บทที่ 13
ภัควรินทร์โมโหจนตัวสั่น อยากเดินกระทืบเท้าประชดเขาก็ทำไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ลากสังขารพาตัวเองกลับเข้าห้องนอน โดยไม่ลืมหยิบเจลประคบเย็นติดมือไปด้วย
เธอปฐมพยาบาลตัวเองต่อ พลางก่นด่าคนไร้เหตุผลอย่างธีรักษ์ อุตส่าห์เป็นห่วงที่เขาปวดหัวและอาเจียน รีบทำอาหารย่อยง่ายรอให้เขาตื่นมารับประทาน แต่สุดท้ายกลับถูกไล่ให้กลับไปพัก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น
“แผลถลอกนิดเดียวเอง…”
หญิงสาวพึมพำ โยนเจลประคบเย็นลงพื้นก่อนทิ้งตัวนอน ไม่นานก็หาวหวอดและผล็อยหลับ ทว่าผ่านไปได้แค่สองชั่วโมงเศษก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเจ็บปวดตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณข้อเท้าที่บวมกว่าเดิมเล็กน้อย
ยาแก้ปวดหมดฤทธิ์แล้วเป็นแบบนี้นี่เอง…
ทว่าทิฐิทำให้ภัควรินทร์ไม่ยอมบอกเจ้านายว่าตัวเองเจ็บจนแทบเดินไม่ไหว รีบล้างหน้าแล้วฝืนเดินไปขึ้นรถที่ไกรวิทย์สตาร์ตรออยู่ ไม่นานธีรักษ์ก็ตามออกมา เขาหรี่ตามองเธออย่างพิจารณา ทว่าไม่ได้ออกความเห็นอะไร นอกจากสั่งให้คนสนิทขับรถไปยังบ้านของหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลนัก
เพียงชั่วอึดใจทั้งคู่ก็มาถึงบ้านของพลอยแสง รถคันที่เธอขับเมื่อเช้าจอดอยู่ในรั้วบ้าน เดาว่าคงมาถึงได้ไม่นานเพราะนี่ก็เพิ่งห้าโมงเย็นเท่านั้น
“คุณพลอยเชิญคุณไปรอด้านในน่ะค่ะ เธอกำลังแต่งตัว ไม่เกินสิบห้านาทีจะลงมาพบ” สาวใช้คนหนึ่งรายงานพร้อมกับรอยยิ้ม ทว่าหุบปากฉับทันทีที่ได้ยินแขกคนสำคัญของคุณหนูกล่าวประโยคเด็ดออกมา
“ผมอยากคุยกับคุณพลวัตหรือไม่ก็คุณรัตนามากกว่า คุณช่วยแจ้งพวกท่านได้ไหมว่าผม ธีรักษ์ อัครจินดานนท์ขอพบ พอดีมีเรื่องด่วนต้องคุยด้วยน่ะ”
สาวใช้ได้ยินนามสกุลแขกคนสำคัญก็ถึงกับอ้าปากค้าง ส่วนแม่บ้านที่ตั้งสติได้ดีกว่านั้นรีบแจ้นไปรายงานเจ้านายอย่างเร่งรีบ รอเพียงแค่สองนาทีทั้งพลวัตและรัตนาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของธีรักษ์ ทั้งคู่ฉีกยิ้มกว้าง เข้าใจไปว่าลูกสาวมีความสัมพันธ์กับทายาทตระกูลดัง แต่ความหวังกลับพังทลายเมื่อเขาดึงเจ้าของแขนเรียวเล็กที่มีรอยถลอกมาด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยประโยคที่คาดไม่ถึง
“พลอยแสง ลูกสาวของพวกคุณทำให้คนของผมเจ็บ ผมไม่แน่ใจว่าประมาทหรือว่าจงใจกลั่นแกล้ง แต่เดาจากที่ทั้งคู่รู้จักกันมาก่อน ผมว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า”
“ยัยพลอยทำอะไรนะคะ?”
“ผมเห็นรถของลูกสาวคุณขับชะลอดูคนของผมหลายวันติดกันละ แต่เพิ่งเมื่อเช้านี้นี่เองที่เล่นแรง แกล้งบีบแตรจนคนของผมล้มได้แผล ข้อเท้าเจ็บ ข้อมือก็เจ็บ ทำงานไม่ได้…ผมคงต้องขอเรียกค่าเสียหายสักแสน ทดแทนที่คุณทำให้งานของผมล่าช้า ทำให้ผมต้องเสียเวลามาที่นี่”
“แสนนึงเลยเหรอคุณ! มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอคะ แล้วไหนคะหลักฐานที่ว่ายัยพลอยไปทำร้ายคนของคุณ โกหกหรือเปล่าก็ไม่รู้” รัตนาแย้ง แม้จะเชื่อว่าลูกสาวตัวเองผิด แต่จะให้จ่ายเงินขนาดนั้นกับแค่แผลถลอก นางไม่มีวันยอมง่าย ๆ แน่
“ผมรู้ว่าคุณต้องพูดแบบนี้เลยให้คนไปขอภาพจากกล้องวงจรปิดของหมู่บ้านมาแล้ว” เขาพยักพเยิดไปยังไกรวิทย์ที่ยกแฟลชไดรฟ์ชิ้นเล็กให้เห็นโดยทั่ว “ส่วนเงินแสนมากไปหรือเปล่านั้น…คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเวลาแค่ชั่วโมงเดียวที่ผมเสียไปมันมีค่ามากแค่ไหน หรือว่าต้องการเอกสารชี้แจงเพื่อที่จะได้จ่ายตามจริง แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะว่าตัวเลขมันจะไม่โดดขึ้นมาสักสามสี่เท่า”
“คุณธีรักษ์ใจเย็นก่อนนะครับ ยังไงเราก็เคยร่วมงานกันมาก่อน…” พลวัตรีบประนีประนอมก่อนเรื่องราวจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ คนตรงหน้าแม้ดูใจดี แต่ถ้าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ เขาไม่เคยยอมลงให้ใคร เรียกได้ว่าต่างจากน้องชายโดยสิ้นเชิง
“ผมจำไม่ได้ว่าเราเคยร่วมงานกัน จำได้แค่ว่าคุณเคยขอร้องให้ผมช่วย แล้วผมก็ช่วย…” ธีรักษ์ฉีกยิ้มกว้างราวกับกำลังคุยเรื่องสนุก ไม่ใช่กดดันอีกฝ่ายจนเหงื่อซึม “แลกกับความสบายใจของผม แสนนึงไม่เยอะหรอกนะ แล้วก็อย่าลืมสอนลูกของคุณให้ดี ถ้าทำให้คนของผมมีแผลอีกแม้แต่นิดเดียว…เอาเป็นว่า อย่าหาว่าผมใจร้ายกับเด็กก็แล้วกัน”
ธีรักษ์หันมาคว้ามือคนข้างกายเตรียมพากลับบ้าน แต่เธอกลับนิ่วหน้าในยามออกเดิน ฟันขาวเรียงสวยขบกลีบปากแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น
“หนูเจ็บข้อเท้าใช่ไหม” เขากระซิบถามอย่างลืมตัว และเมื่อเธอพยักหน้าก็สอดแขนประคองพากลับขึ้นรถทันที
อีกครั้งแล้วที่เขาเผลอเรียกเธอว่าหนู…
