๑.๕ ชีคทะเลทราย
“เป็นอะไรไปน่ะ ผิง ป่าน” แพรมุกเป็นคนถามประโยคนั้น
“เจอคนหล่อน่ะสิแพร เมื่อกี้เพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องสวีตที่ราคาแพงที่สุดในโรงแรม คนอะไรก็ไม่รู้นอกจากจะหล่อแล้วยังรวยอีกต่างหาก จะหาคนเพอร์เฟกต์ได้แบบนี้สักกี่คนในโลก” พลอยพิมลเป็นคนตอบ ซึ่งปานชีวาเองก็พยักหน้าสนับสนุน
“ใช่คนที่สูงๆ ใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงิน หน้าตาหล่อๆ หรือเปล่าผิง” ศุภโชคแทรกถามขึ้นทันที
“ใช่เลย” น้ำเสียงของพลอยพิมลยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“โอย... พ่อเทพบุตรของฉันนั่นเอง เมื่อกี้ฉันกับยัยแพรก็เพิ่งจะเจอเขาที่ชั้นล่าง”
“ของฉันสองคนย่ะ” ทั้งพลอยพิมลและปานชีวาพูดขึ้นพร้อมกัน
“ว้ายนังชะนีสองตัวนี่ เดี๋ยวตบเช็ดซะเลย” ศุภโชคจีบปากพูดเต็มจริต “งานนี้ใครดีใครได้ย่ะ”
“เอาละๆ ทั้งสามคน แพรขอเชิญไปเถียงกันต่อในลิฟต์นะ เพราะเถียงกันตรงนี้อาจจะเสียงดังจนแขกรำคาญเอาก็ได้ เชิญจ้ะ” แพรมุกรีบห้ามทัพของเพื่อนแล้วเดินไปกดลิฟต์รอ ทำให้ทั้งสามคนต้องเดินตาม และเมื่อประตูลิฟต์ปิดลงอีกครั้ง สองสาวกับอีกหนึ่งหนุ่มก็หันมาถกเถียงกันต่อราวกับนกกระจอกแตกรัง
“เออฉันนึกอะไรออกแล้ว เรามาหาอะไรๆ สนุกเล่นกันช่วงที่เราฝึกงานกันดีไหม” ปานชีวาเป็นคนพูดประโยคนั้นหลังจากถกเถียงกันเรื่องหนุ่มหล่อในฝันไม่ลงตัว
“เรื่อง?” ทุกคนมองมาที่ปานชีวาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม เพราะจู่ๆ เธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่กำลังเป็นประเด็นหลักอย่างกะทันหัน
“หนึ่งในสี่ของกลุ่มเรา จะต้องเป็นตัวแทนไปจีบสุดหล่อคนนั้น”ปานชีวาบอกแผนการของตนออกมา พลางทำตาเจ้าเล่ห์
“เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย” คนที่เห็นด้วยคือพลอยพิมลกับศุภโชคส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยคือแพรมุก
“กลุ่มเรามีกฎว่าเคารพเสียงข้างมาก เพราะฉะนั้นแผนนี้ต้องเดินหน้าต่อไปและคนที่เหมาะสมกับภารกิจนี้ก็คือ...”
เพื่อนทุกคนหันมามองหน้าแพรมุกเป็นตาเดียวกัน สาวน้อยได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมกับปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ๆ”
“ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด” ปานชีวาใช้น้ำเสียงเผด็จการ
“ทำไมจะต้องเป็นฉันด้วยล่ะ”
“ก็เพราะเธอยังไม่เคยมีแฟนและไม่เคยมีความรัก ดังนั้นนี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทดสอบเสน่ห์และได้ฝึกกลยุทธ์การใช้มารยาหญิงซึ่งมีเป็นพันเล่มเกวียนให้เป็นประโยชน์”
“ไม่เอาหรอก ยังไงก็ไม่ ไม่เด็ดขาด” แพรมุกยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียว
“ต้องปฏิบัติตาม!” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกันและส่งสายตาจิกๆ มายังแพรมุกเป็นเชิงบังคับ
“ล้อเล่นใช่ไหม”
“ไม่ได้ล้อเล่นเลยยัยแพร งานนี้พวกเราจริงจัง เอาน่าพวกเราไม่ให้เธอเหนื่อยฟรีๆ หรอก ถ้าเธอทำให้เขาขอเดตได้สักครั้ง พวกเรายินดีจะเลี้ยงข้าวเธอตลอดเทอมหน้า และที่สำคัญพวกเราจะทำรายงานกลุ่มเองทั้งหมดโดยที่เธอไม่ต้องช่วยแต่ประการใด แต่ถ้าหากว่าไม่สำเร็จ เธอจะต้องเป็นคนเลี้ยงพวกเราและต้องทำรายงานกลุ่มคนเดียว ตกลงไหม” คนที่เจ้าแผนการที่สุดในกลุ่มสรุปข้อเสนอและเงื่อนไขให้เสร็จสรรพ
“โอ๊ย!! ไม่มีทาง... มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นใคร ชื่อเสียงเรียงนามอะไร และจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย” แพรมุกพยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธเพราะรู้ดีตั้งแต่ต้นว่างานนี้เธอไม่มีทางจะชนะพนันแน่ๆ
“ข้อนั้นไม่เป็นปัญหา พวกเราจะสืบให้เอง และเธอมีเวลาจนกว่าเขาจะกลับ เป็นอันว่าตกลงตามนี้นะ สู้ๆ ยัยแพร”
หลังจากปานชีวาสรุปอย่างพูดเองเออเองเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนในกลุ่มก็มีสีหน้าแช่มชื่นด้วยความตื่นเต้น ยกเว้นแพรมุกคนเดียวที่ทำหน้าเบื่อโลกราวกับถูกบังคับให้กินยาขม
และหลังจากลงไปประจำที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ได้ไม่นาน ปานชีวากับพลอยพิมลก็บอกข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลเป้าหมายให้แพรมุกทราบอย่างครบถ้วน... เขาชื่อชาฟากีย์ อารีฟ มูซัมมิน เป็นมหาเศรษฐีชาวอาหรับ แต่ไม่รู้ว่ามาจากประเทศไหนเพราะเขาไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ชาฟากีย์มาที่นี่เพื่อพักผ่อน โดยเช่าห้องพักราคาแพงลิบลิ่วของโรงแรมแห่งนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน และสิ่งที่ศุภโชครวมทั้งคนอื่นๆ ในที่นี้ยังไม่รู้ นั่นก็คือบุรุษผู้นี้คือ ‘พญาเหยี่ยวแห่งทะเลทรายอัฟฟายาร์’
แพรมุกรับฟังข้อมูลเหล่านั้นอย่างไม่ได้ยินดีเลยสักนิด จู่ๆ งานก็เข้า แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเพื่อนๆ ยัดเยียดให้เธอทำภารกิจอันแสนจะยากเย็นนี้เสียแล้ว เธอก็จำต้องทำให้ดีที่สุด เพราะมันไม่คุ้มเลยกับที่ต้องทำรายงานกลุ่มคนเดียว มิหนำซ้ำถ้าเธอชนะเธอยังจะได้กินข้าวฟรีอีกเป็นเทอม สาวน้อยพยายามคิดหาข้อดีเพื่อให้ตัวเองสบายใจ จากนั้นก็เริ่มคิดหาวิธีการเข้าถึงตัวชาฟากีย์โดยให้เขาประทับใจในตัวเธอมากที่สุด ทั้งๆ ที่เกิดมายังไม่เคยต้องใช้มารยาหญิงเล่มไหนในการยั่วยวนผู้ชายมาก่อน สุดท้ายก็ต้องโทร.ปรึกษาเพื่อนผู้ชายว่าเขาชอบผู้หญิงหุ่นแบบไหน และจบลงที่ต้องเสียเงินซื้อเสื้อชั้นในแบบที่โฆษณาในโทรทัศน์ว่าใส่แล้วทรวงอกจะตูมขึ้น แถมด้วยฟองน้ำอีกหลายอันเพราะเพื่อนผู้ชายที่เธอปรึกษาระบุมาเลยว่าผู้ชายส่วนใหญ่ชอบมองผู้หญิงที่หน้าอกอิ่มๆ และขาสวยๆ