บทที่ 1 ...ไฟเสน่หาเพลิงอารมณ์...
ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมเข้มตามเชื้อสายชาวฮอลันดาของผู้เป็นปู่ทวดของมารดา เขาดูสง่างามอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีขาวและเนกไทผ้าไหมลายทางสีฟ้าสดใส ช่วยขับให้ผิวค่อนข้างขาวของเขาให้มีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น
ร่างสูงยืนเด่นอยู่หน้าแท่นพิธี โดยมีเพื่อนเจ้าบ่าวสองคนยืนเยื้องด้านหลังอยู่ไม่ห่าง จะผิดแปลกก็จากสีหน้าของทุกคนที่ควรจะยิ้มแย้มแจ่มใส กลับเคร่งเครียดแสดงถึงความวิตกกังวลและร้อนใจไม่ต่างกัน
แต่ไม่กี่นาทีต่อมา สามชายหนุ่มต่างลอบถอนใจโล่งอก เมื่อเสียงดนตรีเปิดตัวเจ้าสาวเริ่มบรรเลง หลังจากเลยเวลามาเกือบยี่สิบนาที โดยมีประกายคมเข้มจากดวงตาสีดำสนิทของผู้เป็นเจ้าบ่าวมองจับจ้องอยู่กับตัวเจ้าสาวในชุดราตรีผ้าไหมสีขาวเรียบหรูดูไม่คุ้นตา
ชายหนุ่มอมยิ้มด้วยคิดว่าความตื่นเต้นเป็นผลทำให้มองผิดเพี้ยน เห็นร่างงามเจ้าสาวของเขาดูเล็กและบอบบางมากกว่าเก่า แม้จะอยากเห็นใบหน้างามและสบตากับเจ้าสาวในเสี้ยววินาทีนี้ แต่ไม่อาจกระทำได้ตามใจปรารถนา เพราะใบหน้าเจ้าสาวถูกผ้าคลุมลูกไม้โปร่งบางสองชั้นบดบัง เขาต้องอดใจรอจนผู้ส่งตัวนำเจ้าสาวเข้ามายืนหน้าแท่นพิธีและถอยออกให้เขาเข้าไปยืนแทนที่
ภีมะพยายามรวมสมาธิฟังบาทหลวงอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตคู่ ขณะเกิดความข้องใจกับชุดเจ้าสาวที่เขาจดจำได้ว่าเป็นผ้าลูกไม้สีพีชทรงเข้ารูปเลิศหรูที่สั่งตรงจากประเทศฝรั่งเศสราคานับแสนบาท หากเปลี่ยนเป็นผ้าไหมสีขาวกระจ่างทรงต่อใต้อกส่งให้ผู้สวมใส่ดูน่ารักแบบสาวอ่อนวัยแปลกตาไป แต่ไม่สามารถสอบถามได้จนช่วงเวลาสำคัญพิธีกล่าวคำปฏิญาณและการสวมแหวนบนนิ้วนางที่สวมถุงมือลูกไม้บอบบางผ่านพ้นไป จึงเปิดผ้าคลุมหน้าออกตามธรรมเนียมการจุมพิตเจ้าสาว
ภาพตรงหน้าสะกดภีมะให้ต้องยืนตะลึงนิ่งงัน เจ้าสาวแสนสวยน่ารักที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ ไม่ใช่ดารุณีคนรักผู้ตกปากรับคำแต่งงานกับเขา และก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยปากกล่าวอะไร เจ้าสาวก็เขย่งกายขึ้นพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาแตะริมฝีปากอิ่มอันอ่อนนุ่มจุมพิตแผ่วบนปลายคางแล้วจูงมือเขาไปยังโต๊ะที่บาทหลวงเชื้อเชิญให้เซ็นชื่อในใบรับรอง โดยเขาต้องจำยอมทำตามทุกอย่างจนขั้นตอนสุดท้าย เพราะบิดามารดาเข้ามากระซิบขอร้องไม่ให้เขากระทำเรื่องขายหน้าต่อแขกเหรื่อที่มาในงาน เขาพยายามเก็บกลั้นความสงสัยและคำถามมากมายมาจนงานพิธีศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์ผ่านพ้นไป
