10 พ่อเอารสนามาใช้งาน
น้ำเสียงเว้าวอนน่าสงสาร กำนันอ่วมถอนหายใจ สำรวจดูสารรูปของชายที่ยืนตรงหน้าแล้วปลง รู้ว่าไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูลูกได้ สุดท้ายก็ต้องปล่อยปละละเลยและคงไม่แคล้วแกอีกตามเคยที่ต้องเก็บเด็กหญิงรสนามาเลี้ยง
“เอ็งแน่ใจหรือวะ ว่าจะเลี้ยงลูกได้”
“ซำบายมากกำนัน ลูกคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ นังนาอยู่ที่ไหนไปเรียกมันมา กลับไปนอนบ้านได้แล้ว”
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด เดี๋ยวลูกตกใจเปล่าๆ ตอนนี้ขวัญมันยิ่งไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”
“เฮ้ย เด็กเล็กจะเอาอะไรนักหนา ฉันคิดถึงลูกใจแทบขาด รู้ว่าที่ผ่านมาทำตัวไม่ดี ตอนนี้สำนึกผิดแล้ว ขอตัวนังนาให้ฉันเถิดนะกำนัน”
ชายผู้มีสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ ยกมือขึ้นไหว้กำนันอ่วม ทำหน้าตาละห้อย น่าสงสาร กำนันเห็นถึงความปรารถนาของผู้เป็นพ่อ จำใจคืนเด็กหญิงรสนาให้ไป เด็กหญิงเมื่อรู้ว่าจะต้องไปอยู่กับพ่อถึงกับตัวสั่นและหวาดกลัวเมื่อเจอหน้ากัน ไทยเห็นดังนั้นตะโกนเสียงดังลั่น
“หนอยแน่ะ นังลูกไม่รักดี อยู่กับพ่อทำเป็นกลัวจนตัวสั่น พ่อนะโว้ย ไม่ใช่ยักษ์”
“เบาๆ น่าไทย ลูกมันกลัวจนแทบยืนไม่อยู่แล้ว”
“มันจะกลัวอะไรนักหนา กำนันดูก็แล้วกัน มันทำท่าเกลียดชังพ่อได้ถึงขนาดนี้ ไม่ธรรมดาแล้วนะ นังลูกบ้า มานี่เลย”
โกรธจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อเห็นท่าทีของลูก รู้ว่ารังเกียจตนเอง ไทยกระชากแขนเล็กๆ เข้ามาหาตัวเต็มแรง ร่างบางปลิวหวือตามแรง พร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความกลัว
“เจ็บนะพ่อ”
“แหม ทำเป็นร้องหรือ นังตัวดี กลับไปนอนที่บ้าน เอ็งนี่ ทำตัวเหมือนคนไม่มีบ้าน เจ้าไร้ศาล ไม่มีใครเขารักเอ็งเท่ากับพ่อหรอกวะ เดินเร็วๆ”
“ไอ้ไทย อย่ารุนแรงกับลูก”
“กำนันไม่ต้องห่วงหรอก นังนี่มันลูกฉัน ใครจะกล้าฆ่าแกงมันเล่า”
“ข้ารู้ แต่ก็ไม่อยากให้นังหนูนามันบอบช้ำที่ผ่านมาก็แย่พอแล้ว เลี้ยงลูกต้องใจเย็นๆ อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งเด็ดขาด”
กำนันอ่วมเตือนด้วยความหวังดี ไม่รู้ว่าไทยจะรับรู้หรือไม่ เห็นใจเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังคงส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ เมื่อต้องไปอยู่กับพ่อซึ่งมีทีท่าเหมือนคนสติไม่ค่อยจะเต็มเต็ง เวลานี้ได้แต่มองตามร่างสองพ่อลูกที่เดินจากไป ถอนใจออกมาทันที จากนี้เป็นต้นไป ไม่รู้ว่าอนาคตของเด็กหญิงรสนาจะเป็นอย่างไร
เท้าเล็กๆ ก้าวขึ้นมาข้างบนบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ความสกปรกเลอะเทอะยังคงมีปรากฏให้เห็น เด็กหญิงรสนากวาดตามองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นแปลกปลอมเข้ามา กลัวพ่อเอากำไลผู้หญิงหน้าแหลม โหนกแก้มสูงคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน ฐานะเมียคนใหม่
ต่างจากผู้เป็นพ่อ ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ทันทีที่เหยียบลงบนพื้นกระดาน ล้มลงไปนอนแผ่หลาอย่างสิ้นแรง เด็กหญิงรสนาถอนใจเฮือก ขยับไปนั่งแอบอยู่ตรงมุมห้อง
“นา ต้มข้าวให้พ่อกินซิ”
“ต้มข้าวหรือพ่อ”
“เออ แค่ต้มข้าวทำไม่เป็นหรือไง เดี๋ยวซัดด้วยหลังมือนี่หรอก”
ไทยทำท่ายกมือขึ้นสูง แสดงความดุร้ายให้เห็น เด็กหญิงรสนาใจหายวาบ มองพ่ออย่างหวาดๆ รับรู้ถึงขนลุกไปทั้งกาย กลัวจนจับจิต รู้ว่าจากนี้เป็นต้นไปเธอจะต้องตกเป็นเหยื่อแห่งอารมณ์โหดของพ่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
“เร็วเข้า มีปัญหาหรือไง”
“ไม่มีหรอกพ่อ”
“เออ ในเมื่อไม่มีก็อย่าพูดมาก หิวโว้ย ได้ซดข้าวต้มร้อนๆ คงจะดี”
เสียงของผู้เป็นพ่อขาดหายไป หลังจากยกมือขึ้นก่ายหน้าผากทำท่าจะหลับ เด็กหญิงตัวน้อยเดินงกๆ เงิ่นๆ ไปที่เตาถ่าน จัดแจงล้วงมือเข้าไปในถังไม้ที่แม่ผ่าฟืนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพื่อใช้เป็นเชื้อไฟ เอามาวางเรียงกันจนเป็นกอง ราดน้ำมันจากตะเกียงลงไป โรยถ่านก้อนเล็กๆ รอเชื้อฟื้นและจุดไม้ขีด เสียงดังฟู่ ไฟสว่างวาบ เมื่อนำเชื้อฟื้นที่เปียกน้ำมันขึ้นมาจ่อ ไฟลามติดอย่างรวดเร็ว กลิ่นน้ำมันเหม็นคละคลุ้งจนต้องเอามือยกขึ้นปิดจมูก เธอนำไปวางไว้ในเตา แล้วเอาถ่านโรยลงไปอีกครั้ง
“มีอะไรกินบ้างวะ”
“ไม่มีอะไรเลย นอกจากเกลือ”
“เกลือ นี่เอ็งจะให้ข้ากินข้าวต้มกับเกลือหรือ นังนา”
“ก็ ก็มีแค่นี้นี่นา”
เด็กหญิงอ้อมแอ้มตอบด้วยเสียงสั่น มองพ่อที่ยังคงปรือตาขึ้นมา ถึงความเหี้ยมใส่ เธอหัวหดด้วยความกลัว อยากจะหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
เธอมีความรู้สึกว่าพ่อเป็นผู้ชายที่น่ากลัวมากที่สุด โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นแดงจัด ราวกับปีศาจร้าย นึกถึงแม่ ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทำไมไม่ส่งข่าวมาให้รับรู้