บทที่ 22
ตลอดทางกลับบ้านภัควรินทร์ไม่พูดอะไรสักคำ กระทั่งเสียงสะอื้นก็ถูกสะกดกลั้นไว้ลึกสุดใจ เว้นแค่ตอนที่หย่อนตัวนั่งในรถเท่านั้นที่เผลอนิ่วหน้าและสูดปากเบา ๆ
“คุณโอเคหรือเปล่า?” ธีรักษ์ถามหลังจากคนสนิทกลับไปพักผ่อนที่บ้านกับครอบครัว
“น้ำหวานจะไม่โอเคได้ยังไงคะ ได้แต่งชุดสวย ๆ ไปออกงานทั้งที แถมคุณธารยังใส่ชื่อน้ำหวานเป็นเจ้าของภาพด้วย น้ำหวานโชคดีขนาดนี้ก็ต้องโอเคอยู่แล้วแหละค่ะ”
ภัควรินทร์แกล้งมีความสุขต่อหน้าคนรอบตัวจนลืมไปแล้วว่าธีรักษ์ต่างจากทุกคน เขารับฟังและใส่ใจกับเรื่องที่เธอเล่า สังเกตทุกรายละเอียดอย่างใกล้ชิด ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าเธอกำลังจะน้ำตาแตกเต็มทีแล้ว
“หนูไม่จำเป็นต้องฝืนยิ้มต่อหน้าผม ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ” เขาดึงตัวเธอมากอด กดใบหน้าเล็กแนบชิดกับอกกว้างและทาบจูบบนผมหอมเบา ๆ “การร้องไห้เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ มันไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอเสมอไปหรอกนะ”
“คุณธาร…”
ภัควรินทร์ไม่รู้จะพูดอะไรจึงร้องไห้โฮกับความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญมาตั้งแต่เมื่อวาน คุณย่าแจ่มจันทร์เรียกเธอกลับบ้านเพราะต้องการลงโทษที่ทะเลาะกับพลอยแสง ไม่ใช่เพราะห่วงใยที่เธอหายหน้าหายตาไปนาน ซ้ำยังเชื่อคำพูดคนอื่นมากกว่าหลานแท้ ๆ ว่าเธอออกนอกลู่นอกทาง คบหากับผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้า ลงโทษโดยไม่ฟังความอีกข้าง หากเจนิตาไม่มาเธอคงถูกตีจนต้องนอนซมเหมือนสมัยเด็ก
นอกจากเจ็บตัวเจ็บใจจากคนในครอบครัวแล้วเธอยังถูกซ้ำเติมด้วยคำพูดแย่ ๆ ที่ต้องทนฟังตลอดวัยเรียน พลอยแสงไม่ใช่เด็กดี คอยกลั่นแกล้งเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษาจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัย อุตส่าห์ไม่ได้ทำงานที่เดียวกันแล้ว แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
“ร้องไห้ให้พอ แล้วถ้าหนูพร้อมค่อยมาคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเด็กพลอยแสงถึงได้กัดหนูไม่ปล่อย แล้วอย่าบอกนะว่าแค่เรื่องเรียน เพราะผมไม่เชื่อง่าย ๆ แบบคราวก่อนแน่”
“น้ำหวานพูดความจริงนะคะ ยัยพลอยชอบแข่งเรื่องเรียนกับน้ำหวานมาตั้งแต่เด็ก พอแพ้ก็พาลหาเรื่อง ไม่ยอมรับความจริงว่าคนเราไม่มีทางได้ที่หนึ่งทุกครั้ง” ภัควรินทร์ยืนเคว้งอยู่กลางห้องรับแขก เม้มปากสะกดความประหม่าเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่บอกชัดว่า ‘ไม่เชื่อ’
“น้ำหวาน…” เสียงทุ้มต่ำกดดันจนภัควรินทร์ต้องหลุบตามองพื้น พฤติกรรมไม่ต่างจากเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้
“หนูเคยคุยกับแฟนเก่าของพลอยค่ะ ตอนนั้นหนูไม่รู้ว่าเขายังคบกันอยู่ แต่พอรู้ก็รีบเท ไม่ได้คุยต่อเลยสักคำ”
เธอช้อนตามองเขาเพื่อขอความเห็นใจ แต่กลับสัมผัสได้เพียงความเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
“เคยคุย?” ธีรักษ์ถามเสียงเย็นชา
“ก็…ก็หนู เอ่อ น้ำหวานโสด คุยกับใครก็ไม่ผิดนี่คะ แล้วพอน้ำหวานรู้ว่าเขาโสดไม่จริงก็…”
“เคยถูกตัวกันหรือเปล่า?”
“ก็มีบ้างค่ะ คนคุยกัน” เธอตอบเสียงสั่น กลัวสายตาเย็นชาคู่นั้นจนไม่กล้าขยับตัว
“จับมือ กอด?” ชายหนุ่มหรี่ตาเมื่อเห็นว่าภัควรินทร์พยักหน้า “หอม จูบ?”
เจ้าตัวทำท่าคิดครู่หนึ่งก็ผงกหัว ก่อนส่ายหน้ารัว ๆ ปฏิเสธแทนการตอบด้วยคำพูด การทำเช่นนั้นทำให้คนถามสับสน ไม่แน่ใจว่าเรื่องเลยเถิดถึงแค่การหอมหรือว่าจูบด้วยแล้ว แต่ที่แน่ ๆ คือเขาไม่อยากฟังอะไรให้หงุดหงิดมากไปกว่าเดิม และมีเพียงหนทางเดียวที่จะระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านนี้ได้
เขาต้องลบรอยพวกนั้น…
ธีรักษ์กระชากร่างบอบบางที่สู้อุตส่าห์ทะนุถนอมเข้ามาแนบอกและทาบจูบร้อนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เขาไม่ยอมให้อิสระเธอที่ส่งเสียงอู้อี้ร้องห้าม มือข้างหนึ่งตรึงคอเล็กไว้แน่น ส่วนอีกข้างกอดรัดเอวคอดขยับชิด แทบเรียกได้ว่าไร้พื้นที่ว่างระหว่างกันและกัน
“คุณธาร…” เสียงของเธอสั่นสะท้าน ความต้องการและความหวาดกลัวผสมปนเปกันวุ่นวายไปหมด “ปล่อยน้ำหวานนะคะ น้ำหวานกลัว”
“ไม่ปล่อย หนูเป็นของผม ผมจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องตัวหนูทั้งนั้น!” ธีรักษ์ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนจึงไม่รู้ว่าตัวเองขี้หึงจนน่ากลัว กระทั่งผู้ชายที่เธอบอกว่าเคยทำแค่กอดจูบเขาก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้ จินตนาการไปว่าความหอมหวานนั้นถูกชายอื่นเชยชิมในยามที่ความทรงจำของเขายังไม่กลับคืนมา
พลาดเหลือเกินที่จำภัควรินทร์ไม่ได้…
มือหนาเลื่อนต่ำตามความปรารถนาดำมืดที่ทะยานสูง สอดเข้าใต้เดรสสีชมพูหวานที่เขาเกลียดชังเพราะมันเปิดเปลือยผิวอันงดงามของภัควรินทร์ กระตุ้นความหื่นห่ามคนมองรุนแรงจนแทบควบคุมสติไม่อยู่ หลังจากลูบไล้เรียวขาขาวสวยครู่หนึ่งจึงขยับเคลื่อน บีบบั้นท้ายสวยเต็มแรง
“โอ๊ย!…ฮืออออ คนใจร้าย ฮือออ”
ภัควรินทร์ร้องลั่นสะดุ้งสุดตัว ก่อนผลักอกกว้างสุดแรง น้ำตาแตกร้องไห้โฮราวกับเด็กถูกทำโทษ มือเล็กขยับลูบบั้นท้ายตัวเองเบา ๆ ขณะเดินกลับเข้าห้องนอน ทิ้งให้คนที่ถูกกล่าวหาว่าใจร้ายยืนงงอยู่เพียงลำพัง
