บทที่ 9 กลั่นแกล้ง1
ตั้งแต่ถูกทิวากรพูดจาร้าย ๆ ใส่ เขมิกาก็เริ่มปรับตัวและจุดยืนของตัวเองอีกครั้ง ในคราแรกเธอตั้งใจทำดีกับเขาให้มากเพื่อให้เขายกโทษให้ ไม่หวังให้ตัวเองกลับไปเป็นคนรัก แค่หวังให้เขาไม่โกรธเกลียดเธอแล้วก็พอ ทว่าหลังจากเห็นปฏิกิริยาที่ชายหนุ่มมีต่อตัวเองแล้ว หญิงสาวก็ได้แต่ทำใจ
ในเมื่อเขารังเกียจเธอเสียยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน เธอก็จะไม่ยุ่งวุ่นวายให้เขารำคาญใจ ทำหน้าที่เลขาของตัวเองให้ดีก็พอ
พอคิดได้แบบนั้น ความรู้สึกมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ในอกค่อย ๆ เบาบางลง ไม่ใช่ว่าไม่รัก ไม่ใช่ว่าทำใจหรือตัดใจได้ ที่ต้องวางเฉยก็เพื่อไม่ให้เขาเกลียดเธอไปมากกว่านี้
เขมิกายืนทอดถอนใจอยู่หน้าบริษัทศิวานันท์กรุป ดวงตากลมโตจับจ้องประตูเข้าบริษัทอย่างละล้าละลัง ความคิดแรกที่จะตั้งใจทำหน้าที่เลขาของตัวเองให้ดี ไม่สนใจเรื่องเก่าก่อนหรือปัจจุบันระหว่างเธอและเขาอีก พอเอาเข้าจริงกลับทำไม่ง่ายเสียเลย แค่คิดว่าต้องเห็นหน้าเขาใจดวงน้อยก็แปลบไปทั้งดวง
เฮ้อ จะถอยก็ไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้าจำทนนั่นแหละนะ
“น้องเขม มายืนทำเอ็มวีอะไรอยู่ตรงนี้ครับ ใกล้เวลาเริ่มงานแล้วนะ เดี๋ยวเข้าไปช้าก็โดนท่านรองประธานดุเอาอีกหรอก” ระหว่างที่หญิงสาวจมอยู่กับความคิดตัวเอง เสียงทักทายของดนุภพก็ดังขึ้นด้านหลัง
หญิงสาวหันกลับไปยิ้มบาง ๆ รับคำก่อนตอบไปว่า “เปล่าค่ะพี่ภพ เขมแค่คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะค่ะ นี่ก็ว่ากำลังจะเข้าไปแล้วเหมือนกัน แต่พี่ภพทักขึ้นพอดี”
“อย่างนั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มถามอย่างไม่เชื่อ เมื่อครู่เขาเห็นตำตาว่าเธอกำลังเหม่อลอยแค่ไหน
“ค่ะ” เอาเถอะ ในเมื่อหญิงสาวตอบว่าไม่มีอะไรก็คงไม่มีอะไรแหละ เรื่องส่วนตัวของคนอื่น หากเขาไม่ขอความช่วยเหลือเราก็ยื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ได้ แม้เขาจะสถาปนาตัวเองเป็นพี่ชายของสาวน้อยหน้าหวานแม่สื่อคนสำคัญคนนี้แล้วก็ตาม
“โอเคครับ งั้นเราก็เข้าไปพร้อมกันเถอะ ว่าแต่น้องเขมเห็นอินไหมครับ พี่ยังไม่เห็นเลย ปกติเวลานี้เจ้าตัวต้องมาทำงานแล้วนี่นา” ดนุภพถามถึงสาวที่ชอบที่เขาตามจีบมาหลายเดือน
“เห็นยัยอินบอกว่าจะไปทำธุระที่ธนาคารก่อนน่ะค่ะแล้วถึงจะเข้าบริษัท”
“อย่างนั้นเหรอครับ... ทำไมไม่บอกกันเลยนะ” ท้ายประโยคชายหนุ่มคล้ายพึมพำกับตัวเอง แต่เขมิกาก็ได้ยินอยู่ดีเพราะเดินข้างกัน
“คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากมั้งคะ ยัยอินเลยไม่บอก พี่ภพทำใจนะคะ เพื่อนเขมคนนี้ปากแข็งปากหนักมาก แต่ถ้าถามเขมว่ามันคิดยังไงกับพี่ เขมบอกได้เลยค่ะว่ามันสนใจในตัวพี่ ตอนนี้อาจจะชอบแล้วด้วยซ้ำ อ้อ ยัยอินชอบคนสม่ำเสมอ ยังไงก็สู้ ๆ นะคะ เขมเอาใจช่วย เขมขอตัวก่อนนะคะ”
พูดจบก็เดินแยกมา เนื่องจากชั้นทำงานของแผนกการเงินกับผู้บริหารมันคนละชั้นกัน
หญิงสาวเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน ยังไม่ทันได้วางกระเป๋าดี เสียงของเจ้านายก็ดังขึ้นเรียกเธอเข้าไปพบเสียก่อน
“คุณเขมิกาเข้ามาพบผมในห้องด้วยครับ” ร่างบางถอนหายใจ ก่อนเดินไปหยุดหน้าประตูห้องทำงานของอดีตชายคนรักผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท เจ้านายปัจจุบันของเธอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
มือบางยกขึ้นเคาะประตูเป็นจังหวะสามครั้งอย่างคนมีมารยาทก่อนเปิดและเดินเข้าไป
“สวัสดีค่ะ ท่านรองเรียกเขมไม่ทราบว่ามีอะไรจะใช้งานเขมเหรอคะ”
ปากถามทว่าหน้ากลับก้มไม่ยอมมองทำเจ้าของห้องคิ้วกระตุกชักสีหน้าไม่พอใจ
“พูดกับผมก็มองหน้าผมด้วยครับ ไม่มีใครสอนเหรอว่าให้มองหน้าคู่สนทนา ทำตัวไม่มีมารยาทไร้การศึกษาไปได้”
เจ็บ... ริมฝีปากบางได้รูปเม้มแน่นหากแก้ตัวไม่ได้เพราะที่เขาพูดมามันเป็นเรื่องจริง
“ขอโทษค่ะ เขมจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก” เธอเอ่ยขอโทษพร้อมสบตาคมอย่างหวาดหวั่น
“ดี! ผมไม่อยากมีเลขาไม่รู้ความ”
“...” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เธอและเขาจ้องตากันไร้ซึ่งคำพูด สุดท้ายก็เป็นเธอที่ทนความอึดอัดนี้ไม่ไหวเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“แล้วที่ท่านรองเรียกเขมเข้ามาไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“หึ จะเรื่องอะไรละ ฉันก็เรียกเธอมาตำหนิน่ะสิ”
“ตำหนิ?” หญิงสาวเอียงคอถามอย่างฉงน ในหัวพลันขบคิด เธอทำอะไรผิด เขาจะตำหนิเธอเรื่องอะไร
“ใช่ ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อตาใส มันใช้กับฉันไม่ได้ผลหรอกนะ สำหรับฉันแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ” ไม่พูดเปล่ายังมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยันอีกด้วย คนถูกว่ากระทบเริ่มทำตัวไม่ถูก ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำกะพริบตารัว ๆ เพื่อไม่ให้หยาดน้ำตาที่เอ่อคลอไหลลงมา
“เหอะ พูดนิดพูดหน่อยก็จะร้องไห้ เจ้าน้ำตาจริงนะ เสแสร้งสิ้นดี” คนเจ้าอารมณ์ต่อว่าต่อขานไม่เลิก มองหญิงสาวอย่างไม่สบอารมณ์นักพลางคิดในใจ คงจะใช้มุกนี้ในการล่อลวงผู้ชายบ่อยสิท่า การแสดงออกถึงได้เป็นธรรมชาติมากขนาดนี้
“เอาละ เลิกเสแสร้งทำตัวอ่อนแอต่อหน้าฉันสักที บอกแล้วไงว่ามันใช้ไม่ได้ผล” เขาหยุดไปครู่ก่อนเอ่ยถึงเรื่องที่เรียกหญิงสาวเข้ามาพบ
“ที่ฉันเรียกเธอเข้ามาก็เพื่อจะตำหนิเรื่องเวลาทำงาน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เธอทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของคุณแม่เธอมาสายแบบนี้หรือเปล่า ซึ่งฉันจะไม่พูดในส่วนนั้น แต่อยากย้ำให้เธอเข้าใจว่าตอนนี้เธอเป็นเลขาของฉัน ซึ่งฉันไม่ชอบคนไม่ตรงต่อเวลา เพราะสำหรับฉันเวลามีค่าเสมอ ต่อให้เธอจะมาสายไปเพียงวินาทีเดียว พึงระลึกไว้ว่าวินาทีนั้นก็สำคัญ งานบางอย่างมันรอให้เธอมาทำไม่ได้ตลอดหรอกนะ หากเธอยังไม่ปรับปรุงตัว ตำแหน่งเลขาที่เธอกอดไว้อยู่อาจหลุดไปหาคนที่เหมาะสม” ทิวากรร่ายยาวสายตาคมกริบจับจ้องไปยังร่างบางที่ยืนก้มหน้ากุมมือฟังเขาอย่างสงบ
“เข้าใจที่ผมพูดไหม”
“เข้าใจค่ะท่านรอง เขมจะปรับปรุงตัวค่ะ”
“ดี ออกไปได้แล้ว เห็นหน้าแล้วอยากจะอาเจียน” ชายหนุ่มพูดแบบไม่รักษาน้ำใจจนหัวใจของหญิงสาวชาหนึบไปทั้งดวง
“ค่ะ ท่านรอง” เธอครางรับเสียงแผ่วแล้วเดินหันหลังตรงไปที่ประตู ขณะที่มือบางกำลังจะดึงประตูให้เปิดออก เสียงทุ้มต่ำแฝงตำหนิก็ดังขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ใบหู
“ทีหน้าทีหลังอย่าไปยืนอ่อยผู้ชายที่หน้าบริษัทอีก มันน่าสมเพช เธอจะไปอ่อยใครที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่บริษัทของฉันจำไว้”
“คะ ค่ะ” หญิงสาวตอบรับท่าทีลุกลี้ลุกลนแล้วเปิดประตูออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มไป
เขมิกาตื่นตระหนก เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเขามายืนชิดเเผ่นหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ใบหูแล้ว
หญิงสาวทรุดนั่งที่เก้าอี้ทำงานด้วยกายใจสั่นระรัว ใจสั่นเพราะความใกล้ชิดที่ทำเธอรู้สึกหวั่นไหวทั้งที่รู้ว่าเขาไม่คิดอะไร กายสั่นเพราะโกรธจนน้อยใจจากคำพูดของเขา
เธอไปยืนอ่อยผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเธอจำไม่ได้เลยว่าเคยทำตัวแบบนั้น?
หากเป็นเหตุการณ์เมื่อเช้า เธอก็แค่เผลอคิดอะไรเพลิน ๆ จนพี่ภพเข้ามาทักไม่ใช่เหรอ เธอไม่ได้ยืนอ่อยใครสักหน่อย
คนใจร้าย เกลียดเธอจนถึงกับต้องใส่ร้ายป้ายสีกันเลยเหรอ...