บทที่ 5
“แบบนี้ใช้ได้หรือยังจ๊ะป้าแวว”
เสียงหวานเอ่ยถาม พร้อมกับส่งผลงานในมือให้ดู แววรับเสื้อกันหนาวที่เป็นรูปเป็นร่างหลังจากที่เจ้าตัวเฝ้านั่งทำมานานนับเดือนเรียบร้อยแล้วนั้นไป ก่อนจะพินิจเพื่อหาร่องรอยของตำหนิ นางยิ้มพอใจเมื่อเห็นว่ามันไม่มีแม้แต่จุดเดียว ก่อนจะสะบัดคลี่ผืนเสื้อออกดูให้ชัดๆ อีกครั้ง เสื้อกันหนาวตัวโต สีแดงเลือดหมู ตัวนี้เป็นผลงานชิ้นแรกที่เพชรน้ำบุษเพียรทำมานาน เพื่อตั้งใจเก็บไว้เป็นของขวัญวันเกิดให้บิดา ในเดือนหน้า
“สวยมากๆ เลยค่ะคุณหนูบุษ ท่านคงจะชอบ เข้าหน้าหนาวพอดี ได้ทันใช้เลย”
“ไว้รอบหน้า บุษจะถักให้ป้าแววบ้างนะคะ ค่าครู ขอบคุณมากๆ ค่ะที่สอนให้บุษทำงานชิ้นนี้จนสำเร็จ”
หญิงสาวก้มลงกราบหญิงวัยกลางคนตรงอก เธอไม่ได้ถือตัวว่าเป็นถึงทายาทของเจ้านายของนาง เพชรน้ำบุษอ่อนหวานน่ารักนัก จนคนรักใคร่กันทั้งบ้าน ไม่เหมือนกับใครบางคน ที่เป็นคล้ายกับกา แต่อยากจะเผยอตัวเองเป็นหงส์ แววคิดอย่างเหนื่อยใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าดีใจที่คุณหนูอยากจะเรียนรู้วิชาแบบนี้ไว้ หายากแล้วที่สาวๆ จะมานั่งทำอะไรแบบนี้ สมัยนี้อะไรๆ ก็ซื้อกันไปหมด จนจะทำไม่เป็นกันอยู่แล้ว”
“ซื้อมันก็ไม่เหมือนทำเองหรอกค่ะป้าแวว”
เพชรน้ำบุษยิ้มหวาน เธอรับเสื้อคืนมาจากแวว แล้วมองมันอย่างปลาบปลื้ม บิดาของเธอจะชอบมันไหมหนอ เธอเลือกสีโปรดของท่าน อยากให้ของขวัญวันเกิดชิ้นนี้เป็นของที่บิดาชอบและมีความสุขที่ได้รับ
“บุษขอตัวเอาเสื้อไปเก็บก่อนนะคะป้าแวว เดี๋ยวจะมาช่วยทำกับข้าว วันนี้จะทำกุ้งหวานของโปรดของคุณพ่อ เห็นท่านบ่นอยากจะกินตั้งแต่เมื่อวาน ได้กุ้งตัวสวยๆ มาเยอะเลยค่ะวันนี้”
“จริงสิคะคุณหนู ป้าเกือบจะลืมไป วันนี้เห็นคุณท่านบอกว่าจะกลับค่ำสักหน่อย คงไม่ต้องรอกินข้าวเย็นน่ะค่ะ”
แววบอก เพชรน้ำบุษย่นจมูก แล้วเอ่ยเสียงใส
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทำไว้เผื่อท่านหิวตอนดึกๆ แล้วอีกอย่างนี่ก็เป็นของโปรดของป้าแววด้วย เดี๋ยวบุษจะแบ่งไว้ให้เป็นพิเศษนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณหนู”
แววว่า แต่อีกฝ่ายไม่ฟังเสียแล้วเพราะรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสอง เพื่อเอาของขวัญชิ้นพิเศษไปเก็บซ่อนไว้ รอจนกว่าจะถึงวันสำคัญที่จะมอบให้กับบิดา
ร่างบางเดินเข้ามาในห้องนอนของเธอ มองหาที่เก็บของขวัญของบิดาไปรอบๆ ห้อง ห้องนอนของเพชรน้ำบุษสวยงามราวกับห้องนอนของเจ้าหญิง ห้องของเธอมีหน้าต่างบานสูง แขวนผ้าม่านลายปักเถาดอกไม้งดงามกันแดดส่อง ชุดเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดทำเป็นสีขาว และบุด้วยผ้าลายดอกไม้สีหวานสวย ชุดผ้าปูเตียงก็เป็นสีหวาน ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ตัวโปรดของเธอวางไว้บนหัวเตียง เตียงนอนแบบเจ้าหญิงในเทพนิยาย ทุกอย่างสำหรับเพชรน้ำบุษ ณัฐเป็นคนเลือกให้ทุกสิ่ง มันต้องหรูหรา มีระดับและมีราคา สมค่ากับลูกสาวของพ่อเลี้ยงผู้ร่ำรวยแห่งเมืองเหนือ
การได้รับการตามใจในเรื่องวัตถุ และเงินทองจากบิดา กลับไม่ทำให้หญิงสาวเสียคน หรือว่ามีปมปัญหาอะไร ตรงกันข้ามเธอกลับนึกว่าบางสิ่งก็ฟุ่มเฟือยจนเกินไป หญิงสาวเป็นตัวของตัวเอง โรงเรียนประจำในวัยเยาว์ให้อะไรกับเธอมากมายนอกจากการศึกษา แม้จะกำพร้าแม่ แต่เธอก็มีคุณครูที่รักเธอและคอยอบรมสั่งสอนเธอราวกับลูกแท้ๆ จนทำให้เพชรน้ำบุษเป็นตัวเองในแบบทุกวันนี้ เป็นหญิงสาวจิตใจดี อ่อนโยน และมองโลกอย่างสดใส สวยงาม
เพชรน้ำบุษไม่ใคร่จะชอบใจนักเวลาที่บิดาซื้อเสื้อผ้าหรือของใช้แบรนเนมมาให้เธอ เนื่องจากเธอเห็นว่ามันแพงเกินความจำเป็น แต่ก็ต้องฝืนใช้ เมื่อออกงานเคียงคู่กันกับท่าน สิ่งเดียวที่เธอปรารถนาจากบิดาก็คือการเล่าเรียนที่สูงมากกว่านี้ หากแต่ณัฐกลับส่งเสียเธอเรียนจบแค่ระดับปริญญาตรี เขาไม่ยอมให้เธอเรียนต่อ และให้เพชรน้ำบุษทำงานใกล้หูใกล้ตา ไม่ยอมให้ไปไกลที่ไหน มีคนเล่าลือกันว่าพ่อเลี้ยงหวงบุตรสาวมาก ไม่ยอมให้หนุ่มๆ ที่ไหนมากล้ำกรายได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง ณัฐให้บอดี้การ์ดตามเฝ้าเธอ และคอยกันบรรดามดแดงทั้งหลายที่จ้องจะมาไต่ตอมมะม่วงผลงามอย่างเพชรน้ำบุษ มันทำให้หญิงสาวไม่เคยมีคนรักแม้แต่คนเดียว จนอายุย่างเข้า 24 ปี และดูทีท่าแล้วคงอีกนาน กว่าจะมีคนกล้าฝ่าด่านอิทธิพลของณัฐเข้ามาถึงตัวของเธอ
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้ว่า จะเอามันเก็บซ่อนไว้ที่ไหน บิดามักจะมีของขวัญให้เธอทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้าให้เธอเสมอ หรือบางคราวก็แอบซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ อย่างลิ้นชัก หรือว่าโต๊ะเครื่องแป้ง มีเพียงกล่องที่เธอใช้เก็บของเท่านั้นที่ท่านไม่เคยแตะต้อง หญิงสาวลากมันออกมาจากใต้เตียง ปัดฝุ่นเล็กน้อยก่อนจะเปิดมันขึ้น เพื่อจะบรรจุเสื้อกันหนาวลงไปในนั้น มือบางชะงักเมื่อสายตาเห็นบางอย่างที่สะดุดตาเข้า เพชรน้ำบุษ ดึงเอาอัลบั้มภาพออกมา แล้วเปิดมันไล่ดูเหมือนกับจะรำลึกถึงอดีตเบื้องหลัง
ภาพของเด็กหญิงผูกผมเปีย นัยน์ตาค่อนข้างเศร้าที่มองมายังกล้อง วัยไม่เกินแปดขวบในอิริยาบถต่างๆ กัน ก่อนที่จะเป็นภาพของเด็กหญิงคนเดียวกัน ในวัยที่โตขึ้น และยิ้มแย้มมากขึ้น นัยน์ตาเศร้าหมองนั้นหายไป หลายภาพมีชายหน้าตาคมสัน ถ่ายรูปร่วมกับเธอ นิ้วเรียวไล้ภาพนั้นอย่างรักใคร่ ก่อนที่น้ำตาหนึ่งหยดจะไหลริน ต้องลงภาพนั้น เธอรีบเช็ดมันออกอย่างรวดเร็ว เพราะความชื้นเป็นศัตรูร้ายกาจของภาพถ่าย และเพชรน้ำบุษก็ไม่ต้องการให้มันทำให้ภาพแห่งความหลังต้องมีรอยเปื้อน
“หนูรักคุณพ่อเหลือเกินค่ะ ถ้าไม่มีพ่อณัฐ ป่านนี้หนูจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
หญิงสาวมองคนในภาพด้วยสายตาบูชาสุดหัวใจ ก่อนจะปิดภาพแห่งความหลังเหล่านั้นแล้วเก็บมันไว้ที่เดิมอย่างเรียบร้อย
ถ้าไม่มีณัฐ ดิลกธรรมชัย ก็คงจะไม่มี เพชรน้ำบุษ ดิลกธรรมชัยในทุกวันนี้ เธอมีหน้าที่จะต้องตอบแทนบุคคลที่ให้ชีวิตใหม่แก่เธออย่างณัฐ หญิงสาวพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ชายที่มีบุญคุณเสียยิ่งกว่าบุพการีคนนี้ได้มีความสุข
ใช่แล้ว...ณัฐไม่ใช่บิดาแท้ๆ ของเธอ ท่านเป็นเพียงบิดาเลี้ยง ที่รับเธอเข้ามาเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่แปดขวบ เขาส่งเธอเข้าโรงเรียนประจำ ก่อนที่จะรับเธอออกมาอยู่ด้วยกัน เขาเอ็นดูเธอมาก และยิ่งตอนหลังทั้งห่วงและหวงเธอมากขึ้นทุกวัน แต่เธอก็ไม่ได้รำคาญหรืออึดอัด กลับรู้สึกภูมิใจที่ท่านทั้งรักและเอ็นดูเธอแบบนี้ แม้บางอย่างจะดูเกินไป ก้าวล่วงเสรีภาพกันมากไปอยู่สักหน่อย แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ขัดขืนหรือรู้สึกแย่อะไร เพียงนึกว่าท่านเป็นห่วงเธอตามประสาพ่อที่หวงลูกสาวที่กำลังโตเป็นสาวสะพรั่งเท่านั้น
เพชรน้ำบุษมองดูที่ซ่อนของเธอให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกริ่ม เมื่อนึกถึงสีหน้าของบิดายามที่ได้ของขวัญจากเธอ ร่างบางเดินเร็วๆ ไปยังชั้นล่าง เพื่อตรงไปยังห้องครัว ตั้งใจจะไปทำอาหารเย็นไว้เตรียมรอรับบิดา แต่เท้าของเธอก็ชะงักเมื่อเดินผ่านเปียโนสีดำหลังใหญ่ ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องรับแขก มันอยู่ตรงนั้นมานานมากแล้ว และไม่มีใครแตะต้องหรือเล่นมันให้ได้ยินแม้แต่คนเดียว อะไรบางอย่างทำให้เธอเดินเข้าไปใกล้ แล้วเปิดฝาครอบคีย์ออก นิ้วเรียวลองกดดูเบาๆ เสียงใสไพเราะดังขึ้นทันทีเมื่อปลายนิ้วสัมผัส
“คุณหนู!”
เสียงอุทานอย่างตกใจของแววดังขึ้น ทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัว แล้วหันขวับไปมองทางต้นเสียง เธอเอียงคอเมื่อเห็นว่าแววมีหน้าซีดเผือดเมื่อมองดูเปียโนหลังนั้นและเธอสลับกัน เธอปิดให้เรียบร้อยตามเดิม ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาแวว ที่ยังคงมองที่เปียโนหลังนั้นนิ่ง
“ป้าแวว มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ...คุณหนูจะเล่นเปียโนหรือคะ”
แววกลืนน้ำลาย ความหลังบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าของเปียโนแล่นเข้ามาในห้วงความทรงจำ มันมีความทรงจำที่เลวร้ายยิ่งนัก ตอนนั้นนางพึ่งจะสมัยรุ่นสาว ยังคงทำงานอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง และตอนนี้มันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในอาณาเขต ของครอบครัวดิลกธรรมชัยเรียบร้อยแล้ว
“เปล่าหรอกจ้ะ บุษเล่นไม่เป็นหรอกป้าแวว เอ...มันมาจากไหนกันคะ เปียโนตัวนี้ บ้านเราไม่มีใครเล่นเป็นนี่คะ”
“ป้าก็ไม่ทราบหรอกค่ะ เราไปทำกับข้าวกันดีกว่าค่ะคุณหนู วันนี้ไอ้ทัยมันได้สายบัวมาเยอะเชียว ป้าจะทำต้มสายบัวให้ เห็นคุณหนูบอกว่าอยากกิน”
“จ้ะ”
เพชรน้ำบุษละความสนใจจากสิ่งใหม่ในห้องรับแขกชั่วคราว ขณะที่แววมองมันด้วยสายตาเจ็บปวด เปียโนตัวนี้ทำให้นางระลึกถึงเรื่องบางเรื่อง ที่อยากจะลืมให้หมดขึ้นมาได้
ป่านนี้คุณหนูตัวน้อยของนางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ พ่อคุณเอ๋ย...พลัดพ่อ พลัดแม่ พลัดบ้านไปไกลขนาดนั้น จะยังเล่นเปียโนอยู่ไหมหนอ…
หูของแววเหมือนจะยังได้ยินเสียงเพลงไพเราะที่บรรเลงแผ่วพลิ้วมาจากเปียโนตัวนี้ จากฝีมือของเด็กชายร่างผอม หน้าตาคมสัน ที่มีชื่อว่ากันต์ระวี