ตอนที่ 11
นิตากลับบ้านตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แถมขนเสื้อผ้าที่นาวินซื้อให้เปลวกลับมาด้วย เดินขากะเผลกขนาดนั้นยังอุตส่าห์เอามาวางให้ถึงในห้อง เจ้าตัวเพียงอมยิ้มแล้วจากไปโดยไม่พูดอะไร
ความสงสัยก่อตัวในใจ สรุปสองคนนี้ได้กันรึยัง?
ลุงนิธิไม่ได้เข้ามากระชากหัวเธอแต่อย่างใด พอเจอเปลวก็ขมวดคิ้วเหมือนเห็นเแมลงหวี่แมลงวัน ก่อนมองเลยไปตามปกติ
นึกอยู่แล้วว่านิตาต้องไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องลุง เพราะถ้าเกิดเปลวโดนซ้อมขึ้นมา เธอจะเอาเรื่องนี้ไปออดอ้อนนาวินได้ แล้วภาพลักษณ์คุณหนูผู้บอบบางประดุจแก้วเจียระไนจะแตกทันที
อืม... ถึงเธอจะไม่มีวันทำอย่างนั้นก็เถอะ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาถึงขั้นไหน จึงเปิดโซเชียลขึ้นมาเผื่อได้เจออะไรดี ๆ แล้วก็เจอจริง ๆ เธอรู้แล้วว่านิตาหายไปไหนมาทั้งคืน
นางไปนอนโรงพยาบาลมาจ้า
เดี๋ยวนะ นี่เข่ากระพื้นแรงจนข้อต่อหลุดหรือยังไง คนประเทศไหนหกล้มแล้วต้องนอนโรงพยาบาล หรือตอนนั้นค่าแรงดึงดูดของโลกแปรปรวนจนทำให้ล้มแรงกว่าปกติ
สงสัยเป็นสิทธิพิเศษสำหรับคนมีตังค์กระมัง ชีวิตในชาติก่อน นอกจากตอนแรกเกิดเปลวไม่เคยไปเหยียบโรงพยาบาลสักครั้ง ป่วยแค่ไหนก็ต้องนอนรักษาตัวอยู่บ้าน แล้วแต่ท่านเทพสักองค์จะเมตตาว่าเธอควรอยู่หรือตาย เพราะกว่าจะได้พบหมอ อาการป่วยคงหายก่อน
ในโพสต์มีคนแห่มาให้กำลังใจกันล้นหลาม นิตาไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นโรคอะไร เพียงตอบคอมเม้นท์ว่าไม่ต้องห่วง จะดูแลตัวเองอย่างดี อ่านถึงตรงนี้แล้วอาหารที่กินไปเมื่อเช้าแทบจะตีตื้นขึ้นมาถึงคอ กระโถนอยู่ไหน เธออยากจะอวก
เปลวคิดว่านั่งไถโทรศัพท์อยู่ในห้องนอนคงไม่ได้ความมากนัก จึงตัดสินใจย้ายไปนั่งดูทีวีในห้องรับแขกแทน ลุงนิธิเดินผ่านเพื่อไปรับทานอาหารเย็นกับครอบครัว ทำหน้าราวกับต้องการถามว่า ‘แกมาทำอะไรตรงนี้’ ส่วนเธอตอบกลับทางสายตาว่า ‘เรื่องของหนูค่ะ’ เขาทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่สบอารมณ์ ก่อนพาตัวเองออกจากห้องไป
ครอบครัวนี้แปลกอยู่อย่าง คุยกันผ่านโทรจิตรู้เรื่อง ดีเหมือนกัน ไม่ต้องออกแรงพูดให้เมื่อยปาก
ไม่นานก็ได้ยินเสียงช้อนส้อมกระทบกัน บ่งบอกว่ามื้ออาหารเริ่มขึ้นแล้ว พวกเขาคุยเรื่องสัพเพเหระ ลุงนิธิถามถึงอาการที่หัวเข่า เสียงใสตอบกลับว่าไม่เป็นอะไรมาก กล่าวโทษความซุ่มซ่ามของตนไม่หยุด เปลวได้ยินแล้วถอนหายใจพรืด ยังมีคนสนใจเรื่องนี้อีกเหรอ นางล้มบ่อยจนนึกว่าข้อเข่าเสื่อมก่อนวัย ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสักหน่อย
“พ่อรู้จักคนที่ชื่อนาวินไหมคะ”
ในที่สุดบทสนทนาก็มาถึงเรื่องน่าสนใจ เสียงนิตาดูเหมือนดังขึ้นกว่าปกติจนเปลวไม่ต้องเงี่ยหูฟัง
“นาวิน... นาวิน อินทรเนตรน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
ตระกูลอินทรเนตร เจ้าของบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าครบวงจร เคยมีผลสำรวจว่า กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนในประเทศมีสินค้าจากบริษัทนี้ติดบ้านอย่างน้อยหนึ่งชิ้น ครองตลาดตั้งแต่กลุ่มรากหญ้าจนถึงระดับไฮเอนด์ บอกแค่นี้ก็รู้ว่าเป็นตระกูลที่มั่งคั่งขนาดไหน โชติวัตรที่ว่ารวยยังสู้อินทรเนตรไม่ได้
“รู้จักสิ” น้ำเสียงทุ้มแสดงความตื่นเต้น
“เขาเป็นคนไปส่งนิตาที่โรงพยาบาลค่ะ หนูเลยชวนมาทานข้าวที่บ้านเพื่อเป็นการตอบแทน”
เปลวหูผึ่ง นาวินเนี่ยนะมาทานข้าวที่บ้าน!?
“เมื่อไหร่ล่ะ”
“วันเสาร์หน้าค่ะ”
“ดี ๆ ๆ เสียดายอาทิตย์หน้าพ่อต้องไปดูงานต่างประเทศ ลูกก็ดูแลพี่เขาดี ๆ ล่ะ ว่าแต่ไปรู้จักกันตอนไหน”
นิตาเล่าว่าเจอนาวินครั้งแรกในงานเลี้ยง และบังเอิญเจอกันอีกทีที่ห้างสรรพสินค้า โดยไม่เอ่ยถึงเปลวเลยสักคำ พูดไปหัวเราะไป รื่นเริงเชียว เล่าว่านาวินดีกับนางยังไง สุภาพบุรุษแค่ไหน เสียงดังจนคนแอบฟังขมวดคิ้ว นิตาต้องรู้แน่ว่าเธอนั่งอยู่ตรงนี้ จงใจยั่วโมโหอยู่รึเปล่า? คิดว่าพูดแบบนี้แล้วเธอจะบุกเข้าไปอาละวาดกลางมื้ออาหารงั้นเหรอ
ใช้วิธีแบบนี้ยั่วโมโหเธอน่ะยังเร็วไปสิบปี
หลังจากนั่งฟังจนจบ ความผิดหวังก็ถาโถมเข้ามา
ไม่ว่าจะนอนฟัง ตะแคงฟังยังไง เธอสรุปเรื่องทั้งหมดได้เพียงอย่างเดียว
สองคนนี้ยังไม่ได้กัน…
ทั้งที่เมื่อวานลงทุนทำถึงขนาดนั้น สองคนนี้ก็ยังไม่ได้กัน
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งให้ห้วงแห่งความเศร้า
นิตาเดินออกมาจากห้องอาหาร เห็นน้องสาวนั่งคอตกจึงร้องทักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
เปลวผงกหัวขึ้น เห็นพี่สาวยืนฉีกยิ้มให้ เบื้องหลังนัยน์ตาแฝงแววเย้ยหยัน
“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจปรึกษาพี่ได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว”
“พี่คงไม่อยากรู้หรอกว่าเปลวไม่สบายใจเรื่องอะไร” เธอส่งยิ้มหวานให้บ้าง บรรยากาศเย็นเยียบปกคลุมทั่วห้องชั่วขณะ จนกระทั่งลุงนิธิและภรรยาผู้แสนจืดจางเดินตามมา พวกเขาถึงพากันขึ้นบันไดไปชั้นบน
เปลวเหม่อมองโฆษณายาสีฟันบนทีวี ในหัวคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ
วันเสาร์หน้าเธอควรหายตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด จะได้ไม่ต้องสู้รบตบมือกับกระทิงและงูเห่าพร้อมกัน
ทว่า อีกความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว เปลวหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูข้อความที่ยังไม่มีคนตอบรับ
หรือว่าควรชวนภาคีมาดี?
ให้เขาได้เห็นว่ามีก้างชิ้นโตขวางทางอยู่ และรู้ว่าการจีบนิตานั้นไม่ง่าย ส่วนเธอจะคอยเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เพื่อรอคอยโอกาส
เปลวพยักหน้ากับตัวเอง คิดว่าแผนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว