บทที่ 2 (2)
ดารีนรับถาดเงินมาประคองไว้ด้วยมือทั้งสอง พลางมองค้อนปะหลับปะเหลือก และก่อนจะเดินออกไปเสิร์ฟอาหารก็ไม่วายหลุดปากเอ่ยถาม ให้บัณฑิตาได้ต่อว่าอีกชุดใหญ่
“ไปก็ได้ ว่าแต่ไข่หวานเถอะ ไม่อยากออกไปดูโฉมหน้าอันหล่อเหลาคมแข้มของท่านชีคฮาริคบ้างหรือ”
“ยายดารีน! รีบไปได้แล้ว ก่อนที่หัวหน้าจะมาเห็นเข้า”
บัณฑิตาดันแผ่นหลังของดารีนให้เดินออกจากห้องบัญชาการของเธอ ที่ใช้สำหรับประกอบอาหารทั้งคาว หวาน คอยเลี้ยงบรรดาแขกไฮโซที่ได้มาดื่มฟรี กินฟรี ในค่ำคืนนี้ พอลับร่างของดารีนไปแล้วก็ได้เป่าลมออกจากปากด้วยความเหนื่อยล้า พลางทรุดกายลงนั่งตั้งใจจะพักเอาแรงสัก 2-3 นาที ก่อนจะลุยทำอาหารต่อ ซึ่งเธอรู้ว่าราตรีนี้อีกยาวไกล หากงานเลี้ยงไม่เลิกรา แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายแหล่คงไม่เลิกกิน ไม่เลิกดื่มเป็นแน่
“ขอพักเหนื่อยดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้วน่ะนายจ๋า”
บัณฑิตาพึมพำอยู่คนเดียว ทำเป็นพูดขออนุญาตผู้เป็นนายไปยังงั้นแหละ เพราะรู้ว่าป่านนี้เจ้านายของเธอคงไปแอบส่องสาวๆ อยู่ในห้องจัดงานเลี้ยง ส่วนเรื่องการทำอาหารเลี้ยงแขก เจ้านายที่รักก็โยนงานทุกอย่างมาให้เธอ ดารีน และลูกน้องอีก 4-5 คนที่เหลือ
บัณฑิตาเลือกที่จะชงน้ำมะตูมหอมสดชื่นให้กับตนเอง ซึ่งการชงก็แสนจะง่ายดายแค่เพียงเทผงมะตูมลงในน้ำเย็นคนให้ละลายแล้วเติมน้ำแข็งไปอีกสักหน่อยก็เป็นอันเสร็จพิธี ทว่าเจ้าของนัยน์ตาสีนิลดำขลับไม่ทันได้ยกน้ำมะตูมเย็นเจี๊ยบมาดื่มให้ชื่นใจ พลันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กก็กรีดเสียงร้องดังจนเธออดที่จะตกใจไม่ได้
กริ๊งๆๆๆๆ...
“จ้า...ได้ยินแล้วจ้า คนที่โทรมากรุณาอดใจรอสักนิดนะ กำลังหาโทรศัพท์อยู่จ้ะ”
บัณฑิตาเอ่ยพูดลอยๆ พลางควานหาโทรศัพท์เครื่องเล็ก ที่เก็บไว้ในกระเป๋าสะพาย ด้วยสัมภาระในกระเป๋าสะพายที่ใหญ่พอจะซ่อนลูกหมาตัวเล็กๆ ได้สักตัวนั้นมีมากเหลือเกิน หญิงสาวจึงต้องใช้ความพยายามหลายนาทีกว่าจะควานหาโทรศัพท์เจอ
“เฮ้อ! เกือบถูกงูฉกเอาแล้วสิเรา”
หญิงสาวสัพยอกตัวเอง เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เองว่ากระเป๋าสะพายของเธอนั้นรกได้ใจจริงๆ เพราะกว่าจะหาโทรศัพท์เจอ เสียงโทรศัพท์ในรอบแรกก็ขาดหายไป ก่อนจะกรีดร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง บ่งบอกให้รู้ว่าคนที่โทรมานั้นไม่ละความพยายามในการติดต่อกับเธอเลย
และเมื่อได้เห็นชื่อของคนที่โทรมาติดกันยิกๆ ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ก็คลี่ยิ้มกว้าง ขณะที่กดรับสายก็ดูดน้ำมะตูมเย็นชื่นใจไปอึกใหญ่ ก่อนจะผละออกมากล่าวทักทายกับน้องสาวฝาแฝดของตนเอง
“ว่ายังไงไข่ตุ๋น โทรมาทำไมเสียดึก หรือว่าหิว ไม่มีใครหาข้าวให้กิน”
บัณฑิตาทักทายน้องสาวที่เป็นแฝดคนละฝา ด้วยน้ำเสียงสดใส คิดว่าไข่ตุ๋นหรือบุญธิสา คงตื่นมากลางดึกแล้วหิวข้าวเป็นแน่ ถึงได้โทรมาหาตนเองติดๆ กันหลายครั้ง เพราะปกติแล้วเธอจะเป็นคนเตรียมอาหารให้น้องสาวทานในทุกมื้อ ส่วนบุญธิสานั้นหรือไม่ต้องพูดถึง เรียกว่าทำอาหารไม่เป็นแม้แต่รายการเดียว ขนาดทอดไข่ยังไหม้ดำเป็นตอตะโก
ฟากของบุญธิสา ผู้ที่โทรไปหาพี่สาวกลางดึกดื่น ได้กวาดสายตามองรอบๆ สถานที่ที่ได้รับเชิญให้เดินทางมาเยือนด้วยรถของตำรวจ ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ แล้วตัดสินใจเอ่ยบอกข่าวร้ายให้พี่สาวได้ทราบ
“พี่ไข่หวาน...เอ่อ...เอ่อ...ไข่ตุ๋น...ถูกจับอยู่ที่โรงพัก”
“ฮ้า! อะไรนะ! พูดใหม่อีกทีสิยายไข่ตุ๋น”
บัณฑิตาแทบพลัดตกจากเก้าอี้ ตอนที่ได้ยินเสียงของน้องสาวเอ่ยบอกมาในครั้งแรก และเพื่อให้มั่นใจว่าตนเองไม่ได้หูฝาดไป จึงตะโกนถามน้องสาวอีกครั้ง
“พี่ไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมไข่ตุ๋น”
ทางด้านของบุญธิสา ผู้ที่หาเรื่องเดือดร้อนให้กับพี่สาว ได้ทำคอตก ตีหน้าม่อย ราวกับสำนึกผิดหนักหนา แต่พอเห็นนายตำรวจรูปหล่อคนหนึ่งฉีกยิ้มให้อย่างต้องการผูกสัมพันธ์ด้วย ก็รีบขึงตาเขียวปั้ดใส่ ก่อนจะหันขวับหันหลังให้นายตำรวจคนนั้น แล้วพยายามบีบน้ำตา ทำเสียงอ่อยๆ แสนแผ่วเบาให้พี่สาวได้สงสาร เพื่อที่ตนเองจะได้ถูกดุน้อยที่สุด
“ได้ยินแล้วน่าว่าถูกจับ! พี่ไข่หวานมาประกันตัวไข่ตุ๋นหน่อยสิ”
บัณฑิตากลอกตาขึ้นบนราวกับเซ็งจัด ระคนอ่อนอกอ่อนใจกับพฤติกรรมของน้องสาว ขณะเดียวกันก็นึกโมโหน้องสาวเหลือกำลัง ที่หาเรื่องเดือดร้อนให้เธอตามไปเคลียร์ไม่ได้หยุดหย่อน
“ถูกจับข้อหาอะไรไข่ตุ๋น”
ขณะเอ่ยถาม บัณฑิตาได้ภาวนาให้น้องสาวนั้นถูกจับในข้อหาที่ไม่รุนแรง แต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้ว เธอคิดว่าคงไม่ร้ายแรงสักเท่าใด ไม่เช่นนั้นบุญธิสาคงได้ร้องห่มร้องไห้น้ำตาเป็นเต่าเผาแน่
“เอ่อ...ไข่ตุ๋น...ถูกจับตอนที่อยู่ในบ่อนนะพี่ไข่หวาน”
“ยายไข่ตุ๋น!”
