บทที่ 12 หมากตัวใหม่2
“ท่านรองคิดจะทำอะไรคะ” เขมิกาเอ่ยขึ้นหลังกลับมาถึงบริษัทแล้ว
ทิวากรหันกลับไปมองคนตัวเล็กที่กล้าตั้งคำถามกับเขา “ทำอะไร ฉันเปล่า” พูดแล้วเดินหนีเข้าห้องโดยมีเขมิกาสาวเท้าตามเข้ามาติด ๆ
“จะเปล่าได้ยังไงคะ ก็ในเมื่อฉันเห็น” หญิงสาวไม่พูดต่อเธอเม้มริมฝีปากแน่น
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มทรุดกายนั่งบนโซฟาเอนแผ่นหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่วงท่าผ่อนคลายหลังเข้ามาด้านในห้องทำงานแล้ว “เห็นอะไร ทำไมไม่พูดต่อล่ะ”
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนผ่อนออกช้า ๆ
“พี่ทิว”
“ฉันไม่ใช่พี่เธอ อย่ามาเรียกฉันว่าพี่” ชายหนุ่มพูดแทรกเสียงแข็งตวัดสายตาวาวโรจน์มองร่างบางที่บังอาจเรียกเขาว่าพี่
เขมิกาเจ็บแปลบแต่ก็พยักหน้ารับคำ “ค่ะ ท่านรองคะ ถ้าท่านรองแค้นเขม ก็แก้แค้นเขม อย่าดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องนี้เลยได้ไหมคะ ถือว่าเขมขอ” เธอขอร้องเขาพร้อมมองอย่างอ้อนวอน แต่คนที่มีอคติบังตาหรือจะฟัง
“หึ ของั้นเหรอ”
“ค่ะ”
“ฝันไปเถอะ”
“หมายความว่าท่านรองจะใช้ยัยวาดแก้เเค้นเขมงั้นเหรอคะ”
“ฉลาดดีนี่ รู้ไหม ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดอะไรยุ่งยากหรอก แค่อยากทำให้เธอเจ็บเล่น ๆ เจ็บแปลบ ๆ แต่พอเห็นเธอดิ้นแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ฉันคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ เพื่อนของเธอที่ชื่อปานวาดเป็นหมากที่ดีเลยนะว่าไหม คิดดูสิ อะไรมันจะทำให้เธอเจ็บไปกว่าการที่ฉันเข้าไปยุ่งกับคนที่เธอรัก”
“ท่านรอง! ยัยวาดไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้” หญิงสาวกัดฟันกรอดกำมือแน่นพูดเสียงรอดไรฟันจ้องตาเขาเขม็ง
“ทำไม กลัวอะไรงั้นเหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ทำร้ายเพื่อนเธอหรอกน่า”
“ไม่ทำร้าย แต่คุณกำลังใช้เธอเป็นหมากในการทำร้ายเขม เขมขอละนะคะ ปล่อยยัยวาดไปเถอะ เขมไม่เชื่อว่าคุณดูไม่ออกว่ายัยวาดชอบคุณ”
“โอ เปลี่ยนคำเรียกขานจากท่านรองเป็นคุณแล้วเหรอ ช่างเถอะ จะเรียกยังไงก็เรื่องของเธอ ส่วนเรื่องดูออกไหม แน่นอนสิ มองฉันตาเป็นมันโดยไม่สนใจเธอแบบนั้นใครบ้างจะดูไม่ออก จะว่าไป เพื่อนของเธอคนนี้ก็ดูจะชื่นชอบฉันมากเหมือนกันนะ เกมนี้ดูสนุกขึ้นเยอะเลยจริงไหม”
