ฮูหยินสกุลหยาง
"ถึงจะเป็นดังที่ท่านว่า แม้ท่านโหวจะไปหานาง นางก็ควรปฏิเสธมิใช่หรือ มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าการเข้าหอคืนแรกของคู่บ่าวสาวสำคัญเพียงใด ยิ่งท่านเป็นถึงฮูหยินเอกด้วยแล้วกลับถูกอนุผู้นั้นแย่งตัวท่านโหวไปแล้วแบบนี้ท่านจะกล้าออกไปสู้หน้าคนอื่นได้หรือเจ้าคะ"
"ถึงจะมาพูดเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เจ้าก็อย่าโกรธเคืองนางนักเลย ทั้งเจ้าและข้าล้วนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อีกนานคงดีเสียกว่าถ้ารู้จักผ่อนปรน ข้ากับนางมีหน้าที่ปรนนิบัติท่านโหว หากสามีของข้าจะไปหานางมากหน่อยก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร"
"ข้ารู้ว่าท่านจิตใจดี แต่ไม่คิดว่าจะใจกว้างมากขนาดนี้"
"เจาฝาง ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้าดี เพียงแต่ข้ากับจ้าว ซูลี่ยังไม่เคยสนทนากันเลยสักครั้ง เจ้าจะให้ข้าเกลียดชังนางเพียงเพราะว่านางเป็นอนุของท่านโหวก็ออกจะเกินไปหน่อยกระมัง"
"ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการจะเอ่ยแล้วเจ้าค่ะ" เพราะโมโหแทนนายหญิงของตนทำให้นางมีอคติกับสตรีผู้นั้นโชคดีที่คำพูดเมื่อครู่ได้ดึงสติของนางกลับคืนมา
ที่เรือนฝั่งตะวันตก
จ้าวซูลี่ประโคมเครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำประหนึ่งกลัวผู้คนไม่รู้ว่าครอบครัวของตนมีฐานะเพียงใด
"นายหญิง สาวใช้ที่ส่งไปหาคนที่เรือนฝั่งตะวันออกกลับมาแล้วเจ้าค่ะ"
"ให้นางเข้ามา" เมื่อสาวใช้ผู้นั้นเข้ามาด้านในนางได้เอ่ยปากถามทันที
"นางพูดอันใดกับเจ้าบ้าง"
"นอกจากฮูหยินจะไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองท่านแล้ว นางยังให้ข้านำห่อยานำกลับมาให้ท่านด้วยเจ้าค่ะ" ว่าพร้อมยื่นห่อยามาตรงหน้า
"ข้าอยากรู้นักว่านางจะทำตัวเป็นแม่พระได้นานสักเท่าใด ส่วนห่อยานี่เอาไปทิ้งเสีย ข้าไม่อยากให้เรือนของข้ามีสิ่งอัปมงคลอยู่"
"เจ้าค่ะ"
คล้อยหลังสาวใช้ได้ไม่นานนัก สาวใช้คนสนิทได้เอ่ยถามด้วยความแปลกใจที่ฮูหยินหยางใจกว้างเช่นนี้ เดิมทีฮูหยินเอกใช่ว่าจะใจกว้างกันทุกคนเสียเมื่อไร พวกนางต่างหาทางขัดขวางไม่ให้สามีไปหาอนุด้วยกันทั้งนั้น ทว่าฮูหยิน หยางกลับไม่ใช่
"ดูเหมือนว่าหลิวเจียหรงผู้นี้จะใจกว้างน่าดูเลยนะเจ้าคะ"
"หึ ยิ่งนางใจกว้างมากเท่าใดก็ยิ่งดี ข้าจะได้ไม่ต้องลงแรงมากนัก"
"นั่นสินะเจ้าคะ"
"เจ้าไปตรวจดูสินเดิมที่ข้านำมาจากจวนแล้วรึยัง"
"ยังเจ้าค่ะ"
"ไม่ได้เรื่อง! นี่มันยามไหนแล้ว หากสินเดิมของข้าตกหล่นแม้แต่รายการเดียวข้าจะลงโทษเจ้า"
"บ่าวจะรีบไปตรวจดูเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ ขอนายหญิงใจเย็นลงสักหน่อยเถิด"
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของสาวใช้ จ้าวซูลี่ยิ่งแสดงความไม่พอใจออกมาผ่านใบหน้าของนาง เป็นเพราะถูกเลี้ยงดูแบบประคบประหงมตามใจมาตั้งแต่เด็กทำให้นางมีนิสัยใจร้อน ชอบวางอำนาจไม่ต่างจากบิดาจนบางครั้งเมิ่งหรานทำได้เพียงก้มหน้ารับฟังคำสั่งอย่างปลงตก
หลังจากคืนเข้าหอคืนนั้นหยางเฟยหลงยังไม่เคยไปร่วมหลับนอนกับพวกนางทั้งสองคนร่วมเดือนเศษ ด้วยภาระงานที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนราวกับต้องการจะทดสอบความสามารถของเขาในตำแหน่งเฉิงหยางโหวที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อครึ่งปีก่อน
เดิมทีตระกูลหยางไม่ได้เป็นจุดสนใจของขุนนางตระกูลอื่นสักเท่าใดนัก เหตุเพราะบิดาผู้ล่วงลับของเขาเป็นเพียงอาจารย์สอนเหล่าบัณฑิตในสถาบันเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวง ผิดกับบรรพบุรุษของสกุลหยางที่ล้วนแต่เป็นแม่ทัพทั้งสิ้น พวกเขาต่างสิ้นชีพในสนามรบทำให้ตระกูลหยางทั้งตระกูลเหลือเพียงบิดาของเขาที่ตอนนั้นยังเด็กมาก พอเติบใหญ่ขึ้นหยางซีซวนเลือกเดินคนละเส้นทางกับบรรพบุรุษของตนทำให้บทบาทในราชสำนักของสกุลหยางสิ้นสุดลงนับตั้งแต่นั้นมา
ทุกครั้งที่ท่านย่าเล่าเรื่องราวของท่านปู่ให้เขาฟังก่อนที่ท่านจะจากไปด้วยโรควัยชราทำให้หยางเฟยหลงคิดอยากเดินตามรอยของท่านปู่
