บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 22

พนักงานนำกระเป๋ามาส่งถึงหน้าห้อง เมื่อเปิดประตูเข้าไปเปลวถึงกับต้องยกมือป้องตา ภายในใหญ่โตหรูหราหมาเห่า ติดกระจกบานใหญ่เต็มฝาผนัง เห็นประกายระยิบระยับจากผืนทะเลด้านนอก วิวสวยจนต้องร้องขอชีวิต ขนาดผิวเฟอร์นิเจอร์ยังสะท้อนแสงวิบวับแยงตา เธอยื่นหัวสำรวจในห้องน้ำ ตกแต่งอย่างมีสไตล์ด้วยธีมป่าไม้พงไพร เสมือนอาบน้ำท่ามกลางธรรมชาติ เรียกว่าถ้าเบื่อวิวทะเลเมื่อไหร่ ก็สามารถหอบหมอนมานอนในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศได้ทันที

ชื่นชมวิวจนพอใจ ถึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่ควรดูจากมุมสูงแบบนี้ ต้องลงไปสัมผัสด้วยตัวเอง

นาวินบอกว่าพร้อมออกเมื่อไหร่ให้โทรเรียก เปลวจึงจิ้มเบอร์บนมือถือแล้วกดโทรออก

ไม่มีคนรับสาย...

กระหน่ำโทรเป็นสิบแต่ไร้การตอบรับ เธอจึงไปยืนเคาะประตูห้องซึ่งอยู่ถัดลงไปหนึ่งชั้น ทว่ายังไม่มีการตอบรับเช่นกัน เอ หรือว่าหลับแล้ว ตอนขับรถเห็นทำตาปรือ ๆ ด้วย สงสัยก่อนหน้านี้ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ได้หลับได้นอน

ปล่อยให้กระเป๋าตังค์เคลื่อนที่พักดีกว่า เธอยังพอมีเงินสดติดตัวอยู่บ้าง

ลงลิฟต์ถึงชั้นล่าง เดินผ่านล็อบบี้มุ่งสู่ด้านหน้าอาคาร ระหว่างทางมีพนักงานคอยถามไถ่ให้ความช่วยเหลือ คนกดลิฟต์ คนเปิดประตู แม่บ้านยังหยุดทำความสะอาดให้ตอนเธอเดินผ่าน

การปฏิบัติสำหรับอภิสิทธิ์ชน

ลมเย็นปะทะหน้าเมื่อออกนอกตัวอาคาร นี่เหรอความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน ยังไม่ต้องพูดถึงสิทธิพิเศษอื่น ๆ แค่อากาศหายใจก็ต่างกันแล้ว ที่นี่ได้กลิ่นดินสะอาด กลิ่นทรายสดชื่น ผิดกับชีวิตก่อน ไม่ได้สูบบุหรี่แต่ดมสะสมจนหายใจครืดคราด พอมีบุหรี่ก็มักจะมาพร้อมกับกลิ่นเหล่า กลิ่นยา...

เปลวค่อนข้างตั้งความหวังกับทริปครั้งนี้ ภาคีแสดงออกชัดเจนว่าสนใจเธอ อาจไม่ใช่ความสนใจแบบที่คู่หนุ่มสาวมีให้กัน แต่เท่านี้ถือว่าเพียงพอแล้ว หากเป้าหมายของเขาเหมือนกับในนิยาย เธอน่าได้มีข่าวดีเร็ว ๆ นี้

รอให้ได้จังหวะเหมาะ ๆ ก่อนเถอะ เปลวพับเรื่องนี้เก็บใส่กระเป๋าชั่วคราว มองไปทางซุ้มใกล้สวนหย่อม ตรงนั้นมีบริการให้เช่าจักรยาน

เธอเลือกคันที่ดูทนมือทนเท้ามาหนึ่งคัน ก่อนปั่นฉิวแบบใช้ความเร็วสูงไปตามถนน

ร้านอาหารไหนว่าดีว่าเด็ดเธอหามาหมดแล้ว เป้าหมายแรกของวันนี้คืออาหารทะเล!

แต่ก่อนจะเคลื่อนตัวพ้นรั้วโรงแรม ก็ได้ยินเสียงคุ้นหูตะโกนเรียกจากข้างทาง

“คุณเปลว!”

เธอเบรกเอี๊ยดแบบดริฟต์ล้อหลังไถลบนพื้น ภาคีลุกจากม้านั่งบริเวณน้ำพุ ดูทึ่งเล็กน้อยกับลีลาการจอดจักรยานเมื่อครู่

“จะไปไหนเหรอครับ”

“ไปร้านอาหารค่ะ คุณทานอะไรมารึยัง ไปด้วยกันไหม” เปลวรีบชวนภาคีมาด้วยทันที แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามาดักรอเธอรึเปล่า ไม่นึกว่าโอกาสจะมาถึงเร็วขนาดนี้

“ผมยังไม่ได้ทาน คุณจะไปไหนเดี๋ยวผมขับ...”

“ขึ้นมาเลยค่ะ”

“ครับ?”

เปลวใช้มือตบเบาะหลัง “คุณมานั่งซ้อนท้ายฉันสิคะ”

ต้องแบบนี้สิถึงเรียกว่าเดต!

ภาคีขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบนั่งรถสองล้อทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์หรือแบบขาถีบ นอกจากโดนลมพัดผมเสียทรงแล้ว ยังต้องเจอกับฝุ่นควันและมลพิษ ถนนประเทศไทยค่อนข้างอันตราย แถมอากาศร้อนด้วย ถ้าอยากกินลมชมวิวแค่เปิดประทุนรถซะก็สิ้นเรื่อง เขาไม่เห็นความจำเป็นต้องนั่งจักรยานแต่อย่างใด

“ผมคิดว่ามันอันตราย”

“คุณภาคีไม่ต้องห่วง ฉันขับรถเป็นทุกชนิดเลยค่ะ รถไถ รถยกของ รถแทรกเตอร์ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์นี่เซียนสุด ๆ ไม่พาคุณไปล้มที่ไหนแน่นอน”

คำพูดโอ้อวดไม่ได้ทำให้ภาคีมั่นใจขึ้นเลย กลับยิ่งเพิ่มความสงสัยมากกว่า ผู้หญิงคนนี้มีงานอดิเรกประหลาดนัก เรื่องเมื่อคืนนั้นเขายังติดใจไม่หาย ลองเล่นตามน้ำอีกสักครั้งคงไม่เป็นไร ถือว่าทำให้เหยื่อตายใจ

“โอเคครับ”

เปลวกลั้นขำตอนภาคีพยายามนั่งซ้อนท้าย เหมือนเขาไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ตรงไหนจึงทำให้ดูเก้ ๆ กัง ๆ เห็นคุณชายหัวสูงตกอยู่ในสภาพนี้แล้วรู้สึกบันเทิงดี เธออยากเห็นอีก

“พร้อมยังคะ เดี๋ยวยกล้อไปกันเลย เกาะเอวฉันแน่น ๆ นะ”

ภาคีไม่ยอมเกาะ “คุณคงไม่ทำอย่างนั้นจริง ๆ ใช่ไหม”

ทว่าวินาทีที่รถออกตัว เขาก็ต้องรีบคว้าเอวหญิงสาวไว้แน่น มันเป็นเพียงการยกล้อสั้น ๆ คล้ายขึ้นพื้นต่างระดับ แต่เกือบทำเขาหงายหลังได้

“นี่คุณแกล้งผมอยู่รึเปล่า”

“ใครจะกล้าแกล้งคุณภาคีล่ะคะ” เปลวหัวเราะร่า

ทักษะการขับขี่ของเธอดีสมคำอวดอ้าง ภาคีได้แต่เกร็งตัวตอนจักรยานมุดผ่านช่องแคบระหว่างรถยนต์ ยังดีที่แถวนี้การจราจรไม่หนาแน่นจึงไม่ต้องเกร็งกันบ่อย ๆ นอกนั้นเขาทำได้แค่นั่งเกาะเอวคนขับ สูดกลิ่นหอมจากเรือนผมที่ปลิวคลอเคลียใบหน้าเป็นระยะ

หรือนี่จะเป็นวิธีการยั่วยวนแบบหนึ่ง?

ภาคียอมรับว่าไม่เคยเจอมาก่อน แต่อย่าคิดว่าเขาจะหวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้

“ถึงแล้วค่ะ”

ร้านอาหารอยู่ติดริมทะเล มีโซนในร่มและกลางแจ้ง เปลวเดินนำไปยังโซนกลางแจ้งเพราะแดดไม่ออก ทำเป็นไม่เห็นตอนภาคียืนจัดทรงผมตัวเองอยู่คนเดียว

“สั่งได้เต็มที่เลยนะคะ วันนี้ฉันเลี้ยง” เธอหยิบเมนูมาจิ้มอาหารหลายรายการ สังเกตว่าวันนี้ภาคีเงียบผิดปกติ หรือควรบอกว่าเป็นปกติดี เพราะมันเหมือนกับตอนที่เจอกันครั้งแรก ถามคำตอบคำ ไม่ได้เอาอกเอาใจเธอเหมือนอยู่ต่อหน้านาวิน หรือนี่จะเป็นโฉมหน้าแท้จริงของผู้ชายคนนี้

เปลวตรึกตรอง พยายามนึกถึงวิธีอ่อยหนุ่มที่ศึกษาตามอินเตอร์เน็ต ใช่แล้ว เธอควรเล่นมุกเพื่อสร้างบรรยากาศ

“คุณภาคีดูท้องฟ้าสิ เล็กจังเลยนะคะ”

ชายหนุ่มได้ยินแล้วพยายามซ่อนสีหน้า นี่มันมุขยอดนิยมยุค 90 ไม่ใช่หรือ หากเขาถามว่า ‘ทำไม’ เธอก็จะตอบว่า ‘เพราะเขียนคำว่ารักคุณยังไม่พอ’

“ท้องฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ มีดวงดาวนับล้าน มีกาแล็กซีที่ยังไม่ถูกค้นพบ เพราะงั้นมันไม่เล็กหรอกครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“...” เปลวใบ้รับประทาน “อ่อ ค่ะ”

ได้ยินคำตอบแบบนั้นแล้วไปไม่ถูก นี่สรุปว่าสร้างบรรยากาศหรือทำให้เสียบรรยากาศ นึกสงสัยขึ้นมาว่าข้อมูลที่เพียรศึกษาอย่างยากลำบากนั้นเอามาใช้ได้จริงบ้างรึเปล่า

ภาคีเห็นอีกฝ่ายคอตก มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

โชคดีที่อาหารจานแรกมาเสิร์ฟเร็ว เปลวจึงไม่จำเป็นต้องสนใจคนที่ดีแต่ตีหน้านิ่งอีก มื้ออาหารผ่านไปอย่างสุขสันต์และอิ่มเอม ...สำหรับเธอคนเดียวน่ะนะ เปลวไม่แน่ใจว่าภาคีคิดยังไง เพราะดูเหมือนเขาจะเข้าสู่โหมดหนุ่มลึกลับผู้อ่านใจยากอีกแล้ว

บางทีก็น่าขัน ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาเป็นฝ่ายเข้าหา แต่พออยู่กันสองคนเธอต้องเป็นฝ่ายพยายามจีบเขาซะงั้น

งงเหมือนกันแต่ช่างมันเถอะ ศึกยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ตอนนี้ยังเหลือเวลาก่อนฟ้ามืดให้ไปอีกที่หนึ่งอยู่

“ว่ากันว่าชายหาดตรงฝั่งโน้นสวยมาก ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันไหมคะ”

“ครับ คราวนี้ให้คุณเป็นคนซ้อนบ้างดีไหม”

“คุณรู้เหรอว่าไปที่ไหน” เปลวทำหน้ารู้ทัน จะไม่ให้ได้รู้ยังไงในเมื่อเขาจับเอวเธอซะแน่นตอนขี่แทรกช่องว่างระหว่างรถ “ไม่ต้องกลัวค่ะ คราวนี้ขี่ช้า ๆ ไม่มุดไม่แทรก”

แซวเล็กน้อยเพราะอยากเห็นปฏิกิริยาอีกฝ่าย แต่เขาดันทำตัวเป็นรูปสลัก ไม่แสดงสีหน้าออกมา เปลวแอบบึ่นปากขณะเข็นรถจักรยานจากจุดจอด คนอะไรชอบขัดมู้ด ไม่รับมุกแถมยังปัดทิ้งลงทะเล น่าจับโยนให้ฉลามกินนัก

ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะปั่นมาถึงจุดหมาย ชายฝั่งบริเวณนี้เป็นโขดหินเตี้ย ๆ ยื่นออกริมทะเล ละลอกคลื่นสาดซัดเป็นจังหวะสบายหู ท้องฟ้าทอแสงสีส้มเช่นเดียวกับพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำ เปลวทอดมองไกลสุดลูกหูลูกตา มันเป็นภาพแบบที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ประจักษ์ด้วยตัวเอง ภาพที่เห็นได้เฉพาะในความฝัน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้สัมผัสแรงปะทะจากสายลมพัดกระหน่ำ

แต่ตอนนี้เธอสัมผัสได้ทุกอย่าง

แค่เพียงออกจากบ้างหลังนั้น เธอจะสามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำ สิ่งนี้ย้ำเตือนว่าควรทำอะไรต่อจากนี้

“คุณชอบเหรอ” เสียงภาคีดึงเธอให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เปลวตั้งสติ พลันวาดรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า

“ชอบสิคะ มาถ่ายรูปกันดีกว่า”

โดยไม่รอคำตอบ เปลวยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปตัวเองโดยมีภาคีเป็นแบ็กกราวด์ด้านหลัง กดถ่ายได้แค่สี่ห้าแชะก็ต้องหยุด เพราะหากดูจากในรูป คิ้วของคนยืนประกอบฉากเริ่มชนเข้าหากันแล้ว เห็นดังนั้นจึงรีบหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋า และดึงความสนใจไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าแทน

“คุณมานั่งตรงนี้สิ มุมดีมาก” เปลวกวักมือเรียกหยอย ๆ ขณะพาตัวเองมายังริมโขดหิน คลื่นทะเลสาดกระเซ็นขึ้นมาถึงด้านบน

“คุณเปลวอย่าวิ่ง ตรงนั้นลื่นนะครับ เดี๋ยวตกลงไปหรอก”

“นี่ไงถึงแล้ว ถ้าคุณกลัวให้จับมือฉัน- เหวอ!”

พูดไม่ทันขัดคำ หญิงสาวผู้ไม่กลัวอันตรายใดลื่นตกขอบหินเป็นที่เรียบร้อย

“คุณเป็นไรไหม” ภาคีรีบวิ่งไปดูคนเจ้าปัญหา ยังดีที่โขดหินไม่สูงและน้ำไม่ลึกมาก เธอนั่งชันเข่าอยู่เบื้องล่าง น้ำท่วมสูงถึงอก เนื้อตัวเปียกปอน เขามั่นใจว่าก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ ทำไมถึงจบลงสภาพนี้อีกแล้ว เมื่อกี้เตือนแล้วใช่ไหมว่าอย่าวิ่ง ไม่ยอมฟัง

ดื้อ

“คุณอายุเท่าไหร่ครับเนี่ย” ภาคีถามขณะช่วยดึงตัวหญิงสาวขึ้นมา

“ยี่สิบสามค่ะ ช่วยหยุดซ้ำเติมได้ไหมคะ แค่นี้ฉันก็อายจะแย่”

เปลวอยากเอาหัวปักพื้นทรายแล้วไม่ต้องโผล่ออกมาอีกสามวัน ทำเสียเรื่องอีกแล้วตัวฉัน ภาคีเดินหายเข้าไปในร้านขายของ กลับมาพร้อมนำผ้าผืนโตคลุมร่างเธอไว้ สุดท้ายเขาต้องเรียกรถรับจ้างเพื่อพาเธอกลับโรงแรม

ถึงโรงแรมเมื่อไหร่เขาต้องรีบไล่เธอกลับห้องแน่นอน เปลวขยับตัวยุกยิกภายใต้ผ้าห่ม ภาคีนั่งข้าง ๆ สายตามองตรงไปยังเบื้องหน้า โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ ยิ่งมีนาวินเป็นก้างขวางคอด้วย เธอควรลองแย็บเรื่องแต่งงานได้แล้ว

“คุณหนาวเหรอ” ภาคีถามเมื่อเห็นคนข้างกายเริ่มออกอาการอยู่ไม่สุข

“ใช่ค่ะ หนาว” เธอถือโอกาสซบแขนอย่างออดอ้อน “หนาวใจ ต้องการคนดูแล”

ทว่าภาคีไม่ต่อบทสนทนา ปล่อยให้เธอค้างเติ่งกลางอากาศ เปลวกัดฟันกึก ๆ มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ถอยได้อย่างไร

เธอรู้ว่าพูดเรื่องนี้ไม่ง่าย แต่ไม่นึกว่าจะยากขนาดนี้ เธอเลียริมฝีปากอย่างวิตกจริต มือไม้เริ่มสั่น

“คุณภาคีคะ คือว่า...คะ คือ ตะ ตะ แต่...” มีหลายประโยคที่เตรียมการไว้ แต่พอมาถึงตรงนี้สมองเธอชักรวน หูดับ ตาลาย ข้อเสนอที่คิดมาอย่างดิบดีบัดนี้ลืมเลือน รู้สึกถึงแค่เลือดที่กำลังสูบฉีดทั่วร่าง

“ครับ?”

เปลวกลั้นหายใจ หลับหูหลับตาพูดประโยคนั้นออกไป

“แต่งงานกับฉันนะคะ!”

ชายหนุ่มไม่ตอบโต้ในทันที กลับยกมืออังหน้าผากหญิงสาวไว้

“คุณไม่สบายรึเปล่า” เขาแย้มรอยยิ้มสุภาพ “ดูเหมือนตัวจะร้อนนิดหน่อย”

เปลวนิ่งค้าง ทำไมเขาถึงทำท่าจะปฏิเสธเธอซะแล้วล่ะ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel