร่ทะนุถนอม เขาเข้าใจได้ “ไปเถอะลูก ยายรันน่ะเดี๋ยวปู่กับย่าเลี้ยงเอง ไม่ต้องห่วง”
สิ้นเสียงหนักแน่นของกนก วันนีก็รีบพูดเสริมอย่างกังวล “ถ้างั้นไม่ต้องหย่าได้ไหมลูก ถึงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่เพื่อรักษาสิทธิ์หลานปู่หลานย่านะลูก” เพราะยังไม่ได้แต่งงานกนกกับวันนีจึงยกที่ดินเป็นสินสมรสตอนพวกเขาจดทะเบียนกัน ทุกอย่างต้องตกแก่ทายาทเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์
ดารารัตน์รับปาก
ต่อให้กิตติจัดงานแต่งกับจารวีใหญ่โต มีลูกน่ารักด้วยกัน แต่ลูกสาวของเธอจะต้องไม่ใช่ลูกนอกสมรสเด็ดขาด
ฝ่ายกิตติเหมือนนกรู้ว่าดารารัตน์มาบ้านพ่อแม่ของตัวเอง เธอตัวคนเดียวไม่มีใคร เงินน้อยเบี้ยน้อยเพราะรอคอยจากเขา งานการก็ไม่มีทำจะไปที่ไหนได้
ดังนั้นหลังจากเมียหอบลูกหนี เขาจึงลางานนั่งเครื่องบินมาตามหาทันที จารวีเองก็ตามมาด้วยติดๆ ชนิดไม่ยอมห่างกาย เธอไม่สนคำห้ามปรามของกิตติสักนิด ผัวอยู่ไหนเมียก็ควรอยู่ที่นั่น กิตติจะทิ้งเธอไม่ได้ ลูกในท้องต้องมีพ่อ
เมื่อมาถึงบ้านพ่อแม่ กิตติก็เจอเพียงเด็กหญิงดรัลดาลูกสาว ส่วนดารารัตน์ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือเมื่อเขามาถึงหน้าบ้านของพ่อแม่ ยังไม่ทันเข้าประตูบ้านกลับถูกน้ำซาวข้าวสาดดังโครมตามด้วยผักกาดเน่า เมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นเป็นแม่ที่ถือหม้อข้าวเท้าสะเอวอยู่ และมีพี่บัวอุ้มลูกของเขายืนอยู่ข้างๆ
ทั้งสองจ้องเขม็งมองลงมาจากบนบ้านทรงไทยที่ยกพื้นสูง สีหน้าท่าทางเหมือนผีเฝ้าเรือนผู้ผดุงคุณธรรม
นี่ยังไม่รวมสายตาของชาวบ้านชาวช่องที่รั้วติดกันอีกนะ
กิตติให้รู้สึกปวดหัวไปถึงแกนสมอง ด้วยรู้ดีว่าตัวเองสร้างเรื่องใหญ่ขนาดไหน แต่ก็พลาดไปแล้วให้ทำไง
ก่อนที่ตะหลิวจะปลิวตามลงมา กนกรีบเดินเข้ามาห้ามทัพ “ใจเย็นแม่มึง” ก่อนเรียกลูกชายเข้าบ้าน “มาๆ นั่งก่อนกิตเอ้ย ค่อยพูดค่อยจา ไปไงมาไง”
กนกกระดกเหล้าไปแล้วหลายกรึบจึงอารมณ์ดีพอประมาณ
หลังจากกิตติพาจารวีเข้ามานั่งบนแคร่ใต้ถุนบ้านไม่นาน ข้าวปลาอาหารก็ถูกนำมาวาง แม้จะไม่ชอบใจแต่อย่างไรก็ลูกชาย แถมยังเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของบ้านหลังนี้ กนกกับวันนีจึงด่าทอได้ไม่เต็มปากนัก อีกอย่างที่นี่ก็อยู่ไกลตัวเมือง การจะไล่เมียน้อยหน้าด้านไม่ให้เข้าบ้านก็ใช่ที่ ทุกคนจึงนั่งล้อมวง กินไปคุยไปตามประสาคนในครอบครัวที่อยากตัดก็ตัดไม่ขาด หลังจากรู้ว่าเมียน้อยก็ท้อง กนกกับวันนีจึงมองหน้ากันอย่างตกใจ ท้ายที่สุดก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยไปตามเวรตามกรรม
“แกกับเมียคนนี้มีงานมีการทำอย่างดีก็เลี้ยงลูกเองแล้วกัน พวกฉันจะเลี้ยงยายรันเท่านั้น” วันนียังโกรธลูกชายแทนลูกสะใภ้ยิ่งเห็นพวกเขาแต่งตัวดูดีเคียงคู่มาด้วยกันก็ยิ่งไม่ชอบใจ
“แม่จะคอยดูว่าแกไปกันได้สักกี่น้ำ ดีกว่าคนเก่าหรือเปล่า หวังว่าแกจะคิดไม่ผิดนะกิต”
ครอบครัวทางเหนือค่อนข้างใหญ่เป็นญาติกันทั้งหมู่บ้าน เรื่องของกิตติลูกพ่อกนกแม่วันนีหลานยายผ่องเหลนหม่อนนาท เรียกได้ว่ารู้กันไปทั่วหมู่บ้าน พวกเขาไม่ได้นินทาสนุกปากอะไร แค่พูดถึงในทำนองที่ว่าอ้ายกิตลูกพ่อหนกทิ้งเมียเก่าเอาเมียใหม่ พากลับมาบ้านตัวเป็นๆ เห็นแต่งตัวสะสวย ท่าทางสำรวย
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ทุกครั้งที่รวมญาติ กิตติกับจารวีจึงเจอแต่คำดูถูกถากถางในเชิงพูดเล่นตอนทักทายยื่นไมตรี เพราะลึกๆ พวกเขาต่างสงสารเด็กหญิงดรัลดาที่ต้องมาอยู่กับปู่ย่า แม่ต้องทิ้งไปเพื่อดิ้นรนทำงาน พ่อมีเมียใหม่มีลูกอีกคน มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมพรั่งอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกที่กรุงเทพฯ เมืองฺสวรรค์
ดรัลดาจึงต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมากับปู่ย่าไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนเหมือนเด็กบ้านอื่นเขา ทุกครั้งที่เธอเห็นกิตติอยู่กับจารวีและลูกสาวอีกคนของพวกเขา ความโกรธก็รุมเร้า
ยิ่งคิดถึงแม่ คิดว่าแม่ต้องลำบากอยู่คนเดียว ดรัลดาก็ยิ่งเกลียดครอบครัวของพ่อเข้าไส้
เรื่องแก้แค้นเอาคืนชายโฉดหญิงชั่วน่ะเหรอ
แม่ไม่ต้องลดตัว เธอทำเอง...