บทที่ 13 หลุมพราง1
“เขม... แกไม่สบายหรือเปล่า ฉันเห็นอาการแกไม่ค่อยดีมาหลายวันแล้วนะ” อินทุอรเอ่ยถามเพื่อนสนิทระหว่างรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันอย่างนึกเป็นห่วง หลายวันมาแล้วที่เขมิกามีท่าทีเคร่งเครียด คล้ายมีอะไรในใจและมีเรื่องให้ต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา
คนถูกถามส่ายหน้าตอบ “เปล่า”
“เปล่าอะไร แกไม่เคยเป็นแบบนี้มานานแล้วนะเขม แล้วข้าวน่ะจะเขี่ยอีกนานไหม แกต้องกินเยอะ ๆ นะ อย่าลืมสิว่าแกต้องไปสู้รบกับท่านรองประธานอีก ท่านรองก็ช่างกระไร แกล้งแกอยู่ทุกวัน ไม่เห็นใจกันบ้างเลยหรือไง อย่างน้อยก็น่าจะนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันบ้าง แกก็เหลือทน ยอมให้เขาโขกสับอยู่ได้”
อินทุอรแหวออกมาอย่างคนไม่สบอารมณ์ หญิงสาวไม่พอใจกับการที่ทิวากรกลั่นแกล้งเพื่อนของเธอ และไม่ชอบที่เพื่อนของเธอยอมให้เขากระทำ ขัดใจสายปะฉะดะอย่างเธอจริง ๆ เหนือสิ่งอื่นใดก็เป็นห่วงเพื่อนสนิทของตัวเองนั่นแหละ
เขมิกาได้ยินคำพูดเพื่อนสนิทแล้วหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง
‘ไม่ปกติแล้วละ’ อินทุอรคิดพลางหันไปมองหน้าดนุภพที่นั่งอยู่ข้างกัน ซึ่งชายหนุ่มก็ส่ายหน้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเช่นกัน สายตามีความห่วงใยให้คนที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องสาวไม่เสื่อมคลาย
“เขม... แกไม่เป็นอะไรแน่นะ มีอะไรบอกฉันได้นะเว้ย อย่าลืมนะว่ายังมีฉันอยู่ข้าง ๆ เสมอ”
“ขอบคุณนะอิน แต่ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ ถ้าฉันไม่ไหว ฉันจะบอกแกนะ”
“แกพูดแล้วนะ”
“อื้ม กินข้าวเถอะ เดี๋ยวหมดเวลาพัก” ด้วยไม่อยากให้เพื่อนเป็นกังวลกับเรื่องของตัวเอง เขมิกาจึงตัดบทแล้วตั้งหน้าตั้งรับประทานอาหารตรงหน้าทั้งยังพยายามฉีกยิ้มสดใสเสมือนว่าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงให้อินทุอรดูอีกด้วย แต่เธอไม่รู้เลยว่าท่าทางแบบนั้นกลับทำให้เพื่อนสนิทและดนุภพเป็นห่วงมากกว่าเดิม จวบจนรับประทานมื้อกลางวันเสร็จทั้งสามก็แยกย้ายกันไปทำงาน
เขมิกากลับขึ้นมานั่งทำงานที่ทำค้างไว้จนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ตั้งใจจะเอาเข้าไปให้ทิวากรเซ็นอนุมัติ แต่นึกได้ว่าชายหนุ่มไม่อยู่ในห้อง พูดให้ถูกก็คือวันนี้ชายหนุ่มไม่เข้าบริษัทและออกไปคุยงานข้างนอกตั้งแต่เช้า
หญิงสาวก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ ภายในใจรู้สึกกังวล หากเขาไปคุยงานกับคนอื่นเธอคงไม่รู้สึกอะไร แต่นี่เขาไปกับปานวาด ยิ่งเขาเอ่ยปากออกมาแล้วว่าจะใช้เพื่อนเธอเป็นหมากในการทำให้เธอเจ็บ หญิงสาวก็อดห่วงใยและเป็นกังวลเกี่ยวกับปานวาดไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เตือนเพื่อน ไม่ใช่ว่าไม่บอกเรื่องราวระหว่างเธอและเขาให้ปานวาดรับรู้ เธอพูดไปหมดแล้ว แต่เพื่อนของเธอนอกจากจะไม่เชื่อในสิ่งที่เธอเตือนแล้ว ยังมองเธอด้วยสายตาเคลือบแคลง เธอไม่รู้ว่าปานวาดคิดอะไรอยู่ แต่หลังจากที่เธอบอกทุกอย่างไป ปานวาดก็ไม่ยอมตอบข้อความหรือรับโทรศัพท์เธออีกเลย มันเลยทำให้เธอกังวลใจและเครียดสะสมมาหลายวันจนทำให้วันนี้อินทุอรจับอาการผิดสังเกตุได้
ขณะที่เขมิกากำลังคิดมากและกระวนกระวายใจอยู่นั้น ปานวาดที่ถูกเป็นห่วงกลับยิ้มหน้าระรื่นมีความสุขอย่างถึงที่สุด ที่วันนี้เธอได้คุยงานกับทิวากรเพียงสองคน ความจริงรายละเอียดของงานวันนี้ไม่มีอะไรมากนัก แค่เซ็นสัญญาร่วมลงทุนทำธุรกิจรีสอร์ตที่บริษัทครอบครัวเธอไปเทคโอเวอร์มาเท่านั้นเอง ตอนแรกตั้งใจจะนำสัญญาไปให้เขาเซ็นที่บริษัท แต่ชายหนุ่มกลับนัดเธอมาข้างนอกด้วยตัวเอง ทั้งยังเป็นร้านอาหารหรูหรา บรรยากาศยังดีอีกด้วย
นี่ไม่ได้หมายความเขาอยากคุยกับเธองั้นหรือ?
หัวใจของปานวาดเต้นรัวแรงใบหน้าสวยเฉี่ยวฉายความมั่นใจเห่อร้อนเป็นระยะ ๆ ทุกครั้งที่ถูกดวงตาคู่คมมองมา ถูกผู้ชายให้ความสนใจและเข้าหามาก็มาก แต่ไม่เคยมีใครทำให้เธอรู้สึกใจเต้นแรงเลือดลมสูบฉีดแบบนี้ได้เลย
ทว่าความยินดีก็อยู่กับปานวาดไม่นาน เมื่อถ้อยประโยคที่เขมิกาเคยพูดกับเธอผุดเข้ามาในห้วงความคิด
‘คุณทิวเขาต้องการใช้แกเป็นหมากในการแก้แค้นฉัน เชื่อฉันเถอะนะวาด คุณทิวเขาไม่ได้จริงจังอะไรกับแกหรอก ที่เขาทำดีและให้ความสนใจกับแกตอนนี้เพราะอยากทำให้ฉันเสียใจเท่านั้น’
หญิงสาวนิ่วหน้า ไม่ใช่ว่าไม่อยากเชื่อคำพูดที่เพื่อนเอ่ยเตือน แต่เธอมองไม่ออกเลยว่าคนอย่างทิวากรจะทำเรื่องแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อความสะใจงั้นเหรอ? คนฐานะชาติตระกูลดีคงไม่ทำแบบนั้นกระมัง
อีกอย่างเธออยากเห็นแก่ตัวสักครั้ง เธอชอบเขาจริง ๆ ต่อให้ทิวากรเป็นไฟเธอก็พร้อมเป็นแมงเม่าเข้าไปเล่นกับไฟกองนี้ด้วยตัวเอง เธอไม่เชื่อหรอก ว่าผู้หญิงสวยเซ็กซี่และมีความมั่นใจสูงอย่างเธอจะสยบผู้ชายอย่างเขาไม่ได้
มาลองดูกันสักตั้งจะเป็นไรไป ไม่มีอะไรเสียหายนี่ ดีกว่าไม่ได้ลองแล้วมานึกเสียดายทีหลัง
“คุณวาดเป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว” ทิวากรกลับมาจากเข้าห้องน้ำพอดีถามอย่างสงสัย แม้ในใจจะพอคาดเดาอาการของหญิงสาวได้แล้วก็ตาม
ปานวาดยิ้มเจื่อนเธอก้มหน้าหลบตา ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง บ้างใช้ฟันขบไว้ อาการแบบนี้ไม่ต้องเดาทิวากรก็รู้ว่าหญิงสาวกำลังตบตีกับตัวเอง
“คุณวาดมีอะไรจะถามผมหรือเปล่าครับ ถ้าเรื่องไหนผมตอบได้ผมจะตอบ”
“จริงเหรอคะ! วาดถามได้จริง ๆ เหรอคะ อะ เอ่อ ขอโทษค่ะ” พอได้ยินคำอนุญาตหญิงสาวก็โพล่งถามย้ำก่อนรู้ตัวว่าเสียมารยาทแล้วเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าสำนึกผิด ใบหน้าขาวซับสีเลือดจาง ๆ ด้วยความเก้อกระดาก ก้มหน้าหลบสายตาที่มองเธออย่างขบขันด้วยความอับอายเล็กน้อย
“หึหึ ไม่เป็นไรครับ ถามมาเถอะ ถ้าเป็นคุณวาดถามผมยินดีตอบนะ” นอกจากทิวากรจะไม่ถือสา เขายังกลั้วหัวเราะขณะที่พูดอีกด้วย สายตาที่ใช้มองเธอยังเต็มไปด้วยความเอ็นดู
ปานวาดรู้สึกใจละลายจนน้วยไปหมด หญิงสาวไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม เธอขวยเขินกับสายตาคู่คมของเขา