บทที่ 4 (2)
คาซิมม์เอ่ยบอก พร้อมกับวิ่งย้อนกลับเข้าไปในห้องวาดภาพชั่วคราวของเจ้าชายหนุ่มอีกครั้ง พอคว้าภาพวาดดงดอกกุหลาบมาได้ก็รีบวิ่งมาที่รถเบ็นซ์คันใหญ่ ซึ่งองครักษ์อีกนายที่ทำหน้าที่เป็นสารถีได้ติดเครื่องยนต์รอเรียบร้อยแล้ว
“วอบอกให้ตำรวจทางหลวงเคลียร์ถนนด้วย”
เจ้าชายชารีฟร์สั่งเสียงเข้ม ซึ่งปกติเขาจะไม่เคยทำอะไรที่อึกทึกเช่นนี้ โดยส่วนมากเวลาเดินทางไปไหนมาไหนเขาจะไปเงียบๆ เพื่อไม่ให้ราษฎรต้องเดือดร้อนเรื่องการปิดถนน แต่คราวนี้เห็นทีจำเป็นต้องกันราษฎรผู้ใช้รถใช้ถนน ออกจากเส้นทางที่จะเดินทางผ่านราวๆ สิบนาที เพื่อให้การเดินทางไปยังตำหนักของตนเองเป็นไปอย่างรวดเร็ว
“พระองค์พ่ะย่ะค่ะ จะแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้าชายฮารีฟร์ทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” คาซิมม์จับพนักรถยนต์ขณะเอี้ยวตัวหันมาถามความคิดเห็นของเจ้าเหนือหัว
“ไม่ต้องคาซิมม์ เราไม่อยากให้ท่านพี่ฮารีฟร์ทรงเป็นกังวลเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ต้องแจ้งให้ครอบครัวของน้ำค้างทราบด้วย ให้เธอไปนอนพักที่ตำหนักเราก่อนแล้วกัน ฟื้นเมื่อไรค่อยพากลับไปที่ตำหนักรับรอง”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยบอกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมององครักษ์เอก เขากำลังเป็นห่วงอาการไม่สบายของหญิงสาว หากเป็นลมทำไมเธอถึงได้ส่ายหัวไปมาแถมเหงื่อยังแตกพลั่กเรียงเม็ดเต็มหน้าผากและไรผม
“ใกล้ถึงตำหนักเราหรือยัง”
เจ้าชายหนุ่มถามอย่างร้อนรนเงยหน้าขึ้นมองท้องถนนครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงยกมือเช็ดเม็ดเหงื่อให้นาราพรรณด้วยกริยาอ่อนโยนระคนห่วงใย
การทำงานของตำรวจทางหลวงที่ทรงประสิทธิภาพ กันรถทุกชนิดออกจากท้องถนนเพื่อให้รถเบ็นซ์คันงามได้แล่นผ่านเพียงแค่ไม่กี่สิบนาทีองครักษ์ที่ทำหน้าที่เป็นสารถีก็พารถมาถึงตำหนักของเจ้าชายชารีฟร์
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คาซิมม์เอ่ยบอกพร้อมกับเปิดประตูรถให้เจ้าเหนือหัวได้อุ้มหญิงสาวที่เป็นลมหน้าซีดออกมาจากรถ และด้วยเป็นห่วงเกรงว่าเจ้าชายจะอุ้มนาราพรรณออกมาได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร คาซิมม์จึงเอื้อมมือไปทำท่าจะช่วยรับร่างบางมาไว้ในอ้อมแขนแต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกตวาดเสียงห้วนจัด
“ไม่ต้อง! เราอุ้มน้ำค้างเองได้ เจ้าไปเปิดห้องนอนของเรา แล้วดูด้วยว่าหมอหลวงมาถึงหรือยัง”
เจ้าชายชารีฟร์กระชับร่างบอบบางในอ้อมแขนไว้แน่น หวงแหนไม่ต้องการให้ใครมาแตะต้องนาราพรรณนอกจากตัวเขาเพียงผู้เดียว
คาซิมม์ไม่รอให้ถูกตวาดเป็นครั้งที่สอง องครักษ์หนุ่มรีบเดินเป็นวิ่งเข้าไปในตำหนัก แล้วก็ได้เห็นหมอหลวงนั่งรออยู่มีกระเป๋าขนาดใหญ่ใส่เครื่องมือแพทย์วางอยู่ใกล้ๆ กัน
“เจ้าชายชารีฟร์อยู่ไหนคาซิมม์”
หมอหลวงลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้ากระเป๋ามาสะพายตรงบ่า เตรียมพร้อมกับสำหรับการเข้าไปรักษาเจ้าชายองค์เล็กแห่งอัลนูรีน ที่ตนเองเข้าใจว่าเป็นผู้ที่ต้องการได้รับการรักษา
“เราอยู่นี่”
เจ้าชายชารีฟร์ตะโกนตอบ ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินนำหน้าทุกคนเข้าไปในห้องนอนใหญ่ จากนั้นก็วางร่างบอบบางของนาราพรรณไว้บนเตียงใหญ่ด้วยกริยาอ่อนโยน
“ท่านตรวจอาการของน้ำค้างให้ละเอียด เราอยากรู้ว่าเธอแค่เป็นลมธรรมดา ไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อนด้วย”
เจ้าชายหนุ่มสั่งเสียงเข้ม พลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแนบชิดกับร่างเล็กที่นอนหายใจสม่ำเสมอ แต่กลับส่ายหน้าไปมาราวกับกำลังต่อสู้อะไรบ้างอย่างอยู่
“พ่ะย่ะค่ะพระองค์ กระหม่อมจะตรวจให้ละเอียด แต่...”
หมอหลวงหยุดพูดนิดหนึ่ง แล้วเหลือบสายตามองมือของเจ้าชายองค์เล็กที่กอบกุมมือซีดของคนป่วยไว้ก่อนจะเอ่ยขอร้องเบาๆ
“เอ่อ...พระองค์จะขยับไปรอที่ห้องอื่นก่อนไหมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้ตรวจคนไข้ได้สะดวกขึ้น”
“เจ้าก็ตรวจไปสิ เราไม่ได้เกะกะขวางการทำงานของเจ้าสักหน่อย”
แทนที่จะขยับถอยห่างตามคำขอของหมอหลวง เจ้าชายชารีฟร์ยิ่งกระเถิบกายเข้าไปใกล้แล้วยกศีรษะกลมทุยปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสลวยให้มานอนเกยบนหน้าตักของตัวเองหน้าตาเฉย
คาซิมม์ยิ้มเจื่อนๆ ให้หมอหลวง เมื่ออีกฝ่ายหันมามองราวกับจะบอกว่างุนงงกับการกระทำของเจ้าชายชารีฟร์เป็นอย่างมาก
เมื่อเจ้าชายหนุ่มไม่ยอมขยับกายออกห่าง หมอหลวงจึงจำเป็นต้องเข้าไปตรวจอาการคนไข้ทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่บนตักของเจ้าชายชารีฟร์
“อาการน้ำค้างเป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยถามทันทีที่หมอหลวงเก็บเครื่องมือแพทย์ใส่กล่องไว้ตามเดิม ในขณะที่เอ่ยถามมือใหญ่อบอุ่นก็คอยเช็ดเม็ดเหงื่อที่ยังคงแตกพลั่กตามไรผมให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกพ่ะย่ะค่ะ คุณน้ำค้างคงพักผ่อนไม่เพียงพอเลยทำให้อ่อนเพลียเป็นลมได้ง่าย เดี๋ยวกระหม่อมจะจ่ายยาบำรุงไว้ให้คุณน้ำค้างทานด้วย”
หมอหลวงเอ่ยบอกอาการตามที่ตรวจพบซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแค่พักผ่อนให้เพียงพอก็หายแล้ว
“ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วทำไมน้ำค้างถึงเหงื่อออกตลอดเวลา”
เจ้าชายชารีฟร์ถามเสียงเข้ม ด้วยยังไม่วางใจในสิ่งที่ตนเองสังเกตเห็น เพราะนอกจากเหงื่อจะออกทั่วหน้าผากมนแล้ว หญิงสาวยังส่ายหน้าไปมาบางครั้งก็นิ้วหน้าทำปากขมุบขมิบราวกับคุยกับใครสักคนอยู่
“เอ่อ...กระหม่อมคิดว่าคุณน้ำค้างคงยังไม่ชินกับอากาศที่อัลนูรีน แม้จะเปิดแอร์แล้วแต่อากาศข้างนอกก็ยังคงร้อนอยู่”
เจ้าชายชารีฟร์ยกมือห้าม ก่อนจะโบกมือไล่ “เอาเถอะเจ้ากลับไปได้แล้ว ขอบใจมากเดี๋ยว น้ำค้างฟื้นแล้วเราจะพาไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอตัวกลับก่อนพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงถวายความเคารพ ก่อนจะขอตัวลากลับโดยมีองครักษ์คาซิมม์เดินออกไปส่ง
เจ้าชายชารีฟร์ละสายตาจากนาราพรรณมองตามคนทั้งสอง พอนึกอะไรขึ้นมาได้ก็เอ่ยสั่งองครักษ์คาซิมม์ที่กำลังจะเดินพ้นไปจากห้องนอน
“อ้อ! เดี๋ยวก่อนคาซิมม์ เจ้าเปลี่ยนน้ำหอมปรับอากาศในรถด้วย กลิ่นหอมเอียนๆ กลิ่นนี้เราไม่ชอบ ได้กลิ่นแล้วทำให้เวียนหัวพิลึก”
“พ่ะย่ะค่ะพระองค์”
คาซิมม์โค้งตัวรับคำสั่ง พลางขมวดคิ้วเข้าหากันให้ยุ่งไปหมด ด้วยตัวเขาหรือองครักษ์คนอื่นไม่เคยเปลี่ยนน้ำหอมปรับอากาศในรถสักที กลิ่นที่ใช้ก็เป็นกลิ่นเดิมที่เคยใช้เป็นประจำ แต่จะว่าไปเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเจ้าเหนือหัวว่า กลิ่นน้ำหอมในรถนั้นแปลกไปจากเดิม ออกจะหอมเอียนๆ ชวนเวียนหัวเหมือนที่เจ้าชายได้เอ่ยบอก
เข็มนาฬิกาเดินทางล่วงเลยไปเกือบสามชั่วโมงเต็ม ที่นาราพรรณนอนอยู่บนตักของเจ้าชายชารีฟร์ โดยที่เจ้าชายหนุ่มได้คอยเช็ดเม็ดเหงื่อตามไรผมและหน้าผากมนให้ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังได้เช็ดตามต้นแขนทั้งสองให้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“น้ำค้าง ได้ยินเสียงเราหรือเปล่า” เจ้าชายหนุ่มกระซิบเรียกแผ่วเบา แนบชิดกับพวงแก้มที่ยังคงซีด
“น้ำค้าง...”
คราวนี้เจ้าชายหนุ่มกระซิบชิดกับเรียวปากอิ่มสีหวาน พอนาราพรรณค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองอย่างงงๆ พร้อมกับอ้าปากเตรียมไล่เขาให้ถอยห่างก็ถือโอกาสกดจุมพิตหนักหน่วงสอดปลายลิ้นนุ่มเข้าไปควานหาความหรรษาชื่นฉ่ำกาย
“ปล่อยน่ะเจ้าชายชารีฟร์”
นาราพรรณตวาดแว้ด แต่เสียงที่หลุดออกมากลับอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ ด้วยเรียวปากอิ่มยังคงถูกจองจำด้วยริมฝีปากร้อนผะผ่าวของเจ้าชายชารีฟร์
เมื่อประท้วงด้วยน้ำเสียงไม่ได้ผล นาราพรรณจึงทุบหนักๆ บนอกกว้างไปหลายที จนเจ้าชายชารีฟร์ต้องยอมผละริมฝีปากออกในที่สุด
“ชอบโหดๆ ก็ไม่บอกน่ะน้ำค้าง”
เจ้าชายชารีฟร์สัพยอกกลั้วหัวเราะ ดีใจที่พวงแก้มขาวซีดก่อนหน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นด้วยพิษจุมพิตหวานฉ่ำเมื่อสักครู่
“บ้า! ชอบบทโหดอะไรกันเล่า ปล่อยได้แล้วน้ำค้างจะกลับ แล้วนี่ใครเป็นคนพาน้ำค้างมาที่ห้องนอนของเจ้าชาย”
นาราพรรณกวาดสายตามองห้องที่ตบแต่งด้วยเครื่องประดับแค่ไม่กี่ชิ้น แต่ทว่าดูหราหรูรับกันได้ดีกับภาพวาดของเหล่าจิตรกรชื่อก้องโลกที่ตกแต่งอยู่เต็มฝาห้อง
“จำได้หรือเปล่าว่าเจ้าเป็นลมอยู่ที่ห้องวาดภาพ ตอนที่เจ้ากำลังตกลงเป็นนางแบบเปลือยให้เรา”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์แกมมัดมือชกไปในตัว ดวงตาคมกริบหรี่ตามองสาวน้อยน่ารักที่หวานฉ่ำไปทั้งตัวซึ่งตอนนี้เรียวปากอิ่มบวมจ่อขึ้นเล็กน้อย ผมยาวรุ่ยร่ายล้อมรอบใบหน้างามลอออันเกิดจากฝีมือเขาที่สอดเข้าไปกดเคล้าคลึงก่อนหน้านี้ ยิ่งได้ทอดสายตามองนาราพรรณยิ่งทำให้อารมณ์รักเดือดพล่านจนร่ำๆ อยากจะจับปล้ำให้รู้แล้วรู้รอดไป
นาราพรรณกระโดดผลุงลงจากเตียง เมื่อปะทะกับสายตาที่เผยให้เห็นความปรารถนาอันเร่าร้อนจากดวงตาคมกริบไม่จ้องมองอย่างไม่วางตา
“น้ำค้างจำได้แม่นยำว่ายังไม่ได้ตอบตกลงเรื่องนี้”
“เอาเถอะยังไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้ารู้สึกปวดหัวอีกหรือเปล่า”
เจ้าชายชารีฟร์ยังคงนั่งอยู่บนเตียงใหญ่ ไม่อยากลงไปต้อนกวางสาวเนื้อหวาน ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมไปอีกรอบ
นาราพรรณเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่มีอาการปวดหัวหลงเหลืออยู่ เหมือนตอนที่อยู่ในห้องวาดภาพแคบๆ กับเจ้าชายชารีฟร์ แถมในห้องนี้ก็สะอาดสดชื่นไม่มีกลิ่นน้ำหอมที่ชวนให้ปวดหัวกลิ่นนั้นอีก
“ไม่ปวดแล้วค่ะ แปลกจริงทำไมก่อนหน้านี้ น้ำค้างถึงรู้สึกเวียนหัวอยู่ตลอดเวลาเลย”
“ไปหาหมอตรวจอาการให้ละเอียดดีไหม เจ้าเป็นลมหน้าซีดราวกับกระดาษ แต่เหงื่อกลับออกเต็มหน้าผาก”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ไม่เข้าเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้เป็นกังวลกับอาการเจ็บป่วยแปลกๆ ของหญิงสาวยิ่งนัก
“ไม่เอาหรอกค่ะ ไปหาหมอก็ถูกจับฉีดยากินยาอีกสารพัดชนิด น้ำค้างจะกลับที่ตำหนักรับรอง ป่านนี้คุณพ่อกับป้าจันเป็นห่วงแย่แล้ว”
เอ่ยบอกเสร็จนาราพรรณก็เดินออกจากห้องนอนใหญ่ โดยไม่รอให้เจ้าของห้องอนุญาต แต่พอเดินพ้นจากห้องนอนใหญ่ก็มีอันต้องหยุดนิ่ง ด้วยมึนงงไม่รู้ว่าทางออกอยู่ไหน ตำหนักของเจ้าชายองค์เล็กแห่งอัลนูรีนแม้จะไม่ใหญ่โตเท่าตำหนักของเชษฐาทั้งสอง แต่คนที่ไม่เคยเห็นและเพิ่งมาเหยียบย่างเป็นครั้งแรกอย่างนาราพรรณก็มึนงงหาทางออกไม่เจอได้เหมือนกัน
“ทางนี้น้ำค้าง เจ้าจะกลับตำหนักรับรองใช่ไหม”
เจ้าชายชารีฟร์แตะบางเบาตรงข้อศอกของสาวน้อยที่ยืนงงอยู่ตรงทางแยก ก่อนจะพาเดินออกไปยังทางลัดที่ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงตำหนักรับรองแล้ว
“ค่ะ เจ้าชายฮารีฟร์ให้น้ำค้างพักที่ตำหนักรับรองซึ่งอยู่ติดกับสวนดอกไม้”
นาราพรรณบิดต้นแขนนิดหนึ่ง เพื่อให้หลุดพ้นจากมือใหญ่ร้อนผ่าวที่เปลี่ยนจากจับตรงต้นแขนมาเป็นกุมมือเล็กของเธอไว้แทน
“อืม...ถ้างั้นตำหนักของเจ้าก็อยู่ติดกับตำหนักของเรา”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยบอกพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ประดับไปทั่วดวงหน้า นึกขอบพระทัยเชษฐาฮารีฟร์ที่เข้าใจให้นาราพรรณพักตำหนักรับรองที่อยู่ติดกับตำหนักของเขา
ในขณะที่เจ้าชายชารีฟร์ยิ้มกริ่มด้วยความถูกใจ แต่นาราพรรณกลับตีหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจสักเท่าไหร่ เมื่อตำหนักรับรองของเธอกับตำหนักของเจ้าชายชารีฟร์อยู่ใกล้ๆ กันมีแค่เพียงสวนพฤกษานานาพรรณกั้นกลางเท่านั้นเอง
“ส่งแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ น้ำค้างกลับตำหนักเองได้”
นาราพรรณบอกเสียงห้วนเมื่อเดินมาถึงทางเข้าตำหนักรับรองแล้ว แต่คนตัวใหญ่ทำท่าว่าจะเข้าไปส่งเธอถึงข้างใน
“ตามใจเจ้า เราส่งแค่ตรงนี้ก็ได้ เสร็จจากพิธีอภิเษกของท่านพี่ฮารีฟร์เมื่อไร เจ้าต้องมาเป็นแบบเปลือยให้เราทันที”
เจ้าชายชารีฟร์ฉวยโอกาสตอนที่นาราพรรณเผลอ รีบกดจุมพิตหนักๆ ลงไปบนเรียวปากอิ่มอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสได้ปัดป้อง
“คนฉวยโอกาส!”
นาราพรรณกระทืบเท้าเอ่ยเจริญพรไล่หลังเจ้าชายชารีฟร์ด้วยความโมโห ก่อนจะเดินกระแทกเท้าเข้าไปในตำหนักรับรองด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะนอกจากจะไม่ได้ชมภาพวาดให้จุใจอย่างที่นึกคิดไว้แล้ว เธอยังต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวทุกครั้งที่อยู่ใกล้เจ้าชายชารีฟร์ด้วย