ตอนที่ 20
ภาคีเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางผ่อนลมหายใจยาว จิบเครื่องดื่มต่ออย่างใจเย็น เขาควรทำยังไงให้ผู้หญิงคนนี้ตื่นดี เขย่าแรง ๆ หรือสาดน้ำเย็นใส่... ไม่ได้ทั้งสองอย่าง ไม่งั้นเธอจะตกใจ
สิ่งที่ปาวรินทร์พูดนั้นค่อนข้างน่าสนใจ เขาเห็นด้วยว่าผู้หญิงไม่ควรออกไปเผชิญโลกภายนอกคนเดียว โดยเฉพาะดอกไม้งาม ควรอยู่ในแจกันสวย ๆ ให้คนหมั่นรดน้ำพรวนดิน หากไปอยู่ข้างถนน คงไม่พ้นถูกคนเหยียบย่ำ ถูกหนอนชอนไช ต่อให้งามแค่ไหนก็กลายเป็นของผุพังไร้ค่าได้เช่นกัน
แต่หากพิจารณาสถานภาพทางสังคม มันมีวิธีมากมายที่จะหนีโดยไม่ต้องเจอกับสภาพแบบนั้น สิ่งแรกที่ควรทำคือจ้างทนายเก่ง ๆ สักคน แล้วหาทางว่าพอจะเรียกร้องอะไรได้บ้าง เล่นกับสื่อก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตระกูลโชติวัตรทำธุรกิจเกี่ยวกับบัญชี มีสำนักกฎหมายเป็นของตัวเอง เส้นสายกว้างขวาง จะเล่นงานช่องทางนี้ต้องเสียเงินและเวลาจำนวนมาก ทว่าภาคีไม่ได้ใจดีขนาดเป็นที่ปรึกษาชีวิตให้ใคร เขามีอีกเรื่องที่อยากรู้มากกว่า
เธอรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขา
หรือพูดให้ถูก ปัญหาไม่ใช่รู้อะไร แต่รู้ได้ยังไง เรื่องของเขาไม่ได้เป็นความลับสุดยอดขนาดนั้น แต่ถ้าเขาไม่บอก เธอก็ไม่ควรรู้
ถ้าสติครบถ้วนเธอคงไม่ยอมคายความลับออกมา ต้องเค้นเอาความจริงตอนนี้ หรือไม่ก็ต้องรอโอกาสหน้า
แต่เขาไม่อยากรอ...
ความจริงเขาควรเรียกเช็กบิลแล้วกลับคอนโด แต่ครั้งนี้ภาคีเลือกที่จะนั่งต่อ
เป็นครั้งแรกที่ความอยากรู้อยากเห็นเอาชนะนิสัยส่วนตัวของเขาได้
หลังจากเพลิดเพลินกับเสียงดนตรีได้ไม่นาน หญิงสาวก็รู้สึกตัว เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ตาสะลึมสะลือกวาดมองรอบ ๆ
“ยังไม่กลับอีกเหรอคะ” เปลวใช้แขนปาดน้ำลายมุมปาก
“ครับ คุณไหวไหม”
“ไหวค่ะ ห้องน้ำอยู่ไหนคะ จะไปทำธุระหน่อย”
“เดินไปทางนี้ อยู่ด้านหลัง”
เปลวพยายามยันตัวลุกขึ้น ยังไม่ทันก้าวเดินก็เซแถด ๆ ขาไขว้กันจนต้องจับขอบโต๊ะแน่น ภาคีเห็นแล้วสงสัยว่าเธอจะล้มใส่ตัวเขาหรือไม่ และสิ่งที่คิดก็เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อหญิงสาวทรงตัวบนส้นสูงไม่อยู่ ร่างของเธอล้มมานั่งบนตักเขาพอดิบพอดี ซึ่งเขาอ้าแขนรับไว้ด้วยความเต็มใจ
สายตาทั้งคู่สอดประสาน หูเธอขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่แทนที่หญิงสาวจะโอบแขนรอบคอเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น เธอกลับรีบตะเกียกตะกายออกไปราวต้องของร้อน
“ขะ ขอโทษค่ะ”
เปลวเดินเซเป็นปู ผ่านเสาก็ทำท่าจะเดินจูบเสา ผ่านบริการก็เกือบไปกอดเอวเขาไว้ ภาคีมองอยู่นานจนสุดท้ายทนไม่ไหว พอแม่เจ้าประคุณคล้ายจะลงไปคลานสี่ขาบนพื้น เขาต้องรีบเข้าไปคว้าเจ้าตัวมาอยู่ข้างกาย
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
จะคลานที่บ้านภาคีไม่ว่า แต่อยู่ที่นี่ช่วยไว้หน้าเขาบ้าง...
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินไปเองได้”
“แต่เมื่อกี้คุณไม่ได้กำลังจะเดินไปนะครับ”
“...”
“...”
“...ก็ได้ค่ะ”
ภาคีประคองเปลวจนถึงหน้าห้องน้ำ ไม่สนใจสายตาของคนอื่นที่มองมา สิ่งที่เขาสนตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ หญิงสาวในอ้อมแขนจะรอดออกมาจากห้องน้ำแบบครบสามสิบสองได้หรือไม่
ยังไม่ทันได้ปล่อยตัว เปลวก็ถูกใครบางคนฉุดออกไปเสียก่อน
“มาทำอะไรที่นี่” มือขโมยเอ่ยเสียเข้ม
“พี่วิน”
นาวินยืนหน้าเคร่ง มองคนข้างกายสลับภาคีด้วยความไม่พอใจ จะไม่ให้โมโหได้ยังไง วันนี้ตั้งใจมาผ่อนคลายกับพรรคพวก กลับต้องมาเจอคนของตนอยู่กับชายอื่น แถมยังเป็นคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าด้วย
“กลับ!” นาวินดึงแขน ทว่าอีกฝ่ายรั้งตัวไว้
“ผู้หญิงไม่เต็มใจ คุณไม่ควรบังคับ” เสียงของภาคีทำให้นาวินชักสีหน้า ความอดทนที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วดูเหมือนจะถูกโยนทิ้งลงถังขยะไปด้วย
“ขอถามหน่อยคุณเป็นอะไรกับผู้หญิงคนนี้ ถ้าไม่ได้เป็นก็ช่วยหุบปาก ไม่งั้นเขาเรียกว่าเสือก”
“แล้วคุณล่ะเป็นอะไร” ภาคีย้อน” ช่วยระบุสถานะชัด ๆ ให้ผมเข้าใจได้ไหม จะได้รู้ว่าสรุปแล้วเป็นผมที่เสือก หรือมีคนหลงละเมอ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของผู้หญิงทั้งโลก”
“แก!”
“ฮ่า ๆ อย่าทะเลาะกันค่ะ” เปลวแทรกขึ้นมากลางวง ไม่มีใครเข้าใจว่าหญิงสาวหัวเราะอะไร เธอหันไปหานาวิน “พี่วินอย่ามาง้อซะให้ยาก”
“ง้อ? ง้ออะไรมิทราบ”
“ยังไงเปลวก็ไม่แต่งกับพี่หรอก ทั้งใจร้าย ปากหมา ใครจะอยากแต่งด้วย”
นาวินได้ยินแล้วหน้าขึ้นสี อับอายถึงขั้วกระดูกดำ ง้างปากตะโกนใส่คนตรงหน้า “ใครบอกว่าฉันจะแต่...!”
