ตอนที่ 7
เปลววิ่งขึ้นห้องตัวเอง ก่อนเปิดสารพัดแอปพลิเคชันในโทรศัพท์ขึ้นมา
ความจริงเธอเล่นแอปพวกนี้ไม่ค่อยเป็นหรอก เพิ่งหัดได้ไม่นาน เมื่อก่อนเคยใช้แต่มือถือเครื่องโต ๆ ที่เอาไว้ใช้แทนสากตำครก ไม่เข้าใจว่าคนเราจะเปิดเผยเรื่องตัวเองในโซเชียลทำไม คอมเมนต์ก็มีแต่ ‘อึ๋มจังครับ’ หรือ ‘ว้าว ทิชชูหมดม้วน’ บางรูปในเฟซส่วนตัวเห็นแล้วต้องรีบเลื่อนนิ้วกดปุ่มสีแดงรัว ๆ เพราะนมล้นทะลักเกือบเห็นจุก หุ่นเธอดีจริงแต่ไม่จำเป็นต้องโชว์ขนาดนั้น เปลวตัดสินใจเก็บโซเชียลเก่าไว้ตามเผือกเรื่องชาวบ้าน แล้วสร้างแอ็กเคานต์ ใหม่ขึ้นมา
เลือกรูปตัวเองที่เคยถ่ายไว้ตอนเห่อโทรศัพท์ใหม่ขึ้นโปรไฟล์ จากนั้นใส่เบอร์ภาคีลงไปในช่องค้นหา กดเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊ก ในไลน์ ในสื่อโซเชียลทุกอย่างเท่าที่หาเจอ
รอแล้วรอเล่าว่าภาคีจะกดรับเพื่อนเมื่อไหร่ จนกระทั่งมีเสียงแจ้งเตือนอีกทีตอนห้าทุ่ม เธอจึงรีบเปิดหน้าเจอดู ปรากฏว่าเขารับเพื่อนในไลน์แค่ช่องทางเดียวเท่านั้น
ก็ยังดี เปลวพิมพ์ส่งไปว่า ‘ทานอะไรรึยังคะ’ ภาคีต้องเห็นข้อความแน่ ๆ ล่ะ เพราะพอได้รับแจ้งเตือนปุ๊บ เธอก็ทักหาปั๊บ
แต่รอไปอีกสองวัน ภาคีก็ยังไม่อ่านข้อความ…
เปลวกัดฟัน ถ้าไม่ใช่เรื่องของนิตา เขาคงไม่ตอบสินะ
ต้องรีบทำอะไรสักอย่าง เธอจำเป็นต้องใช้ชื่อคนเป็นพี่ในการล่อเขาออกมา ดังนั้น ควรตีสนิทกับพวกโชติวัตรไว้ โดยเฉพาะกับพี่สาวแสนสวยของเธอ
เย็นวันนั้นเปลวตัดสินใจคุกเข่าต่อหน้าลุงนิธิ ระหว่างมื้ออาหารของครอบครัวโชติวัตร
“หนูขอโทษค่ะ ต่อไปหนูจะปรับปรุงตัว ไม่ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียงอีก” ว่าแล้วก็ก้มกราบแทบเท้า สวยงามประหนึ่งนางนพมาศ “คุณลุงให้โอกาสหนูได้ไหมคะ”
ทุกคนในห้องอาหารใบ้กินกันเป็นแถบ ๆ โดยเฉพาะลุงนิธิ ทำหน้าเหมือนโดนข้าวสารปลุกเสก เธอจึงหันไปหาอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ห่าง
“นิตา วันนั้นเปลวไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ มัวแต่มองไปอีกทาง ไม่ทันระวังว่าพี่อยู่ตรงนั้น”
นิธิฟังแล้วรู้ทันทีว่าเป็นข้อแก้ตัว เขามองจากไกล ๆ ยังรู้เลยว่านิตาโดนผลัก กำลังเอ่ยวาจาต่อว่า แต่นิตากลับพูดสวนขึ้นก่อน
“ไม่เป็นหรอก พี่รู้ว่าเปลวไม่ได้ตั้งใจ” นิตากล่าวอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปมองคนเป็นพ่อ “ในเมื่อน้องตั้งใจปรับปรุงตัว เราก็ควรให้โอกาสไม่ใช่เหรอคะ”
ปากว่าอย่างนั้น แต่ในใจคิดอีกอย่าง มีเหรอคนอย่างเปลวจะสำนึกได้ มีแต่สร้างความเดือดร้อนให้ตระกูล ตั้งแต่รุ่นแม่แล้ว ตอนนั้นเธอจำความได้ แม่ของเปลวมีดีแค่สวย แต่ทำตัวไม่ได้เรื่อง มาไข่ทิ้งไว้แล้วจากไป ไม่เคยรับรู้ว่าลูกของตัวเองสร้างความคับข้องใจให้คนอื่นมากมายเพียงใด
ตอนเด็กนิตาภูมิใจในความสวยของตน พ่อเองก็เช่นกัน แต่พอเปลวโตขึ้น คนรอบข้างเริ่มพากันเปรียบเทียบ ยิ่งโตเท่าไหร่ความงามก็ยิ่งเจิดจรัส คนที่เคยเป็นอันดับหนึ่งอย่างนิตา กำลังถูกเหยียบลงไปเป็นอันดับสอง
“ว้าย น่ารักจังเลย โตไปต้องสวยกว่าพี่สาวแน่ ๆ”
พอได้ยินคนพูดเช่นนั้น พ่อของนิตาถึงกับหน้าเจือน เธอได้แต่มองน้องสาวที่กำลังแย้มรอยเบิกบานด้วยความคับแค้น เปลวเป็นแค่เด็กโง่ ๆ ที่เธอสั่งให้ทำอะไรก็ทำตาม แต่กลับถูกชื่นชมเพียงเพราะมีใบหน้าสวยงาม นิตาเห็นอย่างนั้นแล้วรู้สึกรับไม่ได้
เธอต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่า น้องสาวคนนี้โง่งมขนาดไหน
สมัยเด็ก เปลวชอบเดินตามเธอต้อย ๆ การเปิดโปงความโง่ของน้องสาวจึงเป็นเรื่องง่าย
นิตาเคยเอาเอกสารบนโต๊ะทำงานพ่อให้เปลวตัดเป็นตุ๊กตาสาน ผลลัพธ์ที่ตามมาดูไม่จืด
พ่อเป็นคนอารมณ์ร้าย ขนาดเธอเป็นลูกสาวแท้ ๆ ยังโดนเฆี่ยนแทบตายตอนสอบได้อันดับสอง และถูกพ่อขังให้อ่านหนังสือในห้องคนเดียวตลอดซัมเมอร์ แล้วเด็กนอกไส้อย่างเปลวจะโดนอะไรบ้าง คงไม่ต้องให้อธิบาย
ตระกูลโชติวัตรมีอันดับหนึ่งเพียงคนเดียวก็พอแล้ว
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้องสาวเธอเริ่มมองคนอื่นด้วยสายตาเกลียดชัง และกลายเป็นเด็กก้าวร้าว
หากเป็นเพชรในตมจริง เปลวจะไม่ทำตัวแบบนี้ นิตาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเด็กคนนี้มีดีแค่หน้าตาเท่านั้น
แล้วนี่อะไร อยู่ ๆ เกิดสำนึกผิดขึ้นมางั้นเหรอ ไม่น่าเป็นไปได้
หรือตีตัวแข่งตีตัวกับเธอ? คิดได้ดังนั้นถึงกับต้องกลั้นหัวเราะ คนโง่อย่างเปลวทำได้แค่เอาหางนกยูงมาแซมตามขนเท่านั้นแหละ
นิธิได้ยินลูกสาวพูดให้ท้ายคนเป็นน้องก็จนใจจะต่อว่า อีกอย่าง ถ้าหลานสาวกลับตัวจริง นั่นถือเป็นเรื่องดีกับตระกูล
“ฉันจะคอยดู อย่าก่อเรื่องอีกแล้วกัน”
“ค่ะ” เปลวตอบรับแล้วหันไปจับมือพี่สาว “เพื่อเป็นการไถ่โทษ วันหลังเปลวขอพาพี่ไปเที่ยวได้ไหม”
