บทที่ 3
คำพูด รวมถึงสายตาที่มองเขาแบบหัวจรดเท้า ด้วยแววตาราวกับหมาป่าแสนเจ้าเล่ห์ ที่ยังจำฝังใจในเด็กชายอายุสิบสอง ที่กำลังเคว้งคว้างจับต้นชนปลายไม่ถูก บิดาของเขาใช้ปืนยิงกันทิรา ก่อนจะยิงตัวตาย มีจดหมายพินัยกรรมมอบทุกสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของกันทิราให้กับชายหนุ่มอีกคนอย่างเคลือบแคลง แต่นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นลายมือของเธอ จดหมายนั้นถูกต้องและพินัยกรรมมีผลทางกฎหมาย
ณัฐอ้างหนี้สินที่หยงชางติดค้างชำระเขาในการเข้ายึดบ้านพิพิธสกุลชัย และยึดไร่ส้ม รวมถึงบ้านของพวกเขา หยงฟางที่ไปร่วมงานศพของพี่ชายต่างมารดาทนไม่ไหวที่หลานชายต้องกลายเป็นลูกกำพร้า และแทบจะไม่เหลือสิ้นซึ่งอนาคต หรือแม้แต่ญาติพี่น้องที่จะมาดูดำดูดี เขาจึงนำพากันต์ระวีหลายชายที่ได้พบเจอหน้ากันยังไม่ถึงอาทิตย์ไว้เป็นบุตรบุญธรรมและพามาเสียจากเมืองไทย กลับมาที่ฮ่องกง ซึ่งเขามีธุรกิจอยู่ที่นี่ เขาได้ส่งเสียเลี้ยงดูกันต์ระวีจนเติบโตเป็นชายหนุ่มฉกรรจ์ ให้ความรู้การศึกษาอย่างดี กันต์ระวีกลายเป็นมือขวาที่เก่งกาจ และหยงฟางที่ไม่มีลูกหรือภรรยาก็ต้องการให้ชายหนุ่มสืบทอดกิจการของตระกูลแซ่เซี่ยต่อไป
แต่สิ่งที่ติดค้างในใจของชายหนุ่มมาตลอดยี่สิบปี คือการทวงคืนทุกสิ่งมาอย่างถูกต้องให้กับครอบครัวของเขา กันต์ระวีต้องการอย่างยิ่งที่จะไปทวงความเป็นธรรมให้กับมารดาที่ถูกนินทาว่าร้ายว่าเป็นชู้กับชายเลวคนนั้น และทวงสิ่งของๆ ครอบครัวคืนมา ไร่ส้มที่เขารัก ที่เขาเคยวิ่งเล่นซุกซนไปทุกตารางนิ้วนั่น เปียโนตัวที่มารดาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เขาหวังว่ามันจะยังคงอยู่ที่นั่น แม้จะเหลือเพียงแต่ซาก แต่กันต์ระวีก็ยังจะต้องการทวงทุกสิ่งของเขาคืน
การแก้แค้น!
คำๆ นี้เป็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของชายหนุ่มมาตลอด เขาพยายามเรียนให้จบและตอบแทนผู้เป็นอาที่ได้ชุบเลี้ยงเขามา ตอนนี้ธุรกิจของหยงฟางไม่น่ามีอะไรเป็นห่วง และกำลังก้าวหน้าไปด้วยดี เขาปั้นมือขวาที่เอาไว้แทนตัวได้ถ้าเกิดเขาไปไหนไกลๆ สักพัก กันต์ระวียิ้มที่มุมปากขณะที่แต่งตัวเพื่อเตรียมจะไปทำงานของตนเองตามปรกติ เต๋ออี้ ไว้ใจทำงานแทนเขาได้ และคงจะช่วยหยงฟางได้ดีเทียบเท่ากับเขา
“ทำไมวันนี้ลงมาสายนักล่ะ หยาง”
หยงฟางเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจ แล้วเอ่ยทักทายหลานชายที่เดิมเข้ามาร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วย กันต์ระวีมีชื่อจีนว่า หยาง ซึ่งผู้เป็นอาตั้งให้ เขาเหมือนกับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ เด็กชายกันต์ระวีไม่รู้ภาษาจีนเลยสักคำ ส่วนหยงฟางนั้นความรู้ภาษาไทยก็มีพอพูดได้บ้าง
เขาและพี่ชายอย่างหยงชางเป็นพี่น้องที่รักกันมากแม้จะต่างมารดา มารดาของหยงชางเป็นคนไทย ส่วนมารดาของเขาเป็นคนจีน บิดาของเขา หลี่เพ่ย มีภรรยาสองคน คือ เหม่ยหง และ นารถยา หลี่เพ่ยทำธุรกิจนำเข้าส่งออกที่ต้องติดต่อไปมาระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนเสมอ ภรรยาของเขาทั้งคู่อยู่กันคนละประเทศ รับรู้ถึงการมีตัวตนของแต่ล่ะฝ่าย แต่ก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน และหลี่เพ่ยก็เป็นสามีที่บริหารเวลาได้ค่อนข้างดี ไม่ให้มีปัญหาน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งกันและกัน รวมถึงบุตรชายทั้งสอง ที่เขามักจะพาไปเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ จนทั้งคู่สนิทกัน รวมถึงเรียนด้วยกันในระดับปริญญาที่เขาส่งสองพี่น้องให้ไปเรียนที่อเมริกา
หยงชางเลือกที่จะอยู่เมืองไทย เพราะหลงรักกับการทำสวนส้ม ทั้งที่ร่ำเรียนมาทางด้านการบริหารธุรกิจ ซึ่งแม้ตอนแรกหลี่เพ่ยจะคัดค้านและถึงขั้นเกือบจะตัดขาดกับบุตรชายคนโต แต่แล้วเวลาก็ช่วยเยียวยาสองพ่อลูกนี้ได้ อีกทั้งหยงฟางก็เป็นหนุ่มนักธุรกิจที่เก่งกาจนัก จนหลี่เพ่ยฝากกิจการไว้ที่เขาได้ และหยงฟางยังคงต่อยอดความสำเร็จมาเป็นธุรกิจอีกตัวหนึ่งคือธุรกิจการประกอบรถยนต์ที่ฮ่องกง โดยมีหลานชายคนเก่งอย่างกันต์ระวีมาช่วยดูแลเต็มตัวตอนนี้
ชีวิตของกันต์ระวีที่นี่ตอนแรกแม้จะขลุกขลักนัก แต่ด้วยญาติพี่น้องที่แวดล้อมเป็นครอบครัวใหญ่อย่างตระกูล เซี่ย และมีคนที่รักเขามากมาย มันก็ทำให้เด็กชายกันต์ระวีผู้แสนจะหวาดกลัวทุกสิ่งจากเมืองไทย เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย จนกลายเป็นเก่งและแกร่ง กลายเป็นหลานชายที่ปู่ภูมิใจ เป็นหลานชายที่หยงฟางรักจนเหมือนลูกแท้ๆ พวกญาติๆ ส่วนมากสงสารลูกกำพร้าอย่างกันต์ระวี ไม่มีใครเหยียดเยาะหรือพูดจาทำร้ายเขาแม้แต่น้อย
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ อา”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆ เขาจิบกาแฟดำเพราะอยากให้คาเฟอีนทำให้ร่างกายกระเตื้องขึ้นบ้าง ฝันร้ายเมื่อคืนทำเอาเขานอนหลับไม่สนิท หยงฟางมองดูใบหน้าคมสันของหลานชาย ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วเอ่ยลอยๆ ขึ้นเสียงทุ้ม
“ไปทำอะไรมาหรือเปล่า? หยางจงมารับเราไปเหลวไหลแถวถนนนาธานอีกล่ะสิ”
กันต์ระวีถึงกับหัวเราะเมื่อผู้เป็นอาพูดแบบนั้น หยางจงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งค่อนข้างจะสนิทสนมกับกันต์ระวีมาก อีกฝ่ายเป็นหนุ่มเพลย์บอยและค่อนข้างหลักลอยยังไม่ได้ทำงานเป็นแก่นสารเท่าที่ควร จึงมักจะพากันต์ระวีไปเถลไถลตามประสาหนุ่มโสดอยู่บ้าง
“เปล่าครับ หยางจงไปที่มาเก๊า มาชวนผมอยู่เหมือนกันว่าอยากให้พักร้อนบ้าง แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว”
“ไปกับหยางจงมีแต่จะพากันไปเรื่อยไถล ระวังเถอะปู่เราจะจับไปอบรมยาว แต่พูดถึงพักร้อน หยางลาบ้างก็ดีนะ กรำงานมาหนักเหลือเกิน จนอาชักจะรู้สึกผิดที่ใช้งานหลานชายหนักจนเกินควร”
“หึๆ ผมก็กำลังจะขอลาเหมือนกันแหละครับอาฟาง คงจะไปนานพอสมควรเลย แต่เต๋ออี้เลขาของผมก็เชื่อใจได้เขาทำงานทุกอย่างได้ดีและรู้จักระบบการทำงานในแบบของผม เรียกได้ว่าเป็นหยางเบอร์สองก็คงไม่แปลกนัก อาคงจะไม่ต้องห่วงมากนัก ถ้าผมจะไปไหนสักพัก”
“หืม?”
หยงฟางมองดูใบหน้าคมสันของหลานชายพลางเลิกคิ้ว เขาวางหนังสือพิมพ์ในมือลงทันที กันต์ระวีไม่เคยลาพักร้อนไปที่ไหนมาก่อนเลยจนบางทีเขาอยากจะให้หลานชายได้พักบ้าง แต่นี่มาบอกว่าจะลายาว แถมฝากฝังงานไว้ที่เลขานุการมือดีเสร็จสรรพ หรือว่า...
“หยาง เราจะกลับเมืองไทยหรือไง”
หยงฟางที่พอจะรู้เรื่องของหลานชายบ้างถึงกับดักคอ เขารู้ว่ากันต์ระวีมีความฝังใจลึกล้ำเรื่องอะไร และหวังจะให้ชายหนุ่มลืมมันไปและมีชีวิตใหม่ที่นี่ ไม่ใช่เมืองไทย ที่ๆ มีความหลังอันเจ็บปวด
“ครับ”
ชายหนุ่มรับคำ พลางยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาคมกริบเปล่งแววตาวาวโรจน์ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาอยากทำเมื่อกลับถึงเมืองไทย ความหอมหวานของการแก้แค้นได้รอรับเขาอยู่ที่นั่น มันสั่งสมมาตลอดยี่สิบปี เสียงของหัวใจเรียกร้องให้เขาไปทวงทุกอย่างคืน!
“จะกลับไปทำไม ทุกๆ อย่างของเราอยู่ที่นี่”
ผู้เป็นอาเอ่ยขึ้นมาเสียงขรึมๆ เขามองใบหน้าคมสันนั่นแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ต้องกลับไปหรอก หยาง ที่ของหลานคือที่นี่”
“ที่เมืองไทยต่างหากล่ะครับ คือที่ของผม ที่นั่นมีรกรากของผม มีสวนส้ม บ้าน ทุกๆ อย่างของพ่อและแม่ อยู่ที่นั่น”
“แต่ตอนนี้มันเป็นของคนอื่น ยี่สิบปีมาแล้วนะหยาง อาว่า...”
“บ้านอยู่ที่ไหน หัวใจอยู่ที่นั่นครับ อาฟาง หัวใจของผมอยู่ที่บ้าน นั่นคือเมืองไทย และตอนนี้หัวใจของผมถูกคนชั่วขโมยไป ผมจึงต้องไปทวงคืนมันกลับมา”
หยงฟางถึงกับย่นคิ้ว เมื่อหลานรักยกเอาคำคมขึ้นมา เขากระแอมพลางเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“กุศลกรรมไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับการให้อภัย หลานเคยได้ยินคำนี้ไหม?”
“ผมเคยได้ยินแต่ล้างแค้นสิบปียังไม่สายครับอาฟาง”
กันต์ระวีเอ่ยกลั้วหัวเราะ เหมือนเขาเอ่ยล้อเล่น แต่นัยน์ตาคมกริบนั้นเอาจริงเอาจังนัก หยงฟางถอนใจ มองหน้าหลานชายแน่วแน่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วถ้าอาจะห้ามไม่ให้เราไปล่ะ หยาง”
“ผมก็คงจะยืนยันว่าผมจะไปให้ได้อยู่ดีล่ะครับ อาฟาง”
กันต์ระวียืนยันหนักแน่น นัยน์ตาคมกริบมองสบตากับผู้เป็นอาอย่างไม่ยอมหลบ หยงฟางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาหลานชายที่นั่งอยู่พลางตบบ่ากว้างเบาๆ
“อาก็คงจะห้ามอะไรเราไม่ได้หรอกนะ หยาง แต่จงจำไว้อย่าเพลินกับความแค้น แม้รสชาติของมันจะหอมหวาน แต่มันก็ซ่อนไว้ด้วยความขมขื่น ขมขื่นที่ใจของเรานั่นแหละหยาง มันมีสุขแล้วหรือกับสิ่งที่อยากจะกระทำ อาอยากจะให้ หยางลองถามตัวเองและลองทบทวนทุกอย่างดูอีกที ก่อนจะคิดหรือตัดสินใจทำอะไร”
“ผมคิดดีแล้วครับอาฟาง”
กันต์ระวียิ้มให้กับผู้เป็นอา หัวใจของเขามันอยู่ที่เมืองไทย ความสุขของเขาอยู่ที่การได้ทุกอย่างคืนมาและเห็นผู้ชายเลวๆ อย่าง ณัฐ ดิลกธรรมชัย พินาศย่อยยับไม่ต่างจากครอบครัวของเขาในอดีต