7 รสนากัดแขนเมียใหม่ของพ่อ
“นา มันแช่งให้แม่ตาย”
“อะไรนะ ยายคนนี้แช่งแม่เหรอ ดีล่ะ”
“น้ำหน้าอย่างแกจะมีปัญญาทำอะไรฉัน นังเด็กหน้าโง่ อุ๊ย!”
กำไลพูดยังไม่ทันขาดคำ ส่งเสียงร้องอย่างตกใจ เมื่อเด็กหญิงรสนาโกรธจัด ลุกขึ้นกระโจนเข้าหา อ้าปากแล้วก้มลงกัดที่แขนจนจมเขี้ยว หญิงผู้มาทีหลังร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด สะบัดแขนที่มีปากของเด็กหญิงงับคาเอาไว้
“พี่ไทยช่วยฉันด้วย ลูกพี่มันกัดฉัน ดูสิ จนป่านนี้ยังไม่ปล่อยเลย”
“เฮ้ย นังนา ปล่อยน้องกำไลเดี๋ยวนี้นะ ไม่ปล่อยกูตบนะโว้ย”
กำไลเงื้อมือขึ้นสูง ทำท่าจะซัดลงไปที่บ้องหู เด็กหญิงหลับตาปี๋ ไทยไม่กล้าที่จะทำเพราะยังสงสารเมื่อเห็นน้ำตาลูกสาวไหลพราก เปลี่ยนใหม่โดยใช้วิธีกระชากแขนรสนาออกเต็มแรง ปากเด็กหญิงแดงไปด้วยเลือดของเมียน้อย กำไลร้องวี๊ด เมื่อเมื่อเห็นเนื้อแหว่งขาดหายไป
“อ๊าย! มันกัดเนื้อฉันหลุดหายไปแล้ว พี่ไทยต้องทำโทษมันนะ ไม่ยอมจริงๆ ด้วย นังเด็กนรกเนี่ย”
“โธ่ ตัวมันเล็กกระจิริดอย่างนี้จะทำอะไรได้”
“ไม่นะ ถ้าอย่างนั้น เราเลิกกัน”
“นังนา ลูกเลว ทำอย่างนี้กับผู้ใหญ่ได้ยังไง”
กลัวว่ากำไลจะขอเลิก ไทยไม่รั้งรออีกต่อไป เดินย่างสามขุมเข้าหา ท่าทางโกรธไม่น้อย ตาขุ่นขวาง เด็กหญิงรสนายังคงยืนนิ่ง ไม่สนใจว่าพ่อจะทำอย่างไร เพราะเวลานี้โกรธ เกลียดผู้หญิงที่ชื่อกำไลอย่างที่สุด
ถ้าเป็นไปได้ อยากทำให้เจ็บหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ ติดอยู่ที่ว่าพ่อตั้งท่าจะเอาเรื่อง เห็นท่าทางแล้วน่ากลัวไม่น้อย ก่อนที่ไทยจะทำอะไรไปมากกว่านี้ กำนันอ่วมรีบเข้ามาขวางเอาไว้ก่อน
“เอ็งยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าวะไอ้ไทย นั่นมันลูกเอ็งนะ แล้วนั่นเห็นไหม นังรินเมียเอ็งมันนิ่งไปแล้ว”
“นิ่ง มันตายหรือไง”
จากที่คิดจะทำร้ายลูกสาวตามคำร้องขอของเมียน้อย ไทยชะงักมองมาที่เด็กหญิงรสนาและปรายตาไปที่ริน บัดนี้นอนแน่นิ่งคอพับคออ่อนไปแล้ว เขารู้สึกผิดขึ้นมาครามครัน ดึงแขนกำไลลงไปจากบ้านทันที
“เรากลับไปตั้งหลักก่อนเถอะ กำไล”
“แต่ฉันเจ็บมากเลยนะ พี่จะต้องพาฉันไปทำแผล กลัวโรคบ้ามันจะติด”
“เออน่า เดี๋ยวพาไปทำแผลที่อนามัย แหม บ้าจริง นังลูกคนนี้ มันเป็นอะไรของมัน กระโดดกัดยังกับหมา”
ไทยสบถออกมาด้วยความโกรธแล้วโอบเอวคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยลงไปจากบ้านทันที เด็กหญิงรสนากำมือแน่น น้ำตาไหลพราก แต่ไม่มีเสียงสะอื้น กำนันกับเมียช่วยกันปฐมพยาบาลนารินจนฟื้นคืนสติขึ้นมา
แต่ยังคงนั่งหน้าเศร้า โดยมีลูกสาวเข้าไปคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าอาการนารินดีขึ้นแล้วจึงพากันกลับบ้าน แต่ไม่วายที่จะสั่งเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าแม่เอ็งเป็นอะไรไป เอ็งไปเรียกลุงนะ”
“จ้ะ ลุงกำนัน”
“นา คอยดูแลแม่ให้ดี หาข้าวให้กินด้วย ลุงซื้อก๋วยเตี๋ยวจากตลาดมาให้สองห่อ ส่วนตอนเย็นก็หุงข้าว มีไข่ เนื้อหมูแล้วก็ผัก”
“ขอบคุณ ลุงกำนันมากจ้ะ”
เด็กหญิงรสนาซาบซึ้งในพระคุณของกำนันอ่วมที่กรุณาต่อตนและแม่ ยกมือขึ้นไหว้ทั้งน้ำตา ส่วนนารินไม่มีกระจิตกระใจที่จะพูดอะไรนอกจากนั่งพิงเสานิ่งๆ ดวงตาแห้งแล้งมองที่ลูกสาว บัดนี้จ้องตาแป๋ว
“นารักแม่ไหมลูก”
เมื่อได้ยินแม่ถามดังนั้น เด็กหญิงร่างผอมบางคลานเข้าไปหา ซุกใบหน้าลงที่ตัก หมอบนิ่ง น้ำตาไหลพราก ฝ่ามือนุ่มบางลูบลงที่ศีรษะเพียงเบาๆ
กระตุ้นความรู้สึกให้ส่งเสียงสะอื้นออกมาอีก ร้องราวกับว่าไม่จบสิ้น
“ว่าไงลูก รักแม่ไหม”
“รักจ้ะ รักมากที่สุด”
“แม่ก็รักลูกมากนะ นาเอ๋ย แม่คิดว่าถ้าหายดีแล้วจะไปทำงานที่กรุงเทพฯ อยู่ที่นี่มันคงไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
“ไม่ไปไม่ได้หรือ นาคิดถึงแม่ เราไม่ทิ้งกัน”
“ไม่ได้หรอกลูก แม่คิดๆ ดูแล้ว พ่อเราไม่เหมือนคนทั่วไป ทำตัวน่ารังเกียจ แถมเอาผู้หญิงไม่ดีเข้าบ้านอีก วันคืนดี ตีแม่อีกล่ะ ใครจะช่วย”
แม่พยายามหาเหตุผลที่จะไปทำงานกรุงเทพฯ เพื่อหลุดพ้นความอดอยากและหนีคนที่เป็นผัว ชอบทำร้ายร่างกาย รสนายังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ อยากให้แม่อยู่ด้วย เกลียดการพลัดพราก แต่ไม่อาจรั้งแม่เอาไว้ได้
ในเวลานี้นารินเกลียดไทยมากที่สุด ผู้ชายสุดแสนเลว กลัวใจตัวเอง ถ้าหากว่าระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ อาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายโดยที่ไม่มีใครคาดถึง
“แม่จ๋าแม่ไปแล้ว นาจะอยู่กับใคร”