บทที่ 5
แอ๊บบี้ไม่ยอมเสียเวลา เดินกลับไปหาแม่พร้อมกับบอกให้ทราบว่าถึงเวลากลับกันได้แล้วและรีบพาแม่เดินไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ เธอไม่ต้องการให้มีโอกาสเปิดขึ้น จนกระทั่ง แม่อาจจะเกิดไปพบกับผู้หญิงคนที่อ้างว่า...มันไม่สําคัญหรอกว่าผู้หญิงคนนั้นอ้างตัวเองว่าเป็นใคร เห็นอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เป็นข้ออ้างที่ไร้เหตุผลอย่างที่สุด บางที ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนสติไม่ดีคนหนึ่งเท่านั้น
แถวทิวของรถเคลื่อนตามกันออกมาเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากยังมีผู้คนเดินกระจัดกระจายกันอยู่โดยรอบ ประสาทของเธอตึงเครียดตั้งสติไม่ใคร่จะอยู่ แอ๊บบี้เอนหลังลงพิงพนักที่นั่ง ครุ่นคิดอยู่ในใจว่าผู้หญิงคนนั้นจะได้พบปะสนทนากับเพื่อนฝูงของครอบครัวมากน้อยแค่ไหน ซึ่งแน่นอนการสนทนาดังกล่าวจะต้องเป็นเรื่องโกหกมดเท็จทั้งสิ้น และชาวเท็กซัสก็ชอบเรื่องร้ายๆ อย่างนี้กันเสียด้วย
เธอลองชําเลืองมองไปทางมารดา “บ๊าบส์” พ่อชอบเรียกแม่สั้นๆ อย่างกึ่งเล่นกึ่งจริง เพราะมันมีความหมายถึงเสียงน้ำที่ไหลเซาะอยู่ไม่ขาดสาย ซึ่งหมายถึงว่าแม่ชอบพูดแต่เรื่องที่ไม่ใคร่มีสาระเท่าไรนัก แอ๊บบี้จําต้องยอมรับว่ามันเป็นคําสั้นๆ ที่อธิบายถึงคุณลักษณะในตัวของแม่ได้อย่างถูกต้องตรงต่อความจริงอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะ แม่เป็นคนรักสนุกอุปนิสัยร่าเริงพอใจในสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลาแม่อาจจะพูดได้เป็นชั่วโมงๆ ด้วยเรื่องที่ไม่มีแก่นสารสาระอะไรเลย ชีวิตของแม่ดูไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้ออกงานสังคมรื่นเริง ซึ่งได้รับเชิญอย่างไม่ขาดสาย นอกจากนั้น แม่ยังชอบจัดงานปาร์ตี้ขึ้นพอๆ กับไปร่วมงานที่ผู้อื่นจัด
แอ๊บบี้เคยมีความรู้สึกว่าไม่มีหญิงชายคู่ใดไม่เหมาะสมสําหรับกันและกันเท่าคู่ของพ่อกับแม่อีกแล้ว แต่กระนั้น บ๊าบส์ก็ยังยกย่องบูชาดีนยิ่งนัก แม่ไม่เคยตัดสินใจเรื่องอะไรด้วยตนเองเลย ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงไรก็ตามแม่จะต้องปรึกษาหารือพ่อเสียก่อน ทั้งนี้เพราะแม่มีความเชื่ออย่างแน่นเหนียวว่าทุกสิ่งที่พ่อคิดและทําคือสิ่งที่ถูกต้องสมบูรณ์อย่างที่สุดแล้วนั่นเอง
แต่มันก็ไม่ถึงกับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเสียทีเดียว แอ๊บบี้ขมวดคิ้วบางๆ เมื่อนึกไปถึงการเป็นปากเสียงด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังประตูที่ปิดสนิทไว้ แต่เธอยังได้ยินเสียงสั่นสะท้านของแม่ที่หลุดลอดออกมาคละเคล้าอยู่ด้วยเสียงร่ำไห้ สีหน้าของพ่อที่บอกความโกรธจัดแต่รานร้าวยิ่งนักยังเห็นได้ชัด เมื่อเขาเดินกระแทกเท้าปังๆ ออกมาจากในห้อง แม่มักจะขังตัวอยู่แต่ในห้องเสมอ บางครั้งอยู่ได้เป็นชั่วโมงๆ แต่เมื่อออกมาสีหน้าจะหม่นหมองซีดเศร้าดวงตาแดงช้ำแต่ปิดปากสนิท บางช่วงตอนของความทรงจํานั้นค่อนข้างลางเลือน แต่แอ๊บบี้ยังมีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าเรื่องที่เป็นปัญหาขัดแย้งกันอยู่ดูเหมือนมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น และเรื่องดังกล่าวดูเหมือนเกี่ยวข้องกับการเดินทางด้วยเรื่องของธุรกิจที่พ่อจะต้องไปแคลิฟอร์เนียเพื่อพบกับลูกค้าบางคนอยู่บ่อยๆ นั่นเอง
มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากเธอสําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสมาใหม่ๆ แอ๊บบี้แสดงความคิดเห็นกับแม่ว่าน่าจะติดตามพ่อไปลอสแองเจลิสด้วย
“ประการหนึ่งนะคะ บ๊าบส์” เธอให้เหตุผลมาทางโทรศัพท์ “เวลานี้หนูไม่ได้อยู่บ้านแล้ว แม่จะอยู่ในบ้านหลังที่มันใหญ่โตขนาดนั้นแต่เพียงลําพังทําไมละคะ? นี่มันเป็นโอกาสดีที่สุดที่แม่ควรจะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปไหนบ้างและได้ทําอะไรร่วมกับพ่อบ้างนะคะ”
เธอยังจดจําน้ำเสียงอึกอักเหมือนคนกําลังต่อสู้อยู่กับความรู้สึกของตัวเอง และจําคําปฏิเสธแผ่วเบาที่ดังมาตามสายได้ดี
“แต่แม่คะ”
“แม่เกลียดแคลิฟอร์เนีย” คําตอบห้วนๆ ดังมาตามสาย คล้ายกับมีความขมขื่นแฝงอยู่จนไม่อาจพูดให้อ่อนหวานกว่านั้นได้
“แม่คะ แต่แม่ไม่เคยไปแคลิฟอร์เนียเลยนี่”
“และไม่คิดจะไปเหยียบที่นั่นด้วย” จากนั้น บ๊าบส์เปลี่ยนเรื่องพูดเสีย
ถ้าเป็นกับคนอื่นแอ๊บบี้จะต้องคาดคั้นเพื่อให้ได้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอสามารถดันทุรังได้อย่างชนิดหัวชนฝาเมื่อต้องเผชิญกับกําแพงที่ขวางกั้นอยู่ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใดก็ตาม และถ้าจําเป็น เธอสามารถเลาะอิฐได้ทีละแผ่นๆ เพื่อหาความรู้ให้ได้ว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่อีกฟากหนึ่ง แต่สําหรับเรื่องนี้เธอประจักษ์ชัดอยู่ว่ามันเป็นสิ่งที่บ๊าบส์ไม่ต้องการเผชิญหน้าด้วย เมื่อมาถึงตอนนี้แอ๊บบี้คิดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่
ผู้หญิงคนที่ชื่อราเชลคนนั้นบอกว่า หล่อนเดินทางมาจากลอสแองเจลิส แอ๊บบี้ทบทวนความทรงจําของตัวเองอย่างไม่เต็มใจเลย แต่มันอาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ แม้แต่เรื่องความเข้มของสีน้ำเงินในดวงตาก็เช่นเดียวกัน แอ๊บบี้ขมวดคิ้วย่นเมื่อความทรงจําในเรื่องหนึ่งปรากฏขึ้น เธอนึกถึงเวลาที่พ่อลอบจ้องมองหน้าเธออยู่ตอนที่เขาคิดว่าเธอไม่เห็น ในสีหน้าของพ่อมีแววอาวรณ์และปวดร้าวลึกๆ แววตาเศร้าคล้ายกับเสียใจในอะไรบางอย่างอยู่ ดวงตาคู่นั้นเป็นสีเดียวกับดวงตาของเธอและกับผู้หญิงคนที่ชื่อราเชล ฟาร์คนนั้น
แอ๊บบี้เคยคิดอยู่เสมอว่าการที่พ่อมองเธอเช่นนั้นเพราะพ่ออยากเห็นเธอเป็นลูกชายมากกว่าลูกสาว มีผู้ชายคนไหนบ้างเล่าไม่อยากได้ลูกผู้ชายไว้เป็นทายาทสืบสกุลของตน? เธอแน่ใจว่าไม่มีเลย พ่อพยายามอย่างมากที่จะทําใจให้รักเธอ และเธอก็ใช้ความพยายามอย่างมากเช่นเดียวกันที่จะได้ครอบครองความรักนั้น เพียงแต่ไม่เคยประสบความสําเร็จอย่างเต็มที่เลยสักครั้ง
“แอ๊บบี้ พ่อว่าลูกใจร้อนมากไปหน่อยนะ” ดีนเอ่ยขึ้นเมื่อเธอบอกให้เขาทราบว่า บัดนี้ เธอกับคริสโตเฟอร์แยกทางกันแล้ว “ผัวเมียทุกคู่มันก็ต้องมีปัญหาขัดแย้งกันทั้งนั้น แต่ถ้าลูกพยายามให้ความเข้าใจในปัญหาของเขาบ้าง”
“เข้าใจหรือคะ?” เธอระเบิดออกมา “ไหนพ่อลองช่วยอธิบายให้หนูเข้าใจหน่อยสิว่าคนที่เป็นเมียควรจะต้องมีความเข้าใจในเหตุผลของตัวยังไง เมื่อจับได้ว่าผัวของตัวไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น แถมผู้หญิงคนนั้นยังเป็นคนที่เมียตัวรู้จักอีกด้วย”
“ไม่ใช่ พ่อไม่ได้หมายความว่า...”
“พ่อหวังจะเห็นหนูทํายังไงละคะ? ยกโทษให้เขาอย่างนั้นหรือ? พ่อกําลังจะแนะนําให้หนูเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ขณะที่เขาประจานความโง่เง่าของหนูต่อหน้าเพื่อนฝูงอย่างนั้นหรือคะ? หนูจะไม่ยอมให้ใครมาหัวเราะเยาะหนูอย่างนั้นได้อีกแล้ว...พอกันที”
“พ่อเข้าใจว่าหนูรู้สึกเจ็บใจมากแค่ไหนที่เขา...ทําสิ่งน่าละอายอย่างนั้น” เขาเลือกสรรคําพูดมาใช้ในการนี้อย่างระมัดระวังขณะเดินกลับไปกลับมาช้าๆ เบื้องหน้าโต๊ะทํางาน “พ่อสงสัยอยู่ว่าเขาตั้งใจจะทําอย่างนั้นหรือเปล่า เรื่องอย่างนี้มันอาจจะเกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้นี่ลูก เพราะบางทีก่อนผู้ชายเราจะทันรู้ตัวก็พบว่าตัวเองถลําลึกลงไปกว่าที่ตัวเองตั้งใจจะให้เป็นแล้ว เรื่องอย่างนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดวางแผนไว้ล่วงหน้าหรอก มันเป็นเพียงเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นเท่านั้น”
“พ่อพูดจากประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับตัวเองใช่ไหมละคะ?” เธอโต้กลับไปทันทีและพบว่าสีหน้าของพ่อแดงก่ำขึ้นพร้อมกับหลบตาลง ท่าทางของเขาในตอนนั้นคล้ายกับละอายใจในบางสิ่งบางอย่างอยู่มาก แม้แต่คนโง่สุดก็ยังสามารถจับสังเกตความรู้สึกและอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปได้ แอ๊บบี้มิได้รั้งรอเลยที่จะโจมตีตรงจุดอ่อนนั้น
“ถามจริงๆ เถอะค่ะ พ่อเคยคิดไม่ซื่อกับแม่บ้างหรือเปล่า? และเพราะเหตุนี้ใช่ไหมล่ะที่ทําให้พ่อเข้าข้างคริสโตเฟอร์อย่างเป็นกุ้งเป็นแควทั้งๆ ที่หนูเป็นลูกของพ่อเอง? นี่พ่อไม่แคร์เลยหรือคะ ว่าลูกของตัวเองมีความสุขบ้างหรือเปล่า?”
“อ๋อ...พ่อแคร์สิ... แคร์มากด้วย” เขาตอบอย่างกล้าหาญ
“งั้นหรือคะ? แต่บางครั้งหนูยังสงสัยนะ” เธอสะบัดหน้าจากเขา พยายามควบคุมอารมณ์และความเจ็บใจที่เกิดขึ้นไว้ “พ่อคะ หนูรู้พ่อคิดว่าเรื่องเพียงแค่นี้หนูควรให้อภัยเขาได้ แล้วลืมมันเสียให้หมดด้วย แต่หนูทําไม่ได้หรอกค่ะ และจะไม่ทําด้วย หนูไม่สามารถเชื่อใจเขาได้อีกต่อไป คนเรานะคะพ่อ เมื่อไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้อีกมันก็ไม่มีความรักเหลืออยู่ด้วย และบางที เราต่างก็ไม่เคยมีความรักที่แท้จริงต่อกันและกันเลย แต่ถึงแม้ว่าหนูไม่ได้รับความรักจากเขากลับคืนมา หนูก็ไม่แคร์หรอกค่ะ หนูไม่ต้องการมีชีวิตแต่งงานแบบนี้และหนูจะต้องกําจัดคริสโตเฟอร์ออกไปจากชีวิตของหนูโดยเร็วที่สุด...”
“พุทโธ่ แอ๊บบี้ หนูต้องรู้สิว่าไม่มีลอว์สันคนไหนเคยต้องถึงกับหย่าร้างมาก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น หนูจะเป็นคนแรกไงละคะ ดีไหมคะพ่อ? มันถึงเวลาแล้วนี่ที่ใครสักคนจะต้องเป็นผู้นําในเรื่องนี้” ขณะเดินออกจากห้องทํางานนั้นเธอมาหยุดอยู่ตรงประตู หันกลับไปบอกเขาว่า “แต่อย่าห่วงไปเลยนะคะพ่อ หนูจะไม่ขอให้พ่อมาเป็นทนายความยื่นฟ้องให้หนูหรอก หนูมีทนายคนอื่นอยู่แล้ว คนที่เขาไม่ได้อยู่ในตําแหน่งอันสูงส่งอย่างพ่อด้วย”