ตอนที่ 14
แม้แต่นิตายังเห็นถึงความผิดปกติ ความจริงเธอไม่ตั้งใจเชิญภาคีมา แต่ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ เมื่อวานเขาถึงโทรชวนไปทานข้าว นิตาไม่ควรปฏิเสธเขาอีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้บ่ายเบี่ยงไปถึงสองครั้ง คราวนี้จำต้องเชิญมาทานอาหารด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภาคี เตชโรจน์ เป็นคนที่พ่อย้ำนักย้ำหนาว่าต้อง ‘ดูแล’ ให้ดี เนื่องจากเป็นลูกค้ารายใหญ่ และเป็นคนที่พ่อเห็นว่าเหมาะสมกับตระกูลโชติวัตร
พ่อคิดอะไรทำไมคนเป็นลูกจะไม่รู้ ถึงจะมอบความรักให้นิตาอย่างล้นหลาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเห็นเธอเป็นสมบัติของตระกูล จะยกให้ใครก็ต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์ที่คุ้มค่า เธอไม่ได้มีปัญหาอะไรกับภาคี เขาเป็นผู้ชายในแบบที่สาว ๆ ใฝ่ฝัน บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออกสุรา ร่ำรวยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ
ถึงเขาเป็นฝ่ายเข้าหาเธอ แต่นิตาสัมผัสได้ถึงความเย็นชาผ่านรอยยิ้มละมุนละไมนั่น บางครั้งเธอเล่นตัวมากหน่อย อีกฝ่ายจะแสดงความรำคาญออกมาโดยไม่รู้ตัว เท่านั้นก็เพียงพอให้ทราบว่าหากแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ เธอต้องไม่มีความสุขเป็นแน่
ถ้าสุดท้ายชีวิตต้องลงเอยกับใครสักคนโดยมีผลประโยชน์เป็นตัวชี้นำ เธอขอเลือกคนนั้นด้วยตัวเองดีกว่า
ชายหนุ่มทั้งสองจ้องกันอยู่นาน จากนั้นนาวินยืนขึ้น ริมฝีปากเผยรอยยิ้มไม่ถึงดวงตา
“คุณเป็นใคร ผมจำไม่เห็นได้” น้ำเสียงเขาสุภาพจนน่ากลัว “ขอโทษที พอดีไม่จำพวกขี้แพ้”
ได้ยินแล้วหญิงสาวอีกสองคนเกือบเก็บอาการไม่อยู่ ส่วนภาคีรักษาสีหน้าปกติไว้ได้ แต่คิ้วซ้ายกระตุกเล็กน้อย
เปลวกลืนน้ำลายอึก สองคนนี้รู้จักกันด้วยเหรอ เธอไม่เคยรู้มาก่อน
“ไปรอที่โต๊ะกันดีกว่าค่ะ น่าจะใกล้เสร็จแล้ว” นิตาเข้ามาดึงบรรยากาศด้วยน้ำเสียงสดใส พลางนำทางไปยังห้องอาหาร
เปลวยืนหลบฉากอยู่ตรงซอกข้างประตู ตั้งใจรอให้ทุกคนไปหมดก่อนค่อยตามรั้งท้าย นาวินมองเธอขึ้นลง สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าขัดใจบางอย่าง แล้วคนที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเธอก็เดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร
อยากถามเหลือเกินว่าเขามีปัญหาอะไรกับเธอมากไหม แต่ต้องรูดซิปปากไว้ก่อน ตอนนี้ขอเลือกเป็นตัวประกอบดีกว่า ปล่อยให้พวกเสือสิงห์ปะทะกันจนพอใจ ส่วนเธอจะรอเก็บซากอยู่เงียบ ๆ
ในเมื่อมาถึงโต๊ะคนสุดท้าย เก้าอี้จึงถูกจับจองไปแล้ว นาวินกับภาคีนั่งฝั่งตรงข้ามกัน โดยมีนิตาเป็นกรรมการอยู่หัวโต๊ะ เปลวจำต้องเลือกว่าจะนั่งข้างนาวินหรือภาคีดี
แน่นอนว่าเธอเลือกนั่งข้างภาคี
แต่คราวนี้ไม่ได้มีท่าทีสนใจเขาอีกต่อไป เปลวไม่ชายตามองคนข้าง ๆ ด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่ามีคนจับตาดูอยู่
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกอุ่นใจที่มีนิตาอยู่ด้วย อย่างน้อยนางก็เก่งพอจัดการกับสถานการณ์น่าอึดอัดนี้ได้
“วันนี้เสิร์ฟอาหารไทยนะคะ มีปลากะพงนึ่งมะนาว มัสมั่นเนื้อ ต้มยำกุ้งมังกร ทานเผ็ดกันได้ใช่ไหมคะ”
“ผมน่ะไม่มีปัญหา” นาวินเหล่มองฝั่งตรงข้าม “แต่ไม่แน่ใจว่าคนจืดชืดบางคนจะทานได้รึเปล่า”
คนจืดชืดที่ว่าทำเพียงตอกกลับเรียบ ๆ
“ผมพอทานได้ครับ ดีใจจริง ๆ ที่มีคนเป็นห่วงทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ แต่ผมชักเป็นกังวลขึ้นมาแล้วว่า บางคนอาจอ่านหนังสือมรรยาทมาไม่มากพอ ถึงพูดจาให้เสียบรรยากาศระหว่างมื้ออาหาร”
นาวินกลับกลั้วหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่ผมคนเดียวที่เสียมรรยาท ควรส่งต่อคำพูดนี้ให้กับคนที่ไม่ได้ถูกรับเชิญ แต่อยากเสนอหน้ามาร่วมโต๊ะด้วยมากกว่านะครับ”
ภาคียิ้มบาง กำลังอ้าปากตอบโต้ แต่ถูกคนกลางขัดจังหวะเสียก่อน
“อาหารพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ” คำพูดของนิตายุติสงครามได้ทันที ความเงียบอึมครึมเข้าปกคลุมระหว่างแม่บ้านจัดวางอาหารบนโต๊ะ
ขนาดคนนั่งฟังเฉย ๆ อย่างเปลวยังเหงื่อตก ดูจากสีหน้าของนิตาแล้วนางคงไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ทั้งคู่เป็นศัตรูกันแต่ชาติปางไหนเธอไม่รู้ รู้แค่ว่าประเมินระดับความขัดแย้งได้สิบเต็มสิบ
บรรยากาศกลับมาเป็นปกติเมื่อเริ่มลงมือรับทานอาหาร หัวเรือใหญ่อย่างนิตาชวนคุยเรื่องทั่วไปได้อย่างไหลลื่น ซึ่งคนที่ร่วมสนทนาส่วนใหญ่คือนาวิน ส่วนภาคีเพียงตอบคำถามตามมรรยาทเป็นพัก ๆ นอกนั้นเขาดูเหมือนไม่อยากร่วมวงด้วยเท่าไหร่
“ต้มยำอร่อยมากเลยครับ เนื้อกุ้งก็นุ่ม อย่างนี้คงต้องขอสูตรกลับไปทำเองบ้างแล้ว”
“ได้สิคะ เอาไปทุกเมนูเลยก็ได้ ขอบอกว่าสูตรพวกนี้สืบทอดกันมากว่าสามรุ่นเชียวนะคะ”
“โห อย่างนี้ผมต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่แพ่งพรายให้คนอื่นเด็ดขาด”
เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย เปลวเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่านาวินก็คุยแบบคนธรรมดาเป็นเหมือนกัน ปกติเห็นเอาแต่ทำตาขวาง ส่วนนิตานั้นยิ้มหน้าบาน ทั้งคู่สนทนากันราวกับมีแค่พวกเขาสองคน เปลวคิดว่าทุกอย่างกำลังเป็นไปได้สวย จึงกลับมาสนใจจานของตน ยังไม่ได้ลองชิมต้มยำกุ้งเลย นุ่มจริงรึเปล่า ชามอาหารอยู่ไกลมาก เธอไม่อยากเอื้อมมือไปตัก กลัวดึงความสนใจจากคนอื่น
ส่วนภาคีกำลังคิดอีกอย่าง วันนี้ไม่ได้แค่มาเสียเที่ยว เรียกได้ว่าขาดทุนและเสียสุขภาพจิต เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูใครพลอดรักกัน ยิ่งคนนั้นเป็นนาวิน ศัตรูสมัยเรียนมหา’ลัยด้วย เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์แอบแฝงรึเปล่าถึงเข้าหานิตา แต่สิ่งที่นาวินทำตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพยายามยั่วโมโหเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘คำสั่ง’ เขาไม่มีวันมาเหยียบที่นี่อีก
ทว่า ระหว่างมื้ออาหารดำเนินไป ภาคีจับสังเกตได้ว่าสายตาของนาวินมักลอบมองหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างกายเขา
ปาวรินทร์ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เข้ามาในบ้าน นั่นทำให้เขาประหลาดใจเป็นครั้งที่สาม ใบหน้าสวยยามไร้รอยยิ้มดูเย็นชาแต่กลับมีเสน่ห์ เธอไม่มองเขาเลย ทั้งที่ก่อนหน้าเป็นฝ่ายแสดงความสนใจเขาก่อนแท้ ๆ
ความอยากรู้เริ่มก่อตัวขึ้น อยากรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่
ประกอบกับท่าทีของนาวิน ทั้งหมดกระตุ้นให้ภาคีทำสิ่งที่ไม่เคยคิดทำมาก่อน
เขาตั้งกุ้งตัวโตใส่จานของหญิงสาวข้างกาย
เปลวกำลังจ่อช้อนเข้าปากถึงกับชะงักค้าง มองภาคีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เสียงสนทนาคล้ายจะเงียบลงด้วย
“ผมเห็นคุณตักไม่ถึง” ภาคีกล่าวหน้าตาเฉย
หญิงสาวอยากกระอักเลือด พยายามทำตัวเป็นธาตุอากาศแล้วแท้ ๆ ทำไมต้องมาสาดแสงสปอตไลต์ใส่เธอด้วย!