ไฟแค้นซาตาน

130.0K · จบแล้ว
อัญญาณี
53
บท
22.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เขาร้อนแรงดั่งไฟที่พร้อมจะแผดเผาแมงเม่อย่างเธอให้ดับดิ้นในพริบตาความแค้นที่ลุกโชนในใจเขา ทำให้เธอต้องตายทั้งเป็นและติดอยู่กับคำว่า"นางบำเรอ"

นิยายรักโรแมนติกนิยายปัจจุบันคนต่ำต้อยพระเอกเก่งมาเฟียเศรษฐีรักหวานๆดราม่าโรแมนติก

บทที่ 1 บทลงโทษ 1

“นายครับดึงกรงขึ้นมาเถอะครับ” วิชัยพูดกับเจ้านายด้วยสายตาที่อ้อนวอน ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ยึดถือคำสั่งของเจ้านายอย่างเคร่งครัด แต่ครั้งนี้เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเจ้านาย แต่คนเป็นลูกจ้างอย่างเขาไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นนายเท่าไหร่นัก

“รอก่อน” เมฆินทร์พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความรู้สึก เพราะตอนนี้ในใจเขามีแต่ความแค้นปกคลุมและอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ สายตาสีสนิมมองดูผลงานของตัวเองที่อยู่เบื้องล่าง อย่างไม่สะทกสะท้านหรือรู้สึกผิดแต่อย่างใด เพราะมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของบทลงโทษที่เขาเป็นผู้กำหนด

ภายในถ้ำมืดมิดมีเพียงแสงจันทร์สาดส่องลงมา พอให้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ด้านล่าง สตรีนางหนึ่งถูกขังอยู่ในกรงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมา ทำจากไม้ขนาดลำแขนเด็กไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่นัก ลักษณะเหมือนกรงขังสัตว์ที่ไม่มีพิษมีภัย อย่างเช่นลิง ค่าง บ่าง ชะนี

ภายนอกกรงไม้มีเสือลายพาดกลอนสองตัว เดินวนเวียนอยู่รอบกรงไม้ จ้องมองดูเหยื่ออันโอชะที่อยู่ภายในกรงไม้นั้น กรงเล็บแข็งแกร่งของมันตะปบและขูดไปที่กรงไม้ แรงมหาศาลของเสือลายพาดกลอนสองตัว ที่ช่วยกันทำลายกรงไม้ ส่งผลให้เนื้อไม้ที่ไม่หนามาก เริ่มผุและแตกตามแรงของเสือหิวสองตัวที่ตั้งใจจะทำลาย

“กรี๊ดดดดด!” เสียงร้องแสดงความหวาดกลัวของนรินทร์วิภาดังไปทั่วบริเวณถ้ำเสียงร้องนั้นสะท้อนกับหิน ส่งผลให้เสียงร้องนั้นได้ยินก้องไปถึงด้านบน ถ้ำนี้มีทางเข้าออกเพียงด้านเดียว คือด้านบนของถ้ำซึ่งมีความสูงประมาณห้าสิบเมตร เมฆินทร์ยิ้มที่มุมปาก เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเชลย ไม่มีวาจาใดๆ เอ่ยออกมาจาสก มีเพียงสายตาที่เย็นชา กระด้างไร้ความปรานี ทอดมองสตรีที่เขาเกลียดและแค้นมากที่สุดอย่างเหี้ยมเกรียม