“นี่มันอะไรกันครับ”
เขาเริ่มโวยวาย หลังจากถูกบิดามารดาเดินขนาบข้างตัวเขากับเจ้าสาวพามายังรถเบนซ์ของคู่บ่าวสาว คุณภมรรุนหลังลูกชายเข้านั่งในรถขณะบอกเสียงเครียด
“เดี๋ยวถึงบ้านค่อยคุยกันเถอะภีม”
“ใจเย็นนะลูก”
คุณกรองแก้วเอื้อมมาจับมือลูกชายบีบเบาๆเป็นการปลอบใจนางเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ความจริงจากคุณหญิงเดือนเพ็ญ
“เจ้าสาวของผมหายไปไหน”
ภีมะมองกราดทุกคนในครอบครัวของฝ่ายเจ้าสาวที่พากันเข้ามานั่งอยู่พร้อมหน้าในเรือนหอหลังใหญ่ที่เขาอุตส่าห์ทำงานหนักสร้างมันเอาไว้อยู่ร่วมกับหญิงสาวคนรักที่เขาเลือกเป็นเจ้าสาวเข้าพิธีแต่งงานวันนี้ แต่เขากลับต้องเข้าพิธีบนแท่นศักดิ์สิทธิ์กับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นญาติสาวของดารุณีที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในชีวิต
“อย่าเพิ่งเอะอะไปเลยตาภีม มานั่งลงก่อนเถอะ”
คุณภมรเข้ามาโอบไหล่บุตรชายพาไปนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับครอบครัวเจ้าสาว ซึ่งมีคุณหญิงเดือนเพ็ญกับคุณพินิจน้องชายและสาวน้อยผู้สวมรอยมาเป็นเจ้าสาวตัวแทนนั่งหน้าซีดเจื่อนอยู่
“ทางเราต้องขอโทษค่ะ ดิฉันเสียใจจริงๆที่หนูดามาทำกับคุณภีมอย่างนี้”
คุณหญิงเดือนเพ็ญสุดจะกลั้นน้ำตาร้องไห้โฮออกมา ด้วยความเสียใจต่อการกระทำของลูกสาวคนเดียวที่สร้างความขายหน้าต่อมารดาบิดาและญาติผู้ใหญ่ นางเองก็ตกใจไม่ต่างจากตัวเจ้าบ่าวหรือครอบครัวของเขาที่รู้ว่าเจ้าสาวมาหายตัวไปกลางงานอย่างนี้
“ผมกับคุณหญิงก็เพิ่งรู้จากเพื่อนเจ้าสาวก่อนหน้าจะเข้าพิธีไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี่เอง ยังไงก็ต้องขอโทษคุณภมรกับคุณกรองแก้วด้วย”
ท่านรัฐมนตรีนัททีกล่าวต่อจากภรรยา เมื่อเขารู้ว่าเจ้าสาวหายไปก็พยายามโทรติดต่อลูกสาว แต่ดูเหมือนดารุณีจะปิดมือถือทุกเบอร์ที่หล่อนใช้ ซึ่งพิธีสำคัญกระชั้นชิดเข้ามาเขาจึงเห็นด้วยกับภรรยาและน้องชายเรื่องการเปลี่ยนตัวเจ้าสาว
“หนูดาประสบอุบัติเหตุหรือครับ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
ภีมะใจหาย เมื่อเห็นน้ำตาของผู้เป็นมารดาเจ้าสาว เขาจึงคาดเดาว่าดารุณอาจจะประสบอุบัติเหตุเจ็บตัวถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลจึงมาเข้าพิธีแต่งงานไม่ได้