ตอนที่ 9
พนักงานเก็บเมนูอาหารกลับ อ้าว แต่เธอยังไม่ได้สั่งเลยนะ นาวินจัดการทุกอย่างให้โดยไม่ได้ร้องขอ เปลวมองรูปสปาเกตตีราดซอสสีขาวบนเมนูตาละห้อย ปกติเคยเห็นแต่ซอสสีแดง ว่าจะลองสั่งมากินสักหน่อย อดเลย
บรรยากาศอึดอัดก่อขึ้นตัวระหว่างนั่งรอ นาวินมองเธอ ส่วนเธอมองเพดาน มองโคมไฟ มองพนักงาน มองจนไม่รู้จะมองอะไร จ้องทำไมนักหนา หรือเพราะไม่ได้ล้างหน้าเมื่อเช้าเลยมีขี้ตา เธอแกล้งทำเป็นฝุ่นเข้าตา ขยี้แล้วก็ไม่มีอะไรติดนี่นา
อาหารถูกวางเสิร์ฟบนโต๊ะ เปลวประหลาดใจเมื่อเห็นว่าจานของเธอคือสปาเกตตีแบบเดียวกับที่เธออยากกิน หญิงสาวช้อนตามองคนตรงหน้า สบสายตาคมที่จับจ้องอยู่ก่อนแล้ว
“เห็นว่าอยากกินเลยสั่งมาให้” นาวินกล่าว พอเห็นเปลวดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ก็พ่นลมหายใจออกมา นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน ที่แท้ก็อยากให้เอาใจนี่เอง ทำดีด้วยหน่อยถึงกับยิ้มไม่หุบ ประเดี๋ยวคงมาสยบแทบเท้าเขาเหมือนเดิม
รอยยิ้มของหญิงสาวช่างน่ารักสดใส นาวินไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจ้องมองเธอด้วยสายตาเช่นไร
เปลวลิ้มลองอาหารแล้วรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เส้นเหนียวนุ่มกับซอสเนื้อเนียนกลมกล่อม กลิ่นชีสและแฮมติดจมูก ได้กินของอร่อยขนาดนี้ เธอตายตาหลับแล้ว
“ไหนบอกว่าทานมาจากบ้านแล้ว เจริญอาหารกว่าพี่อีก ไดเอตอยู่ไม่ใช่หรือไง”
คำแซวทำเอาเปลวชะงัก ลืมสนิทว่ามีอีกคนมองอยู่ นาวินส่งยิ้มเท่บาดใจมาให้ เธอรู้สึกตงิดขึ้นมาในอก ก่อนหน้านี้ยังทำปั้นปึ่งใส่อยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงคอยหยอกล้อเอาใจ ต้องการอะไรกันแน่
“พี่ไม่ควรชวนคุยตอนกำลังทานอาหารนะคะ มันเสียมรรยาท”
ได้ยินดังนั้นนาวินถึงกับหน้าตึง เธอเห็นสันกรามของเขาขบแน่นจึงก้มหน้างุด จัดการอาหารในจานต่อ รีบทำธุระที่นี่ให้เสร็จดีกว่า กลัวระเบิดลง
เมื่ออิ่มหนำสำราญ นาวินพามายังโซนเสื้อผ้า
เปลวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก ไหนนิตาบอกว่าใกล้ถึงแล้ว ทำไมยังไม่โทรมาอีก
เสียบมือถือใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนหันไปสนใจราวเสื้อ คิดว่าจะซื้อชุดธรรมดาสักสามตัว ชุดสวยไว้ใส่อ่อยภาคีสองตัว เธอหยิบเสื้อยืดแขนยาวที่ดูน่าจะใส่สบายขึ้นมา พอพลิกป้ายราคาดูถึงกับตาค้าง
สะ สามพัน!
เปลวสำรวจป้ายราคาใกล้ ๆ อีกครั้ง อาจไม่ทันสังเกตเห็นจุดทศนิยมระหว่างเลขศูนย์
สำหรับคนเคยใส่เสื้อมือสองตัวละยี่สิบบาท สามร้อยนี่ถือว่าแพงมากแล้ว นิสัยบางอย่างไม่สามารถเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะนิสัยขี้ตืด เปลวหยิบเสื้อขึ้นมาดม กลิ่นไม่ได้หอมเลย ยืดออกก็เห็นเป็นเส้นตาข่ายบาง ๆ โดนใบไม้ปลิวใส่คงขาดแล้วมั้ง เผลอ ๆ กระดาษทิชชูยังแข็งแรงกว่า เอาอะไรมาสามพัน สามสิบน่ะพอได้ เอาไปทำเป็นมุ้งกางกันยุง
“ทำอะไรของเธอ”
เปลวสะดุ้ง นาวินยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง มาตั้งเมื่อไหร่ ก่อนหน้านั้นยังเห็นดูเนกไทตรงนู้นอยู่เลย
“เลือกชุดอยู่ค่ะ”
“ชอบตัวนั้น?”
เธอมองเสื้อราคาสามพันในมือ ท่องไว้ ตอนนี้ฉันสวย ฉันรวย เงินแค่นี้มันแค่เศษขี้เล็บ
แต่... สามพันสำหรับบางคนใช้ยื้อชีวิตได้ทั้งเดือนเลยนะ เอาไปบริจาคดีกว่าไหม
“เราไปดูที่อื่นดีกว่าค่ะ” เธอแขวนเก็บเข้าราว หมุนตัวไปอีกทาง รู้สึกชอกช้ำในอก โดนสันดานเก่าขัดขวางวิถีแห่งความร่ำรวย
ใครบางคนคว้าแขนเธอไว้ นาวินพ่นลมหายใจพรืด
“อยากได้ทำไมไม่ซื้อ ยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ได้” ว่าแล้วเขาก็คว้าเสื้อตัวนั้น และตัวใกล้เคียงอีกหลายตัวส่งให้พนักงาน จากนั้นยังมีชุดอื่น ๆ ตามมาอีกเป็นซีรีส์ ทั้งชุดนอน ชุดราตรี ชุดใส่เที่ยว รู้ตัวอีกก็มายืนอยู่โซนเครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า นาวินเป็นคนเลือกด้วยตัวเองทั้งหมด เขาเลือกไวมาก ไม่ดูแม้แต่ป้ายราคา กระเป๋าสีน้ำตาลที่เขาหยิบผ่านหน้าไปเมื่อกี้ทำเอาเธอหน้ามืด เห็นราคาแวบ ๆ ว่าเป็นตัวเลขสี่หลัก
เปลวตาลาย คำนวณตัวเลขในหัวไม่ทัน วันเดียวหมดเงินไปกี่แสนแล้ว
“เป็นอะไร พี่ซื้อให้ ไม่ดีใจเหรอ” นาวินถาม ทอดมองนิ่ง ๆ คล้ายกำลังสังเกตปฏิกิริยาเธออยู่
ให้ดีใจยังไงไหว อย่าให้รู้นะว่าแอบส่งบิลเรียกเก็บเงินตามไปบ้านทีหลัง
“เปลวคิดว่าถ้าเราใช้เงินน้อยกว่านี้อีกนิด คงลดจำนวนสัตว์ที่ต้องสละชีพเพื่อเอามาทำของใช้พวกนี้ได้น่ะค่ะ”
เธอเห็นนาวินหน้าขึ้นสี คราวนี้ระเบิดลงจริง ๆ แน่ จังหวะนั้นเอง โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เปลวรีบกดรับสายทันที ไม่สนใจคนที่เตรียมง้างปากต่อว่าเธอ
[พี่มาถึงแล้ว เปลวอยู่ไหน]
“อยู่โซนกระเป๋าค่ะ” เธอเว้นระยะห่างออกมานิดนึงเพื่อไม่ให้ใครบางคนได้ยิน “ใกล้ ๆ บันไดเลื่อน”
[โอเค แล้วเจอกัน]
ความหวังของหมู่บ้านมาแล้ว!
เดินกลับไปหานาวินที่ยืนทำหน้าไม่รับแขกอยู่คนเดียว เธอเอ่ยเสียงหวาน
“พี่วิน เปลวหิวน้ำ”
เขาเหลือบมองทางหางตา “แล้ว?”
“คอแห้งมาก เดินไม่ไหว” ถึงแม้อาการคอแห้งจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทขา แต่เธอก็อ้างไปแบบนั้น ไหน ๆ วันนี้เขาดูเอาใจเป็นพิเศษ เรียกร้องอีกหน่อยคงไม่เป็นไร
ชายร่างสูงส่งเสียงในลำคอแกมรำคาญ แต่ก็ยอมเดินไปซื้อน้ำให้แต่โดยดี พอเขากลับมา เปลวก็ได้ยินเสียงหวานหยดย้อยร้องเรียกจากทางด้านหลัง