ทิวากรรู้สึกสนุกที่ทำให้เขมิกาเดือดพล่านขึ้นมาได้ ยอมรับตามตรงอย่างไม่อายเลยว่า พอเห็นหน้าปานวาดครั้งแรกและได้รู้ว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของอดีตคนรัก เขาไม่ได้คิดจะใช้เธอเป็นหมากหรืออะไร แต่พอเห็นประกายในแววตาที่หญิงสาวมองเขา พร้อมท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนของเขมิกา ความคิดชั่ว ๆ ก็ผุดขึ้นมาในบัดดล หมากสำคัญในการทำให้เขมิกาเจ็บเห็นทีจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากปานวาดแล้วละ ซวยหน่อยนะที่ดันเป็นเพื่อนของผู้หญิงคนนี้
เขมิกามองใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ดูชั่วร้ายของทิวากรด้วยความเจ็บใจ “คุณทิว ถือว่าเขมขอร้องนะคะ คุณจะแกล้งเขมยังไงก็ได้ แต่อย่าไปยุ่งกับยัยวาดเลยนะ อย่าให้ความหวังมันหรือแสดงออกว่าคุณชอบมันเลยนะคะ เขมไม่อยากเห็นเพื่อนเขมเจ็บตอนรู้ความจริงว่าคุณไม่ได้คิดอะไรและไม่เคยจริงจังกับเจ้าตัว การทำให้คนคนหนึ่งรู้สึกชอบจนรักแล้วทำลายความหวังของเขา ทำร้ายความรู้สึกของเขา มันทรมานและเจ็บปวดมากนะคะ ได้โปรดเห็นแก่เขมสักครั้ง”
“เห็นแก่เธอเหรอ เเล้วเธอล่ะเคยเห็นแกฉันบ้างไหม เธอทำให้ฉันชอบ ทำให้ฉันรัก แล้วก็ทิ้งฉันไปไม่ใยดี ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของฉัน ทำร้ายความรู้สึกฉัน มาตอนนี้บอกให้ฉันเห็นใจ เธอจะบ้าเหรอ เธอคิดว่าฉันเป็นพระหรือไงถึงจะปล่อยวางให้ศัตรูคนที่ฉันแค้นและชิงชังมีความสุขน่ะหา!” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นจากโซฟาตวาดเสียงกร้าว จับจ้องหญิงสาวด้วยไฟโทสะ พร้อมยกมือขึ้นชี้หน้า
“ในเมื่อตอนเธอทำก็ไม่เคยเห็นใจฉัน เพราะฉะนั้นก็อย่าฝันว่าฉันจะเห็นใจเธอ เตรียมตัวเห็นเพื่อนเธอเจ็บปวดเจียนตายเพราะฉันได้เลย เพราะฉันจะไม่หยุด จนกว่าฉันจะสะใจ!”
ทิวากรโมโหจนมือสั่นระริกมองหญิงสาวด้วยแววตาแข็งกร้าว เธอกล้าดียังไงมาขอความเห็นใจจากเขา กล้าดียังไงมาสอนเขาว่าการทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นมันทรมาน เหอะ ไม่ต้องมาสอนหรอก เพราะเขาเข้าใจดี เป็นเธอไม่ใช่หรือไงที่ทำให้เขาเผชิญกับความรู้สึกนั้น
ผู้หญิงเห็นแก่ตัวหน้าไม่อายอย่างเธอ กล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนและขอร้องเขากัน เหอะ ทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนดีนักหนา ขอโทษนะ เขาไม่อิน ไม่หลงเชื่อเธออีกแล้ว เชิญไปหลอกคนอื่นเถอะ!
เขมิกาที่ถูกเขาชี้หน้าและตวาดใส่ก็สะดุ้งโหยง ตั้งแต่รู้จักกันมาและกลับมาเจอกันอีกครั้ง ไม่มีสักครั้งที่เขาจะโมโหร้ายแบบนี้ หญิงสาวชักเท้าถอยหลังด้วยความรู้สึกผวาและหวาดกลัว แต่ตาก็ยังจ้องเขาไม่ห่าง
“ฉันจะบอกเพื่อนฉันเรื่องของฉันกับคุณ” แม้ว่าจะกลัวสักแค่ไหนแต่ความเป็นห่วงเพื่อนดันมีมากกว่า หญิงสาวทำใจกล้ากลั่นกรองคำพูดออกมาจนคนฟังอดหัวเราะไม่ได้
“เหอะ ตลกเหรอ อยากบอกก็บอกไป เธอคิดว่าปานวาดจะสนใจไหม อย่างมากก็แค่ตงิดใจที่คนอย่างเธอเป็นแฟนเก่าฉันเท่านั้นแหละ ย้ำว่าแฟนเก่านะ คนเราน่ะ ถ้ามันได้ชอบไปแล้วมันไม่สนใจหรอกว่าอดีตจะเป็นยังไง ต่อให้ฆ่าคนตายมาถ้าคนมันชอบมันก็ชอบอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ แล้วอาการเพื่อนเธอที่ฉันเห็นวันนี้บอกเลยว่าเธอไม่สนใจหรอกว่าฉันกับเธอจะเคยคบกันมาก่อนหรือเปล่า ผู้หญิงอย่างปานวาดแค่มองก็รู้แล้วว่าสนใจแค่ปัจจุบัน หากเธอมั่นใจว่าเพื่อนจะเชื่อคำพูดตัวเองและฟังสิ่งที่เธอเตือน ก็เชิญวิ่งโร่ไปฟ้องได้เลย ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”
เขมิกานิ่งงันกับคำพูดของเขา เธอรู้ดีว่าปานวาดเป็นคนเช่นไร ที่ชายหนุ่มพูดมาถูกต้องทุกอย่าง ต่อให้เธอบอกว่าเคยคบหากับทิวากร ถ้าเพื่อนของเธอพอใจ อดีตก็ไม่สำคัญ เธอสนที่ปัจจุบันมากกว่า หากปัจจุบันทำให้เธอมีความสุขได้ เธอจะสนใจอดีตทำไม นั่นคือนิสัยส่วนหนึ่งของปานวาด
แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ บอกเพื่อนว่าทิวากรตั้งใจใช้เธอเป็นหมากในการแก้แค้นตัวเอง เหอะ นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว ปานวาดคงหัวเราะเยาะหาว่าเธอกุเรื่องขึ้นมาสิไม่ว่า
อีกอย่างเธอไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างทิวากรจะอยู่เฉย ๆ ให้เธอไปเตือนปานวาด ไม่แน่ว่าเขาจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเพื่อนของเธอก่อนเธอเสียเอง
“ไง เงียบไปเลย ฉันพูดถูกล่ะสิ ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไปได้แล้ว แล้วทีหน้าทีหลังอย่าได้สะเออะมาสอนฉันหรือบอกฉันว่าห้ามทำร้ายความรู้สึกของใครอีก ตัวเธอเองยังทำไม่ได้ ดันมาบอกคนอื่น เหอะ น่าสมเพชชะมัด”
เขมิกาเดินออกจากห้องทำงานของชายหนุ่มด้วยอาการเลื่อนลอย หญิงสาวมืดแปดด้าน ไม่รู้จะเอาอย่างไรดีกับเรื่องนี้ ถ้าเขาแก้แค้นเธอโดยตรงไม่เอาคนอื่นมาเกี่ยวข้องเธอจะไม่เครียดเท่านี้เลย แต่นี่...
หญิงสาวทรุดกายนั่งเก้าอี้ทำงานด้วยความเหนื่อยอ่อน ผินหน้ามองไปยังประตูห้องชายหนุ่มด้วยสายตาแน่วแน่ เธอตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เธอจะบอกเรื่องของนี้ให้ปานวาดรับรู้ หากเตือนแล้วเพื่อนสนิทไม่ยอมฟังก็สุดแท้แต่วาสนาและเวรกรรมเถิด