“ได้สิ ถ้าพี่ว่างเมื่อไหร่จะไปด้วย”
เปลวยิ้มรับ “งั้นเปลวไม่กวนแล้ว ทานอาหารกันต่อเถอะค่ะ”
เธอเดินออกมา รู้สึกว่าทุกคนจ้องมองจากด้านหลัง พอเลี้ยวตรงหัวมุมจึงรีบวิ่งกลับห้อง คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยความเคยชิน หวังว่าจะมีคนส่งข้อความตอบมา ทว่า กลับเห็นว่ามิสคอลถึงสามสาย
นาวินโทรมาหาเธอ…
เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเจอนิตาแล้ว ก็ควรเลิกโทรมาสิ ในนิยายบอกว่านาวินทิ้งเธอทันทีที่เจอนิตานี่นา
เปลวครุ่นคิด อาจมีบางอย่างผิดพลาด วันนั้นเธอกลับบ้านมาก่อน ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งคู่ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่หวังไว้
อย่างนี้เท่ากับว่าเธอเอาเนื้อหาในนิยายมาอ้างอิงไม่ได้แล้วสิ
เปลวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกดโทรออก
“พี่วินมีอะไรรึเปล่าคะ”
[ทำไมไม่รับโทรศัพท์] น้ำเสียงปลายสายหงุดหงิด [ออกมาเจอกันหน่อย]
“แต่นี่มันใกล้มืดแล้วนะคะ”
[ก็เพราะว่ามืดไงถึงชวนออกมา นี่ยังไม่หายเป็นบ้าอีกเหรอ]
เปลวรู้สึกคุกรุ่นน้อย ๆ ใครกันแน่ที่บ้า นึกว่าชวนแล้วเธอต้องรีบกระเสือกกระสนออกไปหาหรือยังไงกัน
หญิงสาวพยายามหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยง แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็คิดอะไรได้
[เงียบทำไม ยังอยู่รึเปล่า]
“วันนี้ไปไม่ได้ค่ะ เพราะเปลวเพิ่งเอาชุดทุกตัวในตู้เสื้อผ้าไปทิ้ง”
ได้ยินเสียง ‘เหอะ’ เบา ๆ จากปลายสาย เธอรีบพูดต่อ
“ถ้าพี่ ‘อยาก’ มาก งั้นสุดสัปดาห์นี้ไปช่วยเปลวเลือกซื้อเสื้อหน่อยเป็นไงคะ แล้วจะไปต่อไหนค่อยว่ากันอีกที”
นาวินเงียบไป คงกำลังคิดว่าเธอน่ารำคาญ ไม่นานจึงตอบกลับมา
“[ได้ งั้นวันเสาร์เจอกัน]” ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้ง
เปลวยิ้มกริ่ม จะได้ถือโอกาสนี้โละชุดปิดจุกทั้งหลายออกจากตู้ และได้ลองใช้เงินแบบคนรวยจริง ๆ สักที
นั่นคือเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักคือเล่นเป็นแม่สื่อจับคู่ให้นิตากับนาวินต่างหาก
พี่สาวคนสวยคงดีใจจนเนื้อเต้นถ้ารู้ว่าเธอกำลังพาไปเที่ยวกับใคร และเชื่อว่าคนอย่างนิตาคงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือแน่