ตอนที่ 18
ตอนที่เปลวคุยกับนางพยาบาล นาวินเดินมาบอกว่าเขามีธุระต้องรีบไปทำ กำชับไว้ด้วยว่าถ้าเขาโทรหาต้องรับสาย ส่งข้อความต้องรีบตอบ เดี๋ยวว่างเมื่อไหร่จะพาไปหาของกินอร่อย ๆ ริมทะเล
ถึงจะพยายามเก็บอาการตอนได้ยินคำว่าริมทะเล แต่ก็ยังเผลอแสดงความตื่นเต้นออกไปอยู่ดี นาวินเห็นอย่างนั้นแล้วทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง น่าหมั่นไส้จนอยากเอาปรอทวัดไข้จิ้มจมูก คงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงง่าย ๆ อยู่กระมัง ผิดตรงไหนล่ะ ก็คนไม่เคยไป อยากลองนอนกลางผืนทรายให้คลื่นซัดใส่ตัวสักครั้ง แค่คิดเฉย ๆ ใช่ว่าชวนแล้วจะไปด้วยสักหน่อย เธอไม่ไปเที่ยวกับคนปากปีจอหรอก ชอบพูดจาจิกกัดทำร้ายจิตใจ คาดว่าในปากคงเปิดฟาร์มเลี้ยงร็อตไวเลอร์ไว้ทั้งฝูง
เธอคุยกับหมอพอเป็นพิธี จากนั้นเรียกคนขับรถให้มารับ นิตาคงไม่อยากเห็นหน้าเปลวเท่าไหร่ เธอเองก็เช่นกัน แค่จินตนาการว่าต้องอยู่กับพี่สาวสุดที่รักสองต่อสองก็รู้สึกคันในร่มผ้ายิบ ๆ สงสัยผื่นจะขึ้น
หลังจากรายงานอาการคุณหนูใหญ่ให้เหล่าคนรับใช้ฟัง ทุกคนต่างทำหน้าโล่งอก ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า เธอรู้สึกว่าสายตาคนในบ้านมองเธอเปลี่ยนไป มีคนเอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟและถามว่าตอนเย็นต้องการทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า ผลจากการทำตัวดีเริ่มผลิดอกออกผลแล้ว
ทว่า นั่นเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ยังมีเรื่องอื่นที่น่ากังวลยิ่งกว่า นั่นคือลุงนิธิ หากได้ยินว่านิตาเข้าโรงพยาบาล เธอไม่คิดว่าเขาจะปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ
ไม่นานนิตาก็ออกจากโรงพยาบาล สุขภาพแข็งแรงดังเดิม พูดคุยกับเหล่าแม่บ้านด้วยสีหน้าแจ่มใส และใช่ นางกลับมาสวมหน้ากากพี่สาวผู้แสนดีอีกแล้ว
ถึงจะเป็นอย่างนั้น แววตาตอนนางมองเปลวนั้นเปลี่ยนไป ทำให้ตระหนักได้ทันทีว่า นิตากำลังหาทางเอาคืนเธอ
โอกาสมาถึงอย่างรวดเร็ว เธอได้ยินจากแม่บ้านว่าลุงนิธิเลือนกำหนดการกลับบ้านเร็วขึ้น แทบไม่ต้องหาเหตุผลว่าทำไม ต้องเป็นเพราะเรื่องนิตาแน่ ๆ
กำหนดการเดิมคือเย็นวันอาทิตย์ เปลี่ยนเป็นเช้าวันเสาร์
เปลวรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างไรชอบกล บางทีเธอควรออกจากบ้านสักระยะ ทำทีว่าไปเที่ยวเถลไถล แล้วค่อยกลับมาหลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์
ทำไมต้องหนึ่งอาทิตย์ เพราะความจริงเปลวไม่ได้มีชีวิตอิสระอย่างที่คนอื่นเข้าใจ ตอนเธอเข้ามาอยู่ร่างนี้ใหม่ ๆ แล้วไม่ออกจากห้องหลายวัน ลุงจะคอยมาเช็กด้วยตัวเองว่าเธอยังอยู่ดีไหม แม้แต่เปลวในนิยายก็ไม่สามารถออกไปไหนนาน ๆ ได้
มันไม่ใช่กฎของบ้าน แต่เป็นสิ่งที่รู้กันว่าต้องทำตามหากไม่อยากมีปัญหา การที่ลุงนิธิให้เธอใช้แต่บัตรเครดิตความจริงแล้วมีจุดประสงค์ หนึ่ง... เพื่อเช็กความเคลื่อนไหวทางการเงิน ซื้ออะไร กินอะไรเขารู้หมด สอง... เพื่อดูว่าหลานสาวไปไหนมาไหนบ้าง ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ลุงเห็นว่าไม่เหมาะสมรึเปล่า
วกกลับมาเรื่องเดิม เธอควรออกจากบ้านก่อนลุงนิธิจะกลับมา เพราะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไหร่
ไวเท่าความคิด เปลวยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋าถือ คิดว่าอาจไปพักในโรงแรมที่ไหนสักแห่ง แต่ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวใด ๆ ประตูก็เปิดผ่างออก
ลุงนิธิยืนหน้าดำหน้าแดงอยู่หน้าห้อง
เดี๋ยวก่อน นี่มันเพิ่งวันศุกย์เองนะ!
ลุงเปิดฉากทักทายหลานสาวด้วยการกระชากหัวจนเสียหลัก ก่อนฟาดหลังมือใส่ใบหน้าเต็มแรง
“แกเป็นคนทำใช่ไหม!” เขาตวาด ฝอยน้ำลายสาดกระเซ็น
“เปลวไม-“
เพียะ!
นิตายืนดูอยู่เบื้องหลัง ไพล่ขาพักเอวกับขอบประตู รอยยิ้มละไมประดับอยู่บนใบหน้า
“สารภาพมาว่าแกเป็นคนทำ!” ลุงนิธิหายใจแรงด้วยโทสะ เปลวไม่เคยเห็นเขาโกรธมากขนาดนี้ นี่ไม่ใช่การหาตัวคนผิด แต่เป็นการระบายอารมณ์ เธอยังไม่ได้เอ่ยปากแก้ตัวก็โดนไปสองฉาดแล้ว
บ้านหลังนี้ไม่เคยมีที่ยืนให้ผู้หญิงที่ชื่อปาวรินทร์
“เปลวไม่ได้ทำ”
ผัวะ!
คราวนี้ไม่ใช่ฝ่ามือ แต่เป็นหมัด
“โกหก! ไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร!” ลุงตะคอกลั่นบ้าน
กลิ่นคาวเลือดกบปาก ลุงกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูด สายตาบ่งบอกว่าเอาเธอตายแน่ถ้ายังไม่ยอมรับ และถึงยอมรับไปก็ไม่รอดอยู่ดี สัญชาตญาณเธอบอกว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง
“นิตาบอกพ่อมา มันเป็นคนทำใช่ไหม!”
จบแล้ว เปลวมองสีหน้าของนิตา รู้ทันทีว่านางจะตอบว่าอะไร
อันตราย เธอต้องรีบหนี เดี๋ยวนี้เลย
ข้าง ๆ ลุงมีโคมไฟตั้งอยู่ เขาอาจคว้ามาทุบเธอเมื่อไหร่ก็ได้ เธอต้องอาศัยจังหวะที่ลุงหยิบมันผลักเขาให้ล้มลง แล้ววิ่งหนีออกไป ไม่ได้ เธอต้องหยิบกระเป๋าก่อน แล้วดึงนิตาออกให้พ้นทาง ไม่ให้นางขัดขวางเธอได้
เส้นประสาทเธอตึงเครียด จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของลุงนิธิ
ดูเหมือนเขาจะรอคอยคำตอบจากลูกสาวไม่ไหว เอื้อมมือหยิบโคมไฟข้างกายหวังบันดาลโทสะ เปลวกำลังจะพุ่งตัวใส่เขา ทันใดนั้นเอง…
“น้องไม่ได้ทำค่ะ” เสียงนิตาแทรกเข้ามา หยุดทุกการเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้น “ช่วงนี้หนูเครียดเรื่องงานด้วย แล้วน่าจะแพ้อาหาร เลยทำให้อาการหนัก”
ลุงกะพริบตา “จริงเหรอ ลูกพูดปกป้องมันอีกรึเปล่า”
“จริงค่ะ ถ้าน้องทำหนูคงไม่ห้ามพ่อหรอก แต่นี่น้องไม่ได้ทำ” นิตากล่าวอย่างใจเย็น “ใช่ไหมเปลว บอกพ่อสิว่าไม่ได้ทำ”
เปลวอึ้งกิมกี่ จับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าต้องเล่นไปตามน้ำ
“เปลวไม่ได้ทำ”
ลุงนิธิวางโคมไฟลงบนโต๊ะ
“ดี ไม่ได้ทำก็ดี” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนกระแทกเท้าออกจากห้อง ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ นิตาไม่ได้พูดอะไรต่อเช่นกัน เพียงปรายตามองน้องสาวด้วยสีหน้าอ่านยาก แล้วตามผู้เป็นพ่อไป
เปลวงงงวย ทั้งที่ก่อนหน้านี้นิตาทำหน้าสะใจออกขนาดนั้น ทำไมถึงห้ามลุงไว้?
คำถามที่เจ้าตัวเท่านั้นที่ตอบได้ และเธอคงไม่มีวันได้รับคำตอบ
เปลวส่องกระจก มุมปากเป็นรอยม่วงช้ำ เจ็บตัวอีกแล้ว แต่ยังดีที่เรื่องไม่บานปลาย ไม่งั้นมันอาจไม่จบแค่รอยช้ำ เธอหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วมองหน้าจออย่างเลื่อนลอย ไม่มีใครให้ระบาย ไม่มีใครคอยรับฟัง เธอเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้ ทำได้แค่เปิดโซเชียลและโพสต์ประโยคสั้น ๆ ลงไป
‘อยากดื่ม’
เธอทิ้งตัวแปะบนเตียง ว่าจะนอนหลับสักงีบ ตื่นมาอีกทีแผลคงหายเจ็บแล้ว ในขณะกำลังเคลิ้มได้ที่ ก็มีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดึงสติขึ้นมา พอเห็นว่าใครตอบโพสต์เธอก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
‘เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง’
ภาคีตอบโพสต์ของเธอ