บทที่ 5 ...ไฟแค้นแสนพิสวาส...
หลังจากชามาต์เดินหนีเข้าห้องแต่งตัวไปแล้ว อัปสรสินีก็รีบเผ่นออกมาเข้าห้องเก่าของตนที่อยู่ติดห้องรับรองแขกทางฝั่งตรงข้าม ตั้งใจจะกลับมาใช้ห้องเก่าแทนห้องหอที่เคยอยู่มาเกือบสองปี เพราะตอนนี้เจ้าของเดิมเขากลับมาทวงสิทธิ์คืนแล้ว แม้ห้องนอนเก่าจะไม่ใหญ่โตกว้างขวางอัปสรสินีก็พอใจจะกลับมาอยู่หรือบางทีเธออาจจะขอคุณชนันทาย้ายไปอยู่บ้านเดิมของบิดามารดาที่ปลูกอยู่ท้ายไร่
ห้องนอนเก่าของอัปสรสินีได้รับการทาสีตกแต่งใหม่ ด้วยเช่นกัน แต่ทำเอาไว้เพื่อรับรองแขกที่มาเยื่ยมเยือน โดยคุณชนันทาได้ให้ลูกสะใภ้เลือกแบบเครื่องเรือนใหม่ทุกอย่าง อัปสรสินีจึงแต่งห้องด้วยโทนสีกลางๆ ทุกอย่างจึงเป็นสีครีมกับ สีขาวมองดูสะอาดตา
อัปสรสินีเข้ามาทุ่มตัวลงบนเตียงนุ่มด้วยอารมณ์โมโหพลุ่งพล่าน ฟาดมือตีฟูกที่อยากให้เป็นคนตัวโตที่ชอบเรียกตัวเองว่า....ผัว....เป็นคำที่ได้ยินแล้วทำให้เกิดความรู้สึกขัดเขิน แต่ยิ่งเขินอายมากขึ้นเมื่อนึกถึงจูบของเขาที่เป็นจูบแรกในชีวิต
“นายบ้า นายยโส นายวางโต อย่าฝันไปเลยว่าฉันจะยอมตามใจนายง่ายๆ” คนบ่นพึมพำคว้าหมอนใบหนึ่งมาตีมาเขย่าราวกับเป็นตัวคนที่ตนโกรธ แล้วเหวี่ยงออกไปอย่างไร้ทิศทาง
“โอ๊ะ คุณอัปสร" คนถูกหมอนกระทบหน้าร้องลั่น "เอาหมอนปาหนูทำไมคะ” กะลายืนกอดหมอนมองเจ้านายสาวหน้าตื่นตระหนก
“อ้าว ฉันขอโทษจ้ะ กะลา ไม่ได้ทันดู” คนเขวี้ยงหมอนหันมายิ้มหน้าเจื่อน
“จะทันดูยังไงล่ะคะ ก็หันหลังเหวี่ยงมาอย่างนั้น คุณอัปสรโกรธหรือคะที่หนูมาช้า” เด็กสาวหน้าจ๋อย คิดว่านายสาวจะโกรธที่ตนขึ้นมารับใช้ช้ากว่าทุกวัน เพราะมัวเพลินนั่งฟังคนรับใช้ที่จับกลุ่มพูดคุยกันถึงการกลับมาของบุตรชายคุณชนันทานายใหญ่ของบ้าน
เมื่อขึ้นมาเด็กสาวก็ตรงดิ่งไปที่ห้อนอนใหญ่เคาะประตูเบาๆตามที่ถูกอบรมสั่งสอนมา แต่เคาะอยู่หลายทีไม่มีเสียงตอบก็สองจิตสองใจว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ควรเข้าไป เพราะในห้องเสียงเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่
ความอยากรู้ของเด็กสาววัยสิบหกมีมากกว่า ภาพที่แง้มประตูแอบดูทำให้ตาของเด็กสาวเบิกโพรง ตกใจที่เห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่นอนอยู่บนเตียงที่นายสาวของตนเคยนอน...แล้วคุณอัปสรไปอยู่ที่ไหน...เด็กสาวถามในใจ แต่ไม่ถึงวินาทีก็นึกได้
แม้อัปสรสินีจะย้ายไปอยู่ในห้องนอนใหญ่ แต่บางทีก็ยังกลับมานอนในห้องเก่า ครั้งแรกกะลาก็ตกใจที่ไม่พบเจ้านายสาวอยู่ในห้อง เที่ยวตามหาทั่วบ้านก็ไม่เจอ แต่ไม่กล้าถามใครจึงนั่งรออยู่หน้าประตู และเห็นอัปสรสินีเปิดประตูห้องนอนเก่าออกมา
“เปล่า...ฉันไม่ได้โกรธกะลานะ”
อัปสรสินีลุกไปเปิดม่านเปิดหน้าต่างทุกบานแล้วกลับมานั่งบนเตียง ยิ้มให้เด็กรุ่นสาวเจ้าของชื่อ กะลา ที่ถูกเรียกตามคำเรียกของบิดาที่ชื่อ นายกระทา คนงานในไร่ที่เมียป่วยกะเสาะกะแสะมานานหลายปีตายจากไปจึงนำลูกสาวอายุสิบสี่มาฝากทำงานในบ้าน อัปสรสินีสงสารเด็กหญิงกำพร้าแม่จึงขออนุญาตคุณชนันทารับไว้เลี้ยงดู และเด็กสาวก็คอยรับใช้ใกล้ชิดมาตลอด
“แล้วโกรธคนตัวโตในห้องนอนใหญ่หรือคะ ถึงได้มาปาหมอนเล่นอยู่ที่นี่” พูดแล้วก็หัวเราะกิ๊กกั๊กขบขันเจ้านายสาว พอนึกได้ว่าเผลอพูดสิ่งไม่เหมาะไม่ควรกับเจ้านาย ก็ผลุบลงนั่งพับเพียบยกมือขึ้นไหว้ปลกๆเพื่อขออภัย
กะลารับรู้เหมือนทุกคนว่าเจ้านายสาวของตนเป็นภรรยาบุตรชายของคุณชนันทาผู้เป็นคุณนายใหญ่ของบ้าน และย้ายเข้าไปอยู่ห้องนอนใหญ่หลังจากปรับปรุงตกแต่งใหม่มาเกือบสองปี เด็กสาวฉลาดเฉลียวพอจะเดาถูกว่าผู้ชายตัวสูงในห้องนอนใหญ่ต้องเป็นสามีของเจ้านายสาวสวยที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายสาวสวยถึงไม่อยู่กับสามีในห้อง
“อย่าสนใจเลยจ้ะ ตอนบ่ายเข้าไปเอาข้าวของฉันจากห้องนอนใหญ่ออกมาไว้ห้องนี้นะ ฉันจัดเก็บไว้บ้างแล้ว"
“อ้าว ทำไมคุณอัปสรไม่อยู่ห้องเดียวกับคุณผู้ชายล่ะคะ” เด็กสาวถามทื่อๆตามที่สงสัย
“ฉันจะกลับมาอยู่ห้องนี้จ้ะ” ผู้เป็นเจ้านายตอบสั้นๆ ใช้สายตาปรามไม่ให้เด็กสาวได้ถามต่อ
“จะดีหรือคะ" กะลาถามอ้อมแอ้ม คิดตามประสาซื่อว่าผัวเมียควรจะอยู่ห้องเดียวกัน
"ดีสิจ๊ะ แล้วคืนนี้ กะลาเอาเครื่องนอนสำรองมานอนกับฉันด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะจัดที่ทางให้ แล้วไม่ต้องถามว่าทำไมนะจ๊ะ” อัปสรสินีส่ายนิ้วสับทับห้ามให้เด็กสาวช่างพูดถามต่อ
"เอ้อ ค่ะ เดี๋ยวกะลาทำความสะอาดห้องให้นะคะ"
"ดีจ้ะ ไม่ได้เข้ามานอนซะหลายวัน ฉันจะไปไร่ อาจจะกลับมาตอนค่ำเลย บอกป้าแก้วไม่ต้องตั้งอาหารกลางวันเผื่อ"
ตามปกติอัปสรสินีจะกลับมากินอาหารกลางวันเป็นเพื่อนคุณชนันทาทุกวัน แต่วันนี้มีลูกชายจอมยโสกลับมาอยู่ด้วยก็อยากให้คุณชนันทาได้อยู่กับเขาตามลำพัง นอกจากแม่ลูกจะได้พูดคุยกันสะดวกใจแล้ว บางทีคุณชนันทาอาจจะบอกลูกชายเรื่องการเจ็บป่วยตามที่ชามาตุ์อยากรู้และหัวเสียเรื่องใบหย่าจนลืมซักไซ้เอาคำตอบจากเธอ