บทที่ 15 หลุมพราง3
“เขม!” อินทุอรที่เพิ่งออกมาจากส่วนของห้องครัวเรียกเจ้าของห้องเสียงดัง เมื่อเห็นเพื่อนตัวเองยกมือกุมขมับทั้งน้ำตายังรินไหล หญิงสาวปรี่เข้าหาร่างของเพื่อนอย่างรวดเร็ว
“เขม แกเป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ปวดหัวเหรอ เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้นะ” ถามอย่างร้อนใจเพราะเป็นห่วงเพื่อนมาก ตั้งท่าจะไปหยิบน้ำกับยากลับถูกเขมิการั้งเอาไว้
หมับ!
อินทุอรชะงักเท้ามองเพื่อนด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม เขมิกาไม่พูดอะไรเธอโถมกายกอดเพื่อนเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ
เนิ่นนานที่อินทุอรนั่งนิ่ง ๆ ให้เขมิกากอด ครั้นเห็นเพื่อนเหมือนจะดีขึ้นจึงผละมือที่ลูบหลังออกมาจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างของเพื่อนดันออกจากตัว พลางส่งสายตาคาดคั้นคำตอบ ใบหน้าก็ฉายความเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เพราะนานแล้วที่เธอไม่เห็นเขมิกาแสดงท่าทีอ่อนแอหรืออับจนปัญญาแบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นก็ตอนที่เจ้าตัวบอกเลิกทิวากร
คิดถึงชายหนุ่มใจของอินทุอรก็แกว่ง หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แต่แล้วความหวังของเธอกลับพังทลายเมื่อเพื่อนสนิทพูดว่า
“คุณทิวต้องการแก้แค้นฉันเรื่องที่ฉันบอกเลิกเขา อิน เขาคิดจะใช้ยัยวาดเป็นหมากในการทำให้ฉันเจ็บ ฉันพยายามเตือนยัยวาดแล้ว แต่ยัยวาดไม่ฟัง ทั้งยังบอกว่าไม่ถือเรื่องที่ฉันกับคุณทิวเคยคบกันมาก่อน อิน ฉันจะทำยังไงดี” เขมิกาอธิบายกระชับได้ใจความจนอินทุอรไม่ต้องถามซ้ำ ไม่พอยังยื่นโทรศัพท์ไปให้อินทุอรดูข้อความที่เธอกับปานวาดคุยกันด้วย
อินทุอรรับไปแล้วเลื่อนข้อความอ่านเงียบ ๆ จนมาถึงข้อความสุดท้าย หญิงสาวถอนหายใจพลางว่า “เขม เรื่องที่คุณทิวเขาใช้ยัยวาดเป็นหมากแกมั่นใจใช่ไหมว่าเป็นเรื่องจริง”
หญิงสาวพยักหน้ารับจนเส้นผมกระจาย “จริง เขาเป็นคนพูดกับฉันเอง เขายังบอกอีกว่า จะทำให้ฉันเจ็บมากกว่าที่เขาเคยเจ็บ ในเมื่อปานวาดเป็นเพื่อนสนิทฉัน เขาก็จะใช้ยัยวาดนี่แหละเป็นหมากในเกมนี้ อิน คุณทิวไม่คิดจริงจังยัยวาดหรอก สุดท้ายเขาก็จะทำร้ายความรู้สึกของเพื่อนเรา ยัยวาดต้องเสียใจแน่ แล้วฉันจะทนเห็นยัยวาดเสียใจได้ยังไง และนั่นแหละคือสิ่งที่ทิวากรต้องการเห็นจากฉันละ อาการร้อนรนกระวนกระวายไม่มีความสุข เจ็บปวดเสียใจทรมาน คือสิ่งที่เขาต้องการให้ฉันเป็น”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วอิน มันมืดแปดด้านไปหมดแล้ว ฉันเป็นห่วงยัยวาด ฉันควรทำยังไงดีต่อไปดี” หญิงสาวรัวออกมาเพราะทนความรู้สึกกดดันนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอเก็บมันไว้คนเดียวต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ
อินทุอรยอมรับว่าตกใจกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ แต่หลังจากพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ หญิงสาวก็ปล่อยวางได้ ไม่ใช่ไม่ห่วงปานวาด แต่เตือนไปเจ้าหล่อนก็ไม่ฟังมาแต่ไหนแต่ไร เพราะความมั่นใจในตัวเองสูงนั่นแหละ
บางที หากไม่โดนเองก็คงไม่สำนึกและเข็ดหรอก ดังนั้นให้เรื่องราวนี้เป็นบทเรียนสอนเพื่อนเธอก็ดีเหมือนกัน เธอเชื่อว่าปานวาดเอาตัวรอดได้ หญิงสาวเข้มแข็งกว่าเขมิกาเสียอีก คนที่เธอควรจะห่วงจริง ๆ คือคนตรงหน้านี้มากกว่า
“เขม แกก็รู้ว่ายัยวาดเป็นยังไง ในเมื่อแกเตือนแล้วมันไม่ฟัง ก็ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวสักวันมันก็จะรู้เอง แกอยู่เฉย ๆ เถอะ”
“จะให้ฉันอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง ในเมื่อฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ยัยวาดเจอกับเขา ทั้งที่รู้ว่ายัยวาดจะต้องเสียใจ แกจะให้ฉันอยู่เฉย ๆ งั้นเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก”
“แล้วถ้าไม่อยู่เฉย ๆ แกจะทำยังไง” เขมิกาชะงัก นั่นสิ เธอจะทำอะไรได้ ทุกวันนี้แค่ต่อกรกับเขาในแต่ละวันเธอยังเหนื่อยสายตัวแทบขาด หากต้องรับมือกับปานวาดอีกคนเธอคงหมดแรงเข้าสักวัน ทว่าเธอก็ตัดใจปล่อยวางไม่ได้เช่นกัน
“เขม! แกฟังฉันนะ ยัยวาดโตแล้ว มันรู้ว่ามันกำลังเล่นอยู่กับอะไร ที่สำคัญมันไม่โง่ วันนี้เเกเตือนมันแล้วมันไม่ฟัง สักวันมันก็จะฟังคำเตือนของแกเอง ตอนนี้ถ้าแกไปห้ามมัน ขัดขวางมัน นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังจะโหมให้มันตั้งกำแพงใส่แกอีก จำเอาไว้ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง”
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่ ยัยวาดไม่ใช่คนโง่ ตอนนี้มันอาจจะมองเจตนาของคุณทิวไม่ออก แต่เชื่อฉันเถอะว่าสักวันมันจะมองออกแน่นอน คนไม่บริสุทธิ์ใจน่ะ แสร้งทำดีได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวลายก็ออก”
“แต่ฉันกลัวว่าก่อนที่ยัยวาดจะรู้ความจริงมันจะสายเกินไปน่ะสิ ตอนนี้มันแค่สนใจและชอบเขา หากปล่อยเวลานานไปฉันกลัวว่ามันจะรักเขาจนถลำลึก ถ้าถึงตอนนั้น... ยัยวาดคงจะเจ็บปวดไม่น้อยเลยที่ถูกคนรักหักหลังทำร้ายความรู้สึกกัน”
“แต่แกกับฉันทำอะไรไม่ได้ ฟังนะ เพื่อนน่ะ ถ้าเตือนไปแล้วมันไม่ฟังก็ต้องให้มันเรียนรู้เอาเอง ชีวิตใครชีวิตมัน เราแค่ดูมันอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ก็พอ วันไหนที่มันล้มเราค่อยเข้าไปให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ มันก็พอแล้ว”
“...”
“เขม เรื่องบางเรื่องเราไปยุ่งเกี่ยวมากไม่ได้หรอกนะ บางอย่างก็ต้องปล่อยให้มันดำเนินไปตามวันและเวลา”
เขมิกานิ่งฟังและคิดตาม เธอเข้าใจความหมายของอินทุอรแล้ว เธอลืมไปว่าปานวาดไม่ใช่เด็กที่ต้องคอยประคบประหงม โต ๆ กันหมดแล้ว ทุกคนต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ในเมื่อเพื่อนเธอตัดสินใจแบบนั้นเธอก็จะเคารพการตัดสินใจของเพื่อน ส่วนเธอจะคอยมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ อย่างที่อินทุอรพูดก็แล้วกัน
“เชื่อฉัน”
“อื้ม ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกันนี่” หญิงสาวทั้งสองส่งยิ้มให้กัน ก่อนอินทุอรจะเปิดซีรีย์ขึ้นมาดูเพื่อไม่ให้เขมิกากลับไปคิดเรื่องปานวาดและทิวากรอีก
อีกด้านหนึ่งที่บ้านศิวานันท์ทิวากรก็กำลังถูกมารดาซักฟอกถึงข่าวที่หลุดออกมา
“สรุปยังไง ผู้หญิงคนนั้นคือปานวาดที่แกไปคุยงานและตกลงเซ็นสัญญากันใช่ไหม”
“ครับคุณแม่”
“แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรมากกว่านั้น” คุณทิพย์ประภาหรี่ตาจับผิดลูกชาย
“โธ่ คุณแม่ครับ จะให้มีอะไรล่ะครับ มันไม่มีอะไรจริง ๆ ก็แค่ไปคุยงานและกินข้าวด้วยกันเท่านั้น มันไม่มีอะไรสักหน่อย จริง ๆ ครับ คุณแม่วางใจได้”
คุณทิพย์ประภาไม่ค่อยเชื่อลูกชายนัก แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมพูด เธอก็จะไม่คาดคั้นเอาความ “ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร”
“ครับ งั้นผมขอตัวขึ้นห้องไปทำงานก่อนนะครับ ถึงวันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ผมก็มีงานที่ต้องทำเหมือนกัน”
“จ้ะ พ่อคนยุ่ง” คุณทิพย์ประภารับคำบุตรชายระคนหมั่นไส้ ทิวากรหัวเราะก่อนเข้ามากอดและหอมแม่ตัวเองแล้วผละตัวออก
“จะทำอะไรก็คิดให้ดี ๆ บางอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกคิดเสมอไป และเวลามันไม่หมุนย้อนกลับ ระวังคนที่เสียใจจะเป็นลูกซะเอง”
ทิวากรชะงักเท้าหันกลับมามองมารดาก็เห็นคุณแม่ของตนอ่านหนังสือในมือเงียบ ๆ ชายหนุ่มทบทวนคำพูดมารดาอีกครั้ง
เสียใจงั้นเหรอ?
หึ ครั้งนี้คนที่เสียใจต้องไม่ใช่เขา!
ชายหนุ่มโครงศีรษะละความสนใจก่อนกลับขึ้นไปบนห้องทำงานของตนที่อยู่ในห้องนอนอีกที โดยมีคุณทิพย์ประภามองตามหลังบุตรชายด้วยสายตาห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่และอาบน้ำร้อนมาก่อน ท่านส่ายหน้าไปมาแล้วหันมาสนใจหนังสือในมือแทน
บางที... ลูกชายของเธอควรได้เรียนรู้สักที ว่าความแค้นและการแก้แค้นกันไปมามันไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ไม่มีใครมีความสุข ไม่มีความน่ายินดี มีแต่ความเสียใจและทุกข์ทรมานรออยู่ที่ปลายทาง
หวังว่าเมื่อวันนั้นมาถึงลูกชายของเธอจะรับได้ เพราะเป็นเขาที่ขุดหลุมพรางนี้ขึ้นมาเอง ดังนั้นก็ต้องเป็นเขาที่รับผิดชอบการกระทำและความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน