ตอนที่ 19
ทันทีที่เธอตอบกลับว่า ‘เมื่อไหร่’ สายเรียกเข้าก็ดังขึ้น
[คุณว่างเมื่อไหร่] เขาถามโดยข้ามขั้นตอนการทักทายโดยสิ้นเชิง
“อืม... วันนี้เป็นไงคะ”
อีกฝั่งเงียบไปพักหนึ่ง
[ได้ ผมว่างช่วงเย็น เจอกันตอนสองทุ่มนะครับ เดี๋ยวส่งโลเคชั่นไปให้] พูดเสร็จตัดสายทิ้งทันที เอ่อ... รีบเหลือเกิน ไม่เปิดโอกาสให้ชวนคุยเลย มาอีหรอบนี้วางแผนอะไรไว้รึเปล่า แต่ช่างเถอะ วันนี้เธอแค่อยากดื่ม ได้เพื่อนคุยถือว่าเป็นกำไร
เขาส่งโลเคชั่นมาพร้อมบอกว่าจองโต๊ะไว้แล้ว เอาชื่อร้านไปเสิร์ชหาพบว่าเป็นบาร์หรูหราเลยทีเดียว เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม เธอถึงเริ่มแต่งตัว เลือกใส่ชุดที่ดูเป็นผู้ใหญ่หน่อย และแต่งหน้าหนากว่าปกติเพื่อปกปิดรอยช้ำ หยิบกุญแจรถจากลิ้นชักข้างเตียง วันนี้ขับไปเองน่าจะดีกว่า เธอลากสังขารตัวเองไปยังโรงจอดรถ ดีใจที่ไม่เจอลุงนิธิระหว่างทาง
ต้องใช้เวลาเล็กน้อยในการเรียนรู้ระบบภายในรถ ไม่นานเธอก็ตั้งค่าจีพีเอสสำเร็จ หมุนพวงมาลัยเหยียบคันเร่งมุ่งหน้าสู่จุดหมาย
แค่เห็นอาคารจากระยะไกลก็รู้ว่าบาร์แห่งนี้มีแต่ผู้รากมากดีมาใช้บริการ เธอหักเลี้ยวมุมหาที่จอดรถด้านใน พนักงานต้อนรับปรี่เข้ามาจากไหนไม่รู้ พะเน้าพะนออ่อนน้อมเดินนำเข้าร้าน คงท่องจำหน้าลูกค้ามาอย่างดี หรืออาจถึงขึ้นท่องจำผังตระกูลได้ด้วยซ้ำ เปลวยังไม่ทันเอ่ยปากอะไรเลยก็มานั่งตรงโต๊ะที่ภาคีจองไว้แล้ว
เมื่อมองนาฬิกา อีกสิบนาทีจะหนึ่งทุ่ม มาเร็วกว่าเวลานัดชั่วโมงกว่า จะให้นั่งรอเฉย ๆ คงดูไม่ดี จึงสั่งเครื่องดื่มกับบริกร แล้วมองสำรวจดูรอบ ๆ
คนยังไม่พลุกพล่าน บาร์แห่งนี้ไม่ได้เปิดเพลงเสียงดังอึกทึก มีวงดนตรีสดเล่นอยู่บนเวที เธอค่อย ๆ จิบเครื่องดื่มระหว่างชื่นชมบรรยากาศ ยิ่งนานคนยิ่งเยอะ ครึกครื้นขึ้นเรื่อย ๆ ช่วยให้คนจิตใจห่อเหี่ยวรู้สึกเพลิดเพลินไปด้วย รู้ตัวอีกทีก็ดื่มเครื่องดื่มจนหมดแก้ว จนต้องเรียกบริกรมารับออเดอร์อีกครั้ง
พอมีแก้วที่สอง แก้วที่สาม สี่ ห้า ก็ตามมา ร่างกายนี้คอแข็งใช้ได้ ดื่มเพิ่มนิด ๆ หน่อย ๆ ระหว่างรอคงไม่เป็นไร
ทว่า เมื่อภาคีมาถึง เขาต้องตกใจกับจำนวนแก้วที่วางเกลื่อนบนโต๊ะ หญิงสาวนั่งตาเยิ้ม ฉีกยิ้มกว้างพลางโบกมือให้เขาหวืด ๆ
“คุณภาคี!”
ภาคีนิ่วหน้า หย่อนตัวลงฝั่งตรงข้าม
“คุณมานานแล้วเหรอ”
“ไม่นานค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง คุณมาเร็วกว่าที่คิดอีก”
ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้สองทุ่มสิบห้านาที ออกจะเลทเกินไปด้วยซ้ำ แค่ดูจากปริมาณที่ดื่มเข้าไปก็รู้แล้วว่าไม่ได้เพิ่งมา ดูท่าจะมอมตัวเองเสร็จก่อนเขามาถึงเสียอีก
การที่ชวนปาวรินทร์มาวันนี้ แน่นอนว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ภาคีต้องการรู้ว่าเหยื่อเป็นคนยังไง จะใช้วิธีใดในการจับเขา การชวนมาดื่มถือเป็นหนทางที่ง่ายและรวดเร็วสุด
ผู้หญิงบางคนพอเห็นว่ามาที่หรูหน่อยก็ตาลุกวาว ทำตัวหลุกหลิกสอดส่องผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเขา พวกนี้จัดให้อยู่ในเหยื่อชั้นเลวที่สามารถทิ้งได้โดยไม่ต้องคิดมาก บางคนสั่งนู่นสั่งนี่โดยไม่มีความเกรงใจ สุดท้ายแสร้งทำเป็นเมาเพื่อพยายามลากเขาขึ้นห้อง
ภาคีเคยเห็นมาหลายรูปแบบนี้ แต่นี่... เขายังไม่ทันมาก็ซัดเครื่องดื่มไปเรือนหมื่น แถมดูท่าจะเมาแล้วด้วย
ควรจัดผู้หญิงแบบนี้ไว้ประเภทไหนดี?
“ลองดื่มนี่สิ” เปลวดันแก้วให้ “ขอบอกว่าเด็ด”
เขารับมาอย่างว่าง่าย เฝ้าสังเกตปาวรินทร์อย่างถี่ถ้วน หญิงสาวหันไปเหม่อมองบนเวทีและดูเหมือนกำลังจมกับตัวเองเกินกว่าจะสนใจเขา ใบหน้าแดงก่ำยังคงสวยต้องตา ริมฝีปากอิ่มชุ่มฉ่ำด้วยน้ำ ตอนนั้นเองเขาถึงเห็นสิ่งผิดปกติบนใบหน้างดงามนั่น
“คุณโดนทำร้าย?”
คำถามทำให้เปลวสะดุ้งเล็กน้อย
“อ๋อ นี่เหรอ” เธอแตะนิ้วข้างแก้ม “ก็ เอ่อ ประมาณนั้น”
รอยช้ำแบบนี้น่าจะถูกต่อย แก้มบวมเล็กน้อยอาจถูกตบมาด้วย เขาเคยเห็นคนโดนซ้อมปางตายมานับไม่ถ้วน จนพอแยกลักษณะแผลแต่ละแบบออก
“คุณโดนมานานแค่ไหน”
“ไม่รู้สิ ตื่นมาก็เจอแบบนี้เลย”
ภาคียกแก้วขึ้นจิบ เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงโดนมานานแล้ว เขาเห็นว่าเรื่องนี้น่าสนใจ มองภายนอกไม่รู้เลยว่าพวกโชติวัตรมีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว จึงแสร้งแสดงความเป็นห่วงเป็นใย
“ผมคิดว่าคุณควรหนี”
เปลวแค่นหัวเราะ
“คิดว่าฉันไม่อยากหนีเหรอ” เธอกระดกเครื่องดื่มจนหมด ก่อนกระแทกแก้วกับโต๊ะ กำลังมึนหัวได้ที่ “ฉันจะลองถามคำถามง่าย ๆ แล้วกัน สมมุติคุณอยากให้ลูกสาวของคุณเรียนรู้โลกภายนอก คุณจะโยนเงินให้เธอหนึ่งหมื่นบาท แล้วไล่ให้ลูกคุณออกไปใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวรึเปล่า”
คนฟังใคร่ครวญก่อนตอบ “ไม่”
“ใช่ไหม เพราะอะไรล่ะ เพราะโลกภายนอกมันไม่ได้สวยงามไง” คำพูดต่าง ๆ พรั่งพรูราวกับอัดอั้นมานาน “ถ้ามีเงินไม่เยอะคุณก็ต้องไปเช่าห้องพักถูก ๆ คุณเคยเห็นไหม ห้องพักแบบที่แค่ขยับตัวก็ได้ยินเสียงกันทั้งชั้นน่ะ ส่วนใหญ่มีแต่พวกขี้ยา ขี้ขโมย คดีข่มขืนมีออกข่าวทุกวัน ที่ไม่ออกข่าวอีกเป็นร้อย พวกนี้ไม่รอให้คุณตั้งตัว กว่าจะเก็บเงินได้สักก้อนแล้วหนีออกจากจุดนั้นต้องใช้เวลาเท่าไหร่”
ภาคีไม่ตอบ ปล่อยให้หญิงสาวระบายต่อ
“ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวคนเดียว มันไม่มีหรอกที่หนีไปแล้วบังเอิญเจอผู้ใหญ่ใจดีคอยช่วยเหลือเกื้อกูล เพ้อเจ้อน่ะสิ จะเจอก็แต่พวกค้ามนุษย์โน้น รู้ไหมผู้หญิงในซ่องบางส่วนถูกจับมา ไม่ก็ขายตัวใช้หนี้กันทั้งนั้น คุณลองหันไปดูข้างหลังสิ ผู้ชายพวกนั้นจ้องฉันมาตั้งนานแล้ว เผลอ ๆ ฉันออกไปคนเดียวคงถูกพวกมันลากเข้าโรงแรม”
เขามองตาม กลุ่มผู้ชายด้านหลังรีบหันไปทางอื่นทันที
“คุณคิดลบเกินไป”
“คุณไม่เข้าใจ” เปลวตอบโต้ทันควัน ได้ทีระบายออกจนหมดเปลือก “คนที่มองจากเบื้องบนอย่างพวกคุณไม่มีทางเข้าใจ แผลพวกนี้รักษาแป๊บเดียวก็หาย ขี้เกียจหน่อยก็เข้าโรงพยาบาลให้หมอรักษา อย่างน้อยอยู่ที่นี่ฉันก็มีที่ซุกหัวนอนปลอดภัย มีอาหารกินสามมื้อ ฉันเพิ่งอายุยี่สิบสามปี ถ้ายังมีทางเลือกอื่น ฉันไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมเด็ดขาด”
ภาคีไม่เข้าใจว่ากลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมหมายความว่าอะไร ปาวรินทร์ไม่เหมือนคนกร้านโลกขนาดนั้น หรือบางทีชีวิตเธอคนนี้อาจมีอะไรมากกว่าที่เห็น
“ฉันอ่านนิยายมากเกินน่ะ เลยอินไปหน่อย อย่าสนใจเลย” เปลวรู้ตัวว่าพูดมากไปจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่คุณเถอะ ฉันรู้นะว่าเบื้องหลังคุณไม่ธรรมดา”
คนถูกทักชะงักกลางอากาศ
“คุณรู้อะไร”
“ก็รู้ว่าคุณน่ะ...” เปลวพูดแค่นั้น แล้วจู่ ๆ ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ
“คุณ” ภาคีสะกิด แต่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัว แถมกรนเสียงดังคร่อก ๆ ใส่
เธอหลับไปเสียแล้ว