บทที่ 4 ...ไฟแค้นแสนพิศวาส...
ชามาตุ์ออกจากห้องแต่งตัวตามมารยาท ยืนมองวิวทิวทัศน์คั่นเวลาขณะรออัปสรสินีแต่งตัว ผ่านหน้าต่างบานสูงจากพื้นจดเพดานกรุกระจกติดฟิมล์กรองแสงเปิดโล่งให้มองเห็นสวนไม้ดอกไม้ผลในรั้วบ้านและพืชไร่ไกลออกไป พืชพันธุ์นานาชนิดในไร่สวนกำลังออกดอกผลดกดื่นหลากสีสวยงาม แต่ครู่เดียวภาพหญิงสาวสวยยืนเปลือยตัวอาบน้ำใต้ฝักบัวก็เขามาบดบังทุกอย่างหมด
เรื่องเกินคาดฝันที่เด็กสาวขี้ริ้วที่เขาจำใจจดทะเบียนสมรสกลายเป็นนางฟ้าแสนสวยได้สร้างความพึงพอใจแก่เขาเป็นอย่างมาก ชามาตุ์เริ่มคิดถึงการมีครอบครัวของตัวเอง คาดหวังว่าการครองคู่ฉันสามีภรรยาจะช่วยให้ทั้งสองมีความเข้าอกเข้าใจต่อกันในวันข้างหน้า และเขาคงมีความสุขได้ไม่ยาก
“ขอโทษนะคะ ที่ออกมาช้า" อัปสรสินียกมือไหว้ตามธรรมเนียมที่ผู้อ่อนวัยต้องแสดงความอ่อนน้อมต่อผู้มีวัยสูงกว่า แล้วกล่าวต่อ" ดิฉันเก็บข้าวของเสร็จแล้ว เชิญคุณพักตามสบาย ตอนบ่ายดิฉันจะให้เด็กรับใช้มานำข้าวของของดิฉันออกไป”
“อะไรกัน พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ถ้าห้องนี้ถูกปรับปรุงใหม่ให้เป็นห้องหอของเราสองคน น้องอัปสรก็ต้องอยู่ที่นี่สิ จะเก็บข้าวของออกไปไหนล่ะ" ชามาตุ์หันมาตามเสียง งงงันกับสิ่งที่ได้ยินจากภรรยาสาวสวย เขาไม่ได้อยากแยกห้องสักหน่อย
“ดิฉันไม่อยู่รบกวนหรอกค่ะ เชิญพักตามสบายเถอะ” อัปสรสินีปรายตามองนิดหนึ่งขณะเดินตรงไปที่ประตู แต่ถูกเจ้าของร่างสูงว่องไวเดินมาขวางไว้เสียก่อน
“รบกวนอะไร น้องอัปสรเป็นเมียพี่จะแยกอยู่คนละห้องทำไม พี่ไม่อยากให้คนรับใช้ในบ้านเอาไปพูดว่าผัวเมียไม่ทันได้เข้าหอก็ทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นแยกห้องนอนกันแล้ว" ชามาตุ์ต้องเอื้อมมือจับปลายคางมนของคนที่เมินหน้าไม่ยอมสบตาให้หันมามองตรงๆ
ดวงตาคมชายหนุ่มจับมองพินิจหน้าสวยหวานของภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย เพิ่งครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเธอชัดๆ อัปสรสินีเป็นหญิงสาวโชคดีเพราะมีเครื่องหน้าสวยงามจนหาที่ติไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น คิ้ว ตา จมูก ปาก หน้าผาก คาง ลำคอ หรือ เส้นผม ตลอดจนเรือนร่างช่างสมส่วนสวยงามไปเสียทุกอย่าง
แต่ใบหน้าเนียนใสอมชมพูสีเลือดฝาดกลับขาดชีวิตชีวาไปจากท่าทีเย็นชาหมางเมินเสมือนไม่ยินดียินร้ายต่อการได้พบผู้เป็นสามี โดยเฉพาะถ้อยคำน้ำเสียงที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนที่ทำให้ชามาตุ์เข้าใจว่าเป็นความโกรธน้อยใจการไม่ได้รับความสนใจใยดีจากเขามานาน
"จะมาห่วงภาพพจน์อะไรตอนนี้" อัปสรสินีสะบัดหน้าออก ถอยห่างออกให้พ้นระยะที่อีกฝ่ายจะเอื้อมถึงแล้วพูดต่อ
"คนรับใช้ในบ้านทุกคนรู้กันดีว่าอะไรเป็นอะไร หรือห่วงว่าคุณป้าจะไม่สบายใจจนทรุดหนักลงไปอีก อย่าห่วงเลยค่ะ ได้เห็นหน้าเห็นตัวจริงลูกชายที่รักอย่างนี้ สุขภาพกายใจของคุณป้าคงจะดีขึ้นมาก" อัปสรสินีไม่รู้ว่าชามาตุ์จะกลับมาอยู่กับมารดานานแค่ไหน แต่คิดว่ายังดีที่เขามีจิตสำนึกห่วงใยมารดาอยู่บ้าง
"พูดเรื่องอะไร บอกมาให้ชัดๆหน่อยซิ สุขภาพคุณแม่เป็นยังไง ท่านเจ็บป่วยเป็นอะไรหรือ ทำไมไม่มีใครบอกพี่เลย" คำพูดในประโยคหลังของอัปสรสินีสะดุดใจชามาตุ์เข้าอย่างแรง
ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักในตอนนี้ว่าคุณชนันทาดูซูบผอมซีดเซียวอยู่มาก ตอนที่เขามาถึงบ้านได้พบปะพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ก็เห็นท่านยิ้มแย้มแจ่มใสเขาจึงไม่ได้นึกถึงความเจ็บป่วย และก่อนหน้าที่เขาจะกลับมาบ้านได้คุยโทรศัพท์กันหลายครั้งท่านก็ไม่เคยพูดเรื่องการเจ็บป่วยอะไรเลย
ส่วนเรื่องการอยู่ต่างถิ่นต่างที่กับบิดามารดามา คนอื่นอาจมองว่าความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกจะห่างเหินกัน แต่ความรู้สึกรักห่วงใยที่ชามาตุ์มีต่อบุพการีไม่เคยลดน้อยลงเลย และเขาไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจจะมารับฟังเรื่องการเจ็บป่วยของมารดาอีกคน
"จะมาถามอะไรตอนนี้" อัปสรสินพูดเสียงปั้นปึ่ง
หญิงสาวยังโกรธไม่หายที่ติดต่อไปหาชามาตุ์เพื่อบอกกล่าวเรื่องการเจ็บป่วยของคุณชนันทาหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยได้เจอหรือได้พูดกับตัวเขาตรงๆ ฝากเรื่องให้เขาติดต่อกลับก็ไม่เคยได้รับการติดต่อกลับสักที
"อย่ามาพูดมาทำเสียงแบบนี้กับพี่นะ พี่ไม่ชอบ" ชามาตุ์ดุเสียงเคร่ง
"ก็ไม่ได้ชอบอยู่แล้วนี่ จะพูดจะบอกอะไรก็ไม่เคยสนใจ" อัปสรสินียอกย้อน คิดว่าชามาตุ์ไม่ยอมรับโทรศัพท์ของตนเพราะไม่ชอบขี้หน้าภรรยาที่พ่อแม่ยัดเยียดให้
"อัปสรสินี" ชามาตุ์เสียงเข้ม เข้าใจว่าอัปสรสินีกำลังพูดถึงเรื่องของเธอกับเขา "เก็บเรื่องของเราไว้คุยกันทีหลังได้ไหม พี่อยากรู้เรื่องคุณแม่ ท่านไม่สบายเป็นอะไร" ชามาตุ์ร้อนใจเรื่องมารดา
เขารู้ว่าตัวเองทำผิดที่ละเลยต่อหน้าที่สามีและลูกที่ดี เรื่องอัปสรสินีเขาก็คิดจะไถ่โทษด้วยการจัดงานฉลองหรือตกแต่งให้ถูกต้องตามประเพณี แต่ตอนนี้เขาห่วงสุขภาพมารดาเหนือสิ่งอื่นใด
“การเจ็บป่วยของคุณป้า ภายนอกอาจจะดูไม่มีอะไร แต่จิตใจสิคะ ยิ่งตอนไม่มีคุณลุงอยู่ด้วยแล้ว คุณป้าก็ยิ่งเหงา...” อัปสรสินีบอกตามที่คิดได้
“อะไรนะ แค่เหงา เรื่องแค่นี้เอง พูดเสียพี่ตกอกตกใจ ตื่นตูมเป็นกระต่ายไปได้” ชามาตุ์ฟังไม่ทันจบก็พูดแซงขึ้นเสียก่อน นึกสบายใจที่มารดาไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่ห่วงกังวล
"ทำตื่นตูมเป็นกระต่ายหรือ ใช่สิ ถ้าคุณจะรับรู้สักนิดว่าการอยู่ห่างไกลลูกหลานหรือคนที่รักห่วงใยทรมานใจเจ็บปวดใจแค่ไหนก็คงกลับมาอยู่บ้านนานแล้ว" อัปสรสินีโต้กลับ
เคยคิดอยู่เสมอว่าชามาตุ์ช่างใจดำ เอาแต่หลงใหลได้ปลื้มติดอยู่กับความฟุ้งเฟ้อของสังคมในเมืองใหญ่จนลืมนึกถึงบิดามารดาที่เฝ้าคิดถึงถวิลหาและตั้งตารอด้วยความรักห่วงใย
หญิงสาวคิดอยู่เสมอว่าการตั้งเงื่อนไขให้ชามาตุ์ต้องจดทะเบียนสมรสกับตน เป็นเพราะคุณมารุตต้องการให้บุตรชายคนเดียวกลับมาสานต่องานที่เมืองไทย โดยเฉพาะงานทำไร่ที่คุณมารุตรักเหนือสิ่งอื่นใดหลังจากที่คุณมารุตละสังขารจากโลกนี้ไป แต่บุตรชายก็ยังรีรอมานานเกือบสองปีและสิ่งนี้ทำให้อัปสรสินี นึกชิงชังเขานัก
“ถ้าคุณแม่ต้องการให้พี่กลับมาจริงๆ ท่านคงเรียกตัวพี่กลับมานานแล้ว หรือที่พูดนี่หมายถึงตัวเอง กลัวจะเป็นม่ายผัวทิ้งละสิ" ชามาตุ์เริ่มโมโห เมื่อคำพูดของอัปสรสินีตอกย้ำความสำนึกผิดในใจ
"บ้า...ใครจะต้องการผู้ชายใจดำอย่างคุณ พ่อแม่ยังไม่อยากเหลียวแล กลับมาดูใจแค่วาระสุดท้ายแล้วก็ไป ไม่สนใจแม่ที่ต้องระทมทุกข์กับการสูญเสียทั้งสามีทั้งลูกชาย คุณคิดว่าดิฉันควรจะเสียดายผู้ชายอย่างนี้หรือ" อัปสรสินีเองก็โมโหจนลืมตัว จึงใช้คำพูดรุนแรงเกินกว่าจะตั้งใจ
ถ้อยคำตำหนิเชิงสบประมาทของอัปสรสินีกระตุ้นโทสะของชามาตุ์ให้พุ่งปรี๊ด ร่างสูงกระโจนเข้าคว้าร่างบอบบางแบบพยัคฆ์ตะครุบเหยื่อ แล้วกดประทับริมฝีปากบนกลีบปากสวย ช่างต่อว่าต่อขานรุนแรงด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ
อัปสรสินีไม่ทันระวังได้แต่ยืนตะลึงรับโทษทัณฑ์จากจูบบดขยี้ เสี้ยววินาทีต่อมาก็ถูกผลักลงหงายตึงลงบนเก้าอี้ปลายเตียง ไม่ทันได้หายใจเต็มปอดก็ถูกระดมจูบเหมือนจะให้ขาดใจตายคาปากจมูกไปเสียเลย
เมื่อสาสมใจร่างสูงได้ผละออกห่างไปยืนกอดอกมองด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว โดยอัปสรสินีที่ได้รับอิสระก็ลุกพรวดขึ้นฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าข้างหนึ่งเต็มแรง ซึ่งเพิ่มความโกรธให้ชามาตุ์มากขึ้นแทบจะลืมตัวตบกลับ แต่จิตสำนึกฝ่ายดีเตือนให้หยุด เขาเลยทำเพียงยกมือขึ้นเงื้อง่าเพราะทำร้ายผู้อ่อนแอกว่าไม่ลง
“คิดว่าเป็นเมียแล้วจะพูดอะไรก็ได้งั้นหรือ ต่อไปจะมาว่ากระทบกระแทกแดกดันพี่แบบนี้ไม่ได้นะ มีอะไรก็พูดจากันดีๆ พี่เป็นผัวนะ ไม่ใช่ภูเขาหรือหินผาจะได้ไม่สะทกสะเทือน" ชามาตุ์ว่ากล่าวสั่งสอนด้วยวัยวุฒิที่มากกว่า
"ต่อไปคุณกับฉันจะไม่ต้องเป็นอะไรกันทั้งนั้น"
อัปสรสินีกำลังโมโหจัดเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างหัวเตียงหยิบใบสำคัญการหย่าที่เตรียมจะส่งไปให้ตามที่เข้าใจว่าชามาตุ์ร้องขอมาสัปดาห์ก่อนยื่นส่งให้ตรงหน้าเขา โดยมีหนังสือแนบเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมลายเซ็นระบุชัดเจนว่า...ไม่ต้องการแบ่งสินสมรสใดๆ...และคิดว่าชามาตุ์คงจะพอใจ
“อะไรอีกล่ะ” ชามาตุ์ชะงักมองก่อนจะรับมาเปิดดู เมื่อเห็นคำว่า...ใบสำคัญการหย่า...ปรากฏหราอยู่บนหัวกระดาษ จากที่กำลังโมโหยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณ
“อ้อ เตรียมการไว้เสร็จสรรพ ที่อยากจะหย่าจนเนื้อตัวสั่น เพราะกอบโกยเงินทองของพ่อพี่จนพอใจแล้วหรืออยากจะมีผัวใหม่" ชามาตุ์เริ่มพาลเพราะเสียหน้าเสียศักดิ์ศรีที่ถูกภรรยาขอหย่าตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จึงขยำฉีกใบหย่าออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เอ๊ะ คุณ ฉีกมันทำไม ก็คุณ...” อัปสรสินีชะงักค้างเมื่อถูกปากระดาษที่ฉีกใส่หน้า
“จำไว้นะ อัปสรสินี จะไม่มีการหย่าอะไรทั้งนั้น”
คำประกาศของชามาต์ทำให้อัปสรสินีทั้งงุนงงทั้งตกใจ เขาจะเอาอย่างไร อยู่ๆก็มาฉีกใบหย่าที่เพียรขอจากเธอมานานนับเดือน