คราวนี้บัณฑิตาตะโกนเรียกน้องสาวดังกว่าครั้งแรกเสียอีก ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นยืนฉับพลัน ใบหน้างามบูดบึ้งโมโหน้องสาวจนถึงกับพูดไม่ออก หากอีกฝ่ายอยู่ใกล้คงได้จับหักคอจิ้มน้ำพริกเป็นแน่
ส่วนคงที่ถูกตะโกนด่าถึงกับตีหน้าเหยเก รีบเอาโทรศัพท์ออกจากใบหู ตอนที่ได้ยินเสียงพี่สาวแผดตะโกนดังก้องจนแสบแก้วหูไปหมด
“พี่ไข่หวานจ๋า...มาประกันตัวไข่ตุ๋นหน่อยนะ ไข่ตุ๋นไม่อยากนอนในนี้นะ มันทั้งหนาว ทั้งกลัว ยุงก็เยอะ ถูกกัดจนตัวลายไปหมดแล้ว”
“ดี! สมน้ำหน้า!”
บัณฑิตาต่อว่าน้องสาวด้วยความโมโห แต่ใช่ว่าจะใจร้ายตามปากที่ได้เอ่ยพูดออกไป เพราะแค่เพียงได้ยินน้องสาวบอกว่าทั้งหนาว ทั้งกลัว แถมยังถูกยุงกัดอีกต่างหาก หญิงสาวก็รีบเก็บสัมภาระเตรียมจะไปประกันตัวน้องสาวทันที
“โธ่...พี่ไข่หวานจ๋า อย่าใจร้ายกับน้องสาวคนสวยนะ รีบๆ มานะ แล้วซื้อข้าวมาฝากไข่ตุ๋นด้วย หิวจนตาลายจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”
บุญธิสาอ้อนพี่สาวไม่ได้หยุด ขณะเดียวกันก็พยายามทำเสียงอ่อยๆ ติดสั่นเครือให้พี่สาวได้ใจอ่อน พนันได้ว่าไม่เกินสองชั่วโมง พี่สาวเธอคงได้วิ่งกระหืบกระหอบมาถึงโรงพักแน่
“เดี๋ยวพี่จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ออกมาจากโรงพักเมื่อไร เธอเจอไม้หวายแน่ยายไข่ตุ๋น”
บัณฑิตาเอ่ยคาดโทษเสียงลอดไรฟัน พร้อมกับทำท่าจะกดตัดสาย หากไม่ถูกน้องสาวตะโกนเรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวๆ พี่ไข่หวาน”
บุญธิสาตะโกนบอกพี่สาว ก่อนที่อีกฝ่ายจะกดตัดสาย จากนั้นก็หลับหูหลับตาเอ่ยบอกพี่สาวรัวราวจนแทบหายใจไม่ทัน
“เอ่อ...ไข่ตุ๋นติดหนี้เจ้าของบ่อนหนึ่งล้าน ป่านนี้พวกมันคงมาดักรออยู่ที่หน้าโรงพักแล้ว พี่ไข่หวานเอาเงินมาใช้
หนะ...”
“พี่จะฆ่าเธอยายไข่ตุ๋น!”
บัณฑิตาตะคอกต่อว่าน้องสาวก่อนที่อีกฝ่ายจะทันพูดจบ จากนั้นก็กดตัดสัญญาณทันที โกรธน้องสาวตัวแสบเหลือกำลัง ที่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเองไม่พอ ยังหาเรื่องตายอีก ที่ดันไปติดหนี้เจ้าของบ่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นพวกมาเฟียใจอำมหิตทั้งสิ้น
“ยายไข่ตุ๋นนะยายไข่ตุ๋น เงินมากมายขนาดนั้น พี่จะหาจากไหนไปใช้หนี้ให้เธอ”
เจ้าของนัยน์ตาสีนิลได้แต่นั่งกุมขมับคิดไม่ตก ไม่รู้จะไปขุดเงินจากที่ไหนตั้งหนึ่งล้านไปใช้หนี้ให้กับน้องสาว แถมยังต้องประกันตัวบุญธิสาออกมาอีก ลำพังแค่เงินที่จะใช้จ่ายในทุกๆ วันก็แถมจะไม่มีอยู่แล้ว
“ให้นอนโรงพักสักคืนดีไหมนี่”
บัณฑิตาพึมพำถามตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ตัดใจปล่อยให้น้องสาวนอนอยู่หลังลูกกรงเหล็กไม่ได้ เธอไม่อาจปล่อยให้น้องต้องตกระกำลำบากเช่นนั้นได้ มันจะต้องมีสักหนทาง ที่จะทำให้เธอช่วยเหลือน้องสาว ให้หลุดพ้นจากการถูกจับกุม