ทว่าคำพูดออกจากปากไม่หมด เพราะเพิ่งนึกได้ว่ามีใครอีกคนรอฟังอยู่ ขืนพูดออกไปแบบนั้น มีหวังมันได้เอามายอกย้อนใส่เขาน่ะสิ นาวินมองคนตัวเล็กกว่ายืนโงนเงน สีหน้าเธอแดงก่ำ เข้าใจทันทีว่าเมามากแล้ว พูดจาไม่รู้เรื่อง
“เมาขนาดนี้กลับเถอะ จะรอให้คนฉุดเข้าโรงแรมหรือไง”
“ไม่ เปลวจะอยู่กับคุณภาคี”
ภาคีวาดรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างกวนโมโห
“เธอกำลังโดนมันหลอก ยังไม่รู้ตัวอีก!” นาวินชักเหลืออดมากขึ้นทุกที
“ถูกหลอกกับยอมให้หลอกมันต่างกันนะคะ”
รอยยิ้มของภาคีเลื่อนหลุดออก ความสงสัยในตัวเจ้าหล่อเมื่อกี้ยังไม่ทันได้แถลงไข นี่มาพูดเป็นปริศนาอีกแล้ว
อย่างนี้จะให้ปล่อยตัวไปได้อย่างไร
“ยัยบ้า เลอะเทอะ ต่อไปนี้ฉันสั่งห้ามไม่ให้ไปเมาที่ไหนอีก เข้าใจไหม” นาวินเอ็ด
“เปลวไม่ได้อยากเมา เปลวอยากไปเที่ยวทะเล ไหนพี่วินบอกว่าจะพาไปไง คนโกหก ๆ ๆ” เจ้าตัวดีพูดไปโน้น ไม่ว่าเปล่ายังกระโดดเหยง ๆ นาวินเห็นแล้วถึงกับยกมือกุมขมับ
“อยากไปก็ไปสิ เลิกทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลสักที”
“น่าสนใจจัง งั้นผมขอไปด้วยคนได้ไหมครับ” ภาคีเจาะจงถามหญิงสาวที่กำลังทำตาเป็นประกาย
“ได้สิคะ ไปกันเยอะ ๆ สนุกดี”
“ไม่ได้!”
“คุณกลัวเหรอ” ภาคีตีหน้านิ่ง น้ำเสียงแสดงความเย้ยหยัน “อายุขนาดนี้แล้ว ผมไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าคุณเป็นคนขี้กลัว”
“กลัวสิครับ ไม่ได้รู้จักมักจี่ อยู่ ๆ มาขอไปเที่ยวด้วยกัน อย่างนี้ไม่เรียกพบพร่องทางมรรยาทธรรมดา เรียกว่าบกพร่องทางความคิด เกิดวางแผนทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา ผมจะเดือดร้อนเอา” นาวินรู้อยู่แก่ใจว่าชายตรงหน้าเป็นคนยังไง แข่งกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งยันปีสี่ เรียกได้ว่ารู้เช่นเห็นชาติ ถึงยังไงก็ต้องยอมรับว่าภาคีเป็นคนรับมือยาก เพราะอย่างนี้ตอนอยู่บ้านโชติวัตรเขาถึงพยายามเก็บอาการไว้ ไม่อยากให้มันสนใจเป้าหมายเดียวกับเขา
แต่ดูท่าคงเก็บไม่อยู่
“ขอโทษนะครับ พอดีผมขออนุญาตคุณเปลว ไม่ใช่คุณ ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นอะไรกับเธอ เพราะงั้นควรเก็บปากไว้กินข้าวดีกว่าพยายามแสดงสิทธิ์ที่คุณไม่มี” ภาคีไม่อยากให้เหยื่อหลุดมือ ไม่มีทางปล่อยให้สองคนนี้ไปด้วยกันง่าย ๆ เด็ดขาด
“บอกมันไปสิว่าไม่ให้ไป โอ๊ย อยู่เฉย ๆ อย่างดิ้น”
เปลวกำลังพยายามสะบัดมือนาวินโดยออกแรงจนสุดกำลัง พอหลุดจากการจับกุมก็วิ่งหนีไปทันที
“จะไปไหน กลับมาก่อน!”
“ปวดฉี่ค่ะ ถ้าพี่วินอยากตามก็เดินเข้ามาเองแล้วกัน ส่วนเรื่องเที่ยวก็ไปมันด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ จะได้ไม่เหงา” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หายแวบเข้าไปในห้องน้ำทันที
สองหนุ่มยืนอึ้ง เพิ่งตระหนักได้ว่าเรื่องบานปลายขนาดไหน ทว่า ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ยิ่งต่อหน้าคู่แข่ง คำพูดไม่ต่างอะไรกับประกาศิต หากถอยเพียงก้าวเดียว นั่นหมายถึงความพ่ายแพ้
มีแค่สิ่งเดียวที่ทั้งคู่คิดตรงกัน คือจะไม่ปล่อยให้ปาวรินทร์เมาอีกเด็ดขาด