“ตุ๊บ...ตุ๊บ” เสียงอะไรบางอย่างถูกโยนลงมาจากด้านบนของถ้ำ เสือหิวทั้งสองตัวต่างกระโจนเข้าใส่สิ่งนั้น มันทั้งสองตัวต่างแย่งชิงไก่ที่ไร้ชีวิต แต่นั่นไม่เพียงพอสำหรับท้องของมัน มันสองตัวจึงเริ่มหันมาสนใจเหยื่อที่อยู่ในกรงไม้อีกครั้ง และครั้งนี้มันสองตัวเริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น กรงไม้สองซี่เริ่มหักขาด้านหน้าของเสือตัวหนึ่ง แหย่เข้ามาภายในกรง พยายามจะตะปบร่างของเธอ ที่ถอยร่นหนีกรงเล็บเสือ กรงไม้ซี่ที่สามและสี่เริ่มหักเช่นกัน ความกว้างของมันมีมากพอที่เสือจะลอดเข้ามาได้

นรินทร์วิภาเห็นชะตากรรมของตัวเอง น้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลลงสู่แก้มนวลทั้งสองข้าง รับรู้ความตายที่จะเกิดขึ้น หากเสือตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาภายในกรงได้ หากชีวิตแลกด้วยชีวิต นรินทร์วิภาอโหสิกรรมให้กับทุกคนที่เคยกระทำกับเธอ จะได้ไม่มีอะไรติดข้างกันอยู่อีก ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ร่างของเสือตัวหนึ่งกำลังจะเข้ามาภายในกรงไม้ นรินทร์วิภาหลับตายอมรับโชคชะตาที่กำลังจะเกิดอย่างไม่มีข้อแม้

เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น แต่เธอไม่กล้าลืมตาขึ้นมามองหรือว่าตอนนี้ร่างของเธออยู่ในปากของมัน แต่ทำไมนะ มันถึงไม่เจ็บไม่ปวด ไม่ทรมาน เธอจึงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สิ่งที่เธอเห็นคือกรงไม้ที่เธอถูกขังอยู่ ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆและเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงด้านบนของถ้ำ มันเป็นเสียงของเชือกที่โยงกับตัวกรงไม้ มีลอกอยู่ตรงกลางไว้เพื่อลากขึ้นมา

ภาพชายฉกรรจ์ประมาณเจ็ดถึงแปดคนยืนอยู่ โดยมีร่างสูงใหญ่กำยำและดูแข็งแรง ยืนมองดูผลงานของตัวเองอยู่ไม่ไกล วิชัยและดำช่วยกันนำร่างของนรินทร์วิภาออกมาจากรงไม้ ดูตัวของเธอค่อนข้างสั่น ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำใสๆ

“คุณยกโทษให้ฉันแล้วใช่ไหม” คำถามแรกที่นรินทร์วิภาเอ่ยถาม หลังจากที่เธอเดินออกมาจากกรงไม้ เพราะคิดว่าการที่เขาดึงกรงไม้ขึ้นมา เป็นการให้อภัยเธอ แต่เธอคิดผิด

“ใครบอกเธอ...นี่มันแค่น้ำจิ้มเท่านั้น...ต่อจากนี้แหละของจริง” น้ำเสียงและแววตาของเขาไม่ได้ล้อเล่น มันดูจริงจังจนคนรอบข้างรู้สึกหวาดกลัว คราแรกนรินทร์วิภาตกใจกับคำพูดของเขา แต่เมื่อนึกถึงความผิดของตัวเอง ที่พรากลูกพรากเมียของเขาด้วยความตาย มันก็คงสมควรแล้วที่เขาจะเกลียดจะโกรธ เธอจึงต้องยอมรับสภาพและคำพิพากษาของเขา

“คุณจะทำอะไรฉันก็เชิญ...หากคุณทำแล้วสบายใจ คุณก็ทำไป...ถ้าหากมันจะลบล้างความผิดที่ฉันทำกับลูกกับเมียคุณ” สายตาเด็ดเดี่ยวที่เมฆินทร์ไม่เคยเห็นกับผู้หญิงคนไหน มันทำให้แรงโทสะของเขาโหมกระพือมากยิ่งขึ้น ยิ่งเห็นหน้ายิ่งแค้น อยากจะฆ่าให้ตายคามือ โยนศพไปให้เสือทั้งสองตัวกิน แค่นี้ก็ไม่มีใครหาศพเจอ เหมือนกับที่เขาเคยทำกับศัตรูที่ทำลายเขานับไม่ถ้วน

“ปากดีนักนะ...ความตายมันน้อยไปสำหรับเธอ...ฉันต้องการให้เธอตายทั้งเป็น ดวงตาคู่สวยของเธอ ต้องคอยมองดูความพินาศย่อยยับของคนที่เธอรักทุกคน” มือหนาข้างหนึ่งบีบไปที่แก้มนวลทั้งสองข้างจนเธอเจ็บ แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บไปมากกว่าคำพูดของเขา มือบางทั้งสองข้างของเธอจับที่ข้อมือหนาของชายหนุ่ม พยายามจะดึงมือที่เปรียบเสมือนคีมเหล็ก ให้ออกจากแก้มของเธอ แต่มันไม่สำเร็จ

“อันเอ็บอะอ่อย...” (ฉันเจ็บนะปล่อย)

“แค่นี้เจ็บ...เธอจะต้องเจ็บกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า” มือหนาคลายออก ก่อนจะผลักร่างบางลงไปกองกับพื้นอย่างแรง โดยไม่นึกว่าเธอจะเจ็บมากเพียงใด ไม่รู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

“ความผิดของฉัน มาลงที่ฉันคนเดียวได้ไหม อย่าไปทำกับคนอื่น” เมื่อลุกขึ้นยืนได้ ความเจ็บที่แก้มยังไม่จางหาย แต่เธอจะยอมให้ใครมาเดือดร้อนกับเธอไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องเกิดกับเธอและจบลงที่เธอเพียงคนเดียว

“เธอไม่มีสิทธิ์ต่อรอง...เพราะต่อจากนี้ ฉันจะเป็นคนชี้ชะตาของเธอเอง”

“คุณมันพาล...ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเพราะฉัน...ไม่ใช่คนอื่น” ถ้อยคำที่พูดออกไป ทำให้ใบหน้าคมเข้มแดงจัด ด้วยความโกรธแค้น ไม่เคยมีใครกล้าว่าเขาเช่นนี้ บรรดาลูกน้องที่ยืนมองเหตุการณ์ต่างสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว การที่เจ้านายของเขาดึงกรงไม้ขึ้นมา ถือว่าปรานีมากแล้ว หากเป็นคนอื่นเจ้านายของเขาจะไม่ลังเลหรือยกกรงไม้ขึ้นมา จะยืนมองดูศัตรูค่อยๆ ถูกเสือลายพาดกลอนกินอย่างเยือกเย็น

เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!! เสียงฝ่ามือหนาฟาดไปที่แก้มนวลทั้งสองข้างอย่างแรงและหนักหน่วง ร่างบางเซไปตามแรงตบ นรินทร์วิภารับรู้ถึงรสชาติของเลือด ที่ไหลออกมาจากมุมปาก

“ปากดีนักนะ...ดูสิจะปากเก่งไปได้สักกี่น้ำ” เมฆินทร์พูดเสียงลอดไรฟัน กรามขบกันแน่น จนเป็นสันนูน ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น และดูเหมือนจะไม่มีใครหยุดการกระทำของชายหนุ่มได้

“ถ้าไม่อยากตายคามือฉัน...อย่าท้าทาย...อย่าปากมาก...และชีวิตเธอจะยืนยาว”

มือหนาบีบไปที่ลำคอขาวนวล น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของนรินทร์วิภาเริ่มแดงและแดง เธอกำลังจะตาย เพราะเขาบีบคอเธอแน่นและแน่นขึ้นเรื่อยๆ วิชัยเดินเข้ามาจับที่ลำแขนแข็งแกร่งของผู้เป็นนาย อย่างหวาดกลัว เพราะเขาทำงานและรู้จักกับเมฆินทร์มาร่วมยี่สิบปี รู้ว่าเวลาไหนควรจะอยู่ใกล้ เวลาไหนควรจะไกลห่าง แต่ครั้งนี้เขาต้องกล้า ไม่เช่นนั้นเชลยคนนี้ต้องตายแน่นอน

นรินทร์วิภายืนหอบสูดอากาศเข้าไปในปอดให้มากที่สุด หลังจากที่เมฆินทร์รู้สึกตัวและยอมคลายมือออกจากลำคอของเธอ แต่ดวงตาของเขายังคงสุกสกาวและดุกร้าวเช่นเดิม

“ทำไมไม่ฆ่าฉันให้ตายตามลูกเมียของคุณไป...ทุกอย่างมันจะได้จบ...จะได้สมใจคุณไง” นรินทร์วิภาพูดออกมาอย่างเหลืออด ไม่มีเจตนาจะท้าทายเขาแต่อย่างใด แต่สำหรับเมฆินทร์เมื่อเกลียดพูดอะไรก็ไม่เข้าหูอยู่ดี วิชัยส่ายหัวอย่างช้าๆ อุตส่าห์ใจกล้าเข้าไปห้ามเจ้านายแล้วเชียว ยังจะกล้าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดอีก

“ยังจะปากดีอีก...อยากจะลองดีใช่ไหม ท้าใครไม่ท้ามาท้าคนอย่างฉัน เธอจะได้เห็นนรกทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่แน่นอนฉันรับรอง” มือหนาคว้าหมับที่ลำคอขาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ลงน้ำหนักมือมากนัก มืออีกข้างหนึ่งจับที่คอเสื้อเชิ้ตสีชมพูของเธอ ซึ่งตอนนี้มีแต่ฝุ่นจนมองไม่ออกว่าเป็นสีชมพู ก่อนจะกระชากออกอย่างแรง จนกระดุมหลุดกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง พอสาบเสื้อที่ไม่มีกระดุมติดอยู่แยกออกจากกัน ทรวงอกเต่งตึงภายในเสื้อในสีหวาน ที่อวบใหญ่ล้นออกมาชวนให้น้ำลายไหล

“ใหญ่แบบนี้ไอ้พวกนั้นมันชอบดีนัก...รับรองเธอต้องเจอทั้งสวรรค์และนรกแน่นอน” ทันทีที่เมฆินทร์เห็นทรวงอกเต่งตึงของหญิงสาว ยอมรับได้ว่าใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ อยากซุกไซ้สูดดมความหอมและอวบอิ่ม กับทรวงอกคู่นี้ แต่ความคิดทั้งด้านดีและด้านชั่วตีกันจนยุ่ง และความแค้นก็ครอบงำเขาจนยากจะแกะออก เขาจึงเลือกวิธีนี้แก้แค้นให้กวินตาและลูกน้อยในครรภ์ของกวินตา คำว่าไอ้พวกนั้นทำให้นรินทร์วิภารู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ และเริ่มรู้ว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร

“คุณจะทำอะไร...ไม่นะ...ไม่...อย่าทำกับฉันแบบนี้ไม่มมมมม” เสียงร้องของนรินทร์วิภาดังไปตลอดทางที่เมฆินทร์ลากจูงไป ทั้งฝืนตัว ทั้งสะบัด แต่มันไม่ส่งผลอะไรเลย มือบางข้างหนึ่งจับที่สาบเสื้อ เพื่อไม่ให้ใครเห็นทรวงอกของเธอ และดูเหมือนว่าบรรดาลูกน้องที่ตามเมฆินทร์มา ไม่มีใครมองทรวงอกของเธอเลยสักคน มีแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน เขาไม่สนใจเสียงกรีดร้องของเธอ เขายังคงเดินและเดินจนออกมาจากป่า ทั้งๆ ที่หนทางมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์แทนแสงไฟเท่านั้น แต่คนเหล่านี้ยังคงเดินได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนจะชำนาญทางมาก