4 รสนาเด็กเจ้าอารมณ์
อรดีกลัวเพื่อนคนนี้มาก แทบไม่กล้าเข้าหา ทุกครั้งที่อยู่ตามลำพังสองต่อสองมักจะถูกทำร้ายด้วยคำพูดและดวงตาที่จ้องราวกับปีศาจร้าย
แค่เพียงเอาอาหารมาให้ช้า กลับกลายเป็นความผิดโดยเด็กหญิงอรดีไม่ได้ก่อ ขาเล็กๆ ถอยกรูดไปข้างหลัง เมื่อถูกล่าวหาว่าแกล้งปล่อยให้หิว เด็กหญิงผู้น่ารักรีบหาข้อโต้แย้งเพื่อให้เพื่อนเจ้าอารมณ์ลดความเกรี้ยวกราดลง
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เราบอกแล้วไง แม่รอของ อีกอย่างพ่อค้าก็ไปเยี่ยมแม่ของเธอที่โรงพยาบาลทำให้มาช้า”
“อะไรนะ ไปเยี่ยมแม่ฉันหรือ แม่ แม่”
“ใช่ พ่อค้าไปเยี่ยมแม่เธอ น้ารินไง”
“แม่ แม่จ๋า นาคิดถึงแม่”
ร่างบางสั่นเพราะแรงสะอื้น เมื่อได้ยินชื่อแม่ ใบหน้าเด็กหญิงเหยเก เบ้ปาก น้ำตาร่วงเผาะ เด็กหญิงอรดีถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งอกที่ไม่ถูกเพื่อนทำร้ายร่างกาย
“แม่ แม่ฉันเป็นยังไงบ้าง ทำไมพ่อเธอไม่พาฉันไปเยี่ยมแม่บ้าง”
“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ”
“เย็นได้ยังไงไหว แม่เจ็บหนักขนาดนั้น ลองแม่เธอถูกพ่อเธอตีบ้างสิ โธ่ แม่จ๋า นารักแม่ อย่าเป็นอะไรไปนะ”
เดี๋ยวเกรี้ยวกราด เดี๋ยวร้องไห้ ท่าทางคุ้มดีคุ้มร้ายด้วยอารมณ์ที่แปรปรวน ต่างจากเด็กวัยเดียวกัน เมื่อร้องไห้จนตัวโยน ยกท่อนแขนด่างดำเช็ดน้ำตา ใบหน้าดำเล็กแหลมทั้งมอมและเลอะไปด้วยน้ำตา
สภาพจิตใจรสนาในเวลานี้แย่ที่สุด ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูความรู้สึกอีกนาน กว่าจะกลับคืนเข้าสู่สภาพปกติ
“อย่าร้องไห้สินา”
“ฉันคิดถึงแม่นี่ บอกมา แม่ฉันเป็นยังไงบ้าง”
“เอ่อ ดีขึ้นมากแล้วล่ะ น้ารินถามหาเธอตลอดเลยนะ อีกไม่กี่วันก็ออกโรงพยาบาลได้แล้ว น้ารินจะกลับมาอยู่กับเธอ”
อรดีส่งยิ้มหวานๆ ให้แก่เพื่อนที่จิตแปรปรวน ในเวลานี้ไม่สนใจสิ่งใดๆ นอกจากร้องไห้เพียงอย่างเดียว คิดถึงแม่จนแทบขาดใจ ทุกครั้งที่เห็นเด็กรุ่นเดียวกันอยู่กับพ่อแม่ เด็กหญิงจะรู้สึกริษยา อยากจะมีเหมือนคนอื่นบ้าง
“แม่ แม่จ๋า นาคิดถึงแม่”
“นา เธอกลัวมั้ย ถ้าหากว่ากลัวไปนอนบ้านเราก็ได้นะ”
หลังจากเห็นเพื่อนฟูมฟายน้ำตาด้วยความเสียใจต่อมารดาที่ไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เด็กหญิงอรดีรู้สึกสงสาร ปราดเข้าไปบีบไหล่ แต่
“อย่ามายุ่งกับฉัน ไป๊”
นอกจากเสียงไล่แว้ดอย่างมีอารมณ์ แขนเล็กแกร็นสะบัดถูกใบหน้าอิ่มเต็มแรง เด็กหญิงอรดีตกใจจนกระทั่งล้มหงายร้องไห้และลุกขึ้นวิ่งลงจากบ้านไป ทิ้งให้เด็กหญิงอารมณ์ร้ายร้องไห้คร่ำครวญคิดถึงแม่อยู่ที่บ้านรกสกปรกเพียงลำพังผู้เดียว
รสนาร้องและร้องจนแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อหยุดร้องไห้ รู้สึกหิว ทว่ากลับหยิบข้าวของใกล้ตัวปาเกลื่อนกลาดไปทั่วทั้งบ้าน
“นี่แน่ะ! ชอบยุ่งกับเรื่องของฉันนัก เยาะเย้ยกันเหรอ บ้าๆ”
รสนากรีดเสียงดังๆ ด้วยอารมณ์ที่คั่งแค้น เมื่อรู้ว่าถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังและอับอายเรื่องพ่อแม่ตบตีกัน เห็นสายตาชาวบ้านบางคนมองแปลกๆ ตีความไปเองว่าถูกเยาะหยัน เก็บความอาฆาตเอาไว้เพื่อที่จะหาทางเล่นงานเอาคืน
พระอาทิตย์กำลังลับเหลี่ยมเขา ขณะที่เด็กหญิงอารมณ์ร้ายนอนหลับ ไทยผู้เป็นพ่อเดินลงส้นเท้าขึ้นมาข้างบนบ้าน ส่งเสียงดังเสียจนเด็กหญิงรสนาสะดุ้งตื่น
“เฮ้ย คนบ้านนี้มันหายหัวไปไหนหมดวะ ข้าเห็นแต่หมาขี้เรือนอยู่ใต้ถุนบ้าน ไม่เห็นคนแม้แต่ตัวเดียว ปล่อยให้หมามันครองบ้านหรือไง”
เสียงที่พ่นออกมานั้นอ้อแอ้ด้วยฤทธิ์แห่งน้ำเมา เดินเซแซดๆ ไปข้างหน้าแต่แล้วเท้าใหญ่นิ้วหยาบกางสะดุดกับร่างลูกสาวที่นอนกลั้นลมหายใจเพราะกลัวว่าพ่อจะทำร้าย ไทยชะงักตรึงเท้าอยู่กับที่ ก้มมองลงไปอย่างฉงนฉงาย
“อ้าว นังนา อีนังขี้เกียจ มานอนหลบอยู่นี่เอง เกะเกะตีนซะจริง เดี๋ยวก็เขี่ยให้ตกบ้านซะหรอก แม่เอ็งไปไหนวะ”
แทนที่จะตอบให้บิดารับรู้ เด็กหญิงรสนากลับลุกขึ้นนั่งหลังค่อม มองพ่อด้วยตาขุ่นขวาง ทำปากขมุบขมิบ ไทยเห็นดังนั้นโกรธจนหน้าร้อนผ่าว ยืนเท้าสะเอว ถลึงตาใส่ลูกที่ยังคงมีอากัปกิริยาเช่นเดิม อดใจไม่ไหว ตะคอกซ้ำอีกครั้ง
“เอ๊ะ! นังนี่ หูแตกหรือไงวะ บอกมานังรินแม่เอ็งมันหายหัวไปไหนวะ รีบไปบอกให้มันหากับแกล้มให้ข้ากินกับเหล้าสิวะ”
เด็กหญิงยังคงจ้องหน้าพ่อด้วยตาขวางๆ ขบกรามจนเป็นสันนูน หากว่าไทยไม่เงื้อมือขึ้น คงจะนิ่งเช่นเดิม ครั้นเห็นมือใหญ่ทำท่าจะฟาดลงมา รีบตอบอย่างมะนาวไม่มีน้ำ
“แม่อยู่โรงพยาบาล”