บทที่ 4 (1)
“นางแบบเปลือย!”
นาราพรรณตีหน้าเหยเกราวกับจะร้องไห้ ไม่รู้ว่าตัวเองถูกพามานั่งที่ห้องวาดภาพชั่วคราวของเจ้าชายชารีฟร์ตั้งแต่เมื่อไร ส่วนคนที่เป็นเจ้าของห้องก็นั่งยิ้มกริ่มจ้องมองเธอไม่วางตา
“ว่าไงน้ำค้าง จะเริ่มงานวันนี้ เดี๋ยวนี้เลยไหม”
เจ้าชายหนุ่มแกล้งถามสาวน้อยแสนหวานที่นั่งอยู่ตรงหน้า ความคิดที่จะวาดภาพเปลือยไม่เคยมีอยู่ในหัวสมอง
จนกระทั่งได้มาพบเจอะเจอกับนาราพรรณ
“อย่ามาบ้าน่ะ น้ำค้างไม่เป็นแบบให้ใครทั้งนั้น”
นาราพรรณลุกพรวด ทำท่าจะกระโจนออกจากห้องแกลอรี่ แต่เธอก็ช้ากว่าเจ้าชายชารีฟร์ที่พุ่งพรวดแค่เพียงก้าวเดียวก็คว้าร่างบอบบางมาสวมกอดไว้แนบแน่น
“ตกลงกันแล้วน่ะน้ำค้าง ว่าเจ้าต้องเป็นแบบเปลือยให้เรา”
เจ้าชายชารีฟร์กระซิบข้างใบหูเล็ก พร้อมกับเรียกความชุ่มชื่นให้กับตนเอง ด้วยการแอบสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกายสาวเข้าปอดลึกๆ
นาราพรรณขึงตาเขียวปั้ดใส่คนตัวใหญ่ มือเล็กก็ทุบไม่เลือกตรงอกกว้างแข็งแกร่งให้อีกฝ่ายปล่อยแขนจากเรือนร่างของเธอ
“ใครเขาตกลงเออออกับเจ้าชาย ถ้าอยากได้นางแบบเปลือย เดี๋ยวจะติดต่อคนถ่ายภาพนู้ดให้ จะเอาหุ่นแบบไหนก็บอกมา”
หญิงสาวร้องประท้วง ขืนให้เป็นนางแบบเปลือยคงได้อายตัวแดงเป็นกุ้งแน่ หากต้องมาแก้ผ้าต่อหน้าคนที่ทำให้ใจเธอเต้นไม่เป็นส่ำแบบนี้
“นางแบบพวกนั้นเราไม่อยากได้”
เจ้าชายชารีฟร์ปฏิเสธ ดวงตาคมกริบเผยแววปรารถนาให้เห็น เมื่อกวาดสายตามองคนในอ้อมแขน ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า สายตาของจิตรกรรู้ดีว่าหญิงงามอย่างนาราพรรณ แม้จะตัวเล็กบอบบาง แต่ทว่าซ่อนรูปและเป็นหุ่นวาดที่สวยเซ็กซีที่สุด
“เราต้องการเจ้าเพียงคนเดียว หากเจ้ายังไม่พร้อมในวันนี้ เอาไว้เสร็จพิธีอภิเษกของท่านที่ฮารีฟร์แล้วค่อยนัดวันวาดภาพอีกครั้ง”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยติดกำกวม ลอบยิ้มอย่างถูกใจ เมื่อใบหน้างามนวลลออแดงซ่านทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘ต้องการเจ้าเพียงคนเดียว’ ที่เขาจงใจเน้นคำเป็นพิเศษ
“ไม่นงไม่นัดกับใครทั้งนั้นแหละ น้ำค้างมาสมัครเป็นผู้ช่วย คอยดูแลภาพวาด ไม่ได้มาสมัครเป็นนางแบบเปลือย”
นาราพรรณปฏิเสธเสียงแข็ง เพื่อกลบเกลื่อนความอายอาการร้อนผ่าวทั่วเรือนร่างของตนเอง ขณะได้ยินคำพูดที่ชวนให้คิดไปไกลของเจ้าชายหนุ่ม
“ยังไงเจ้าก็ไม่สิทธิ์ปฎิเสธเราหรอกน้ำค้าง เราวางตัวเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว”
เจ้าชายชารีฟร์มัดมือชกคนที่ตีหน้าเง้าไม่พอใจอย่างมาก พอได้ยินเสียงเคาะประตูห้องเบาก็ปล่อยร่างบางหอมละมุนให้เป็นอิสระแค่เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
“เข้ามาสิคาซิมม์” เจ้าชายหนุ่มเอ่ยอนุญาต ด้วยรู้ว่ามีเพียงองครักษ์คาซิมม์เท่านั้นที่จะกล้ามารบกวนเขาในขณะนี้
“พระองค์พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นภาพวาดภาพนี้ตกอยู่ที่ห้องแสดงภาพ กระหม่อมคิดว่าคงเป็นภาพวาดที่คุณผู้หญิงนำมาด้วย”
คาซิมม์ยื่นภาพวาดให้กับหญิงงามที่เขาคิดว่าเป็นเจ้าของ ก่อนจะถอยออกห่างไปยืนอยู่มุมห้อง ทำทีว่าตั้งใจทำงานของตนเอง แต่จริงๆ แล้วคอยแอบชำเลือง เงี่ยหูฟังการปะทะคารมของเจ้าเหนือหัว
“เจ้าวาดภาพสีน้ำเป็นด้วยหรือน้ำค้าง”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยถาม แทนที่จะดึงภาพวาดมาชื่นชม เขากลับเดินไปชะโงกหน้า ก้มลงมองภาพวาดใกล้ๆ จนจมูกโด่งเป็นสันโฉบเฉี่ยวสัมผัสบางเบาโดนพวงแก้มแดงระเรื่อตามธรรมชาติ
“อยากดูนักก็เอาไปสิ!”
นาราพรรณยื่นภาพวาดไปข้างหน้าอย่างกระแทกกระทั้น ไม่สนใจว่าจะโดนจมูกโด่งๆ หรือลำตัวของคนฉวยโอกาสหรือเปล่า
“ไม่ค่อยจะนุ่มนวลเลยน่ะน้ำค้าง”
เจ้าชายชารีฟร์หัวเราะเบาๆ ขณะเอ่ยแซว ไม่ถือโทษโกรธคนที่ยื่นภาพให้โดยแรงจนเกือบจะเป็นการโยนให้
พอได้ยลภาพวาดดงดอกกุหลาบ จิตรกรเอกอย่างเจ้าชายชารีฟร์ถึงกับหน้าถอดสีเล็กน้อย รู้สึกมีอะไรมาสะกิดใจจนต้องรีบยื่นภาพคืนให้กับเจ้าของ
“ภาพดอกกุหลาบแดงเป็นฝีมือเจ้าหรอกหรือ”
“เอ่อ...คือ...”
‘ลุงเกรงว่าเจ้าชายจะไม่รับภาพนี้ หากรู้ว่าเป็นฝีมือของลุง’
นาราพรรณอ้ำอึงไม่กล้าตอบ แต่เมื่อคำขอร้องและสีหน้าเศร้าๆ อมทุกข์ของชายชราที่พบกันก่อนหน้านี้ ได้สะท้อนก้องเข้ามาในโสตประสาท หญิงสาวจึงจำใจต้องโป้ปดมดเท็จรับสมอ้างว่าเป็นฝีมือตนเอง
“น้ำค้างวาดเองค่ะ น้ำค้างเพิ่งหัดวาดใหม่ๆ ฝีมืออาจจะไม่เก่งเท่าจิตรกรเอกอย่างเจ้าชายชารีฟร์”
“เพิ่งหัดวาด...”
เจ้าชายชารีฟร์พึมพำราวกับละเมอ หรี่ตามองภาพวาดสลับกับใบหน้าหวานน่ารัก ด้วยไม่อยากเชื่อสักเท่าไหร่ว่าภาพวาดอันงดงามไม่มีที่ติภาพนี้ จะเป็นฝีมือของนักวาดมือสมัครเล่นอย่างที่เจ้าตัวเอ่ยบอก
“น้ำค้างเพิ่งหัดวาดได้สักสี่ห้าเดือน อาจจะลงรายละเอียดสีไม่สวยงามเท่าที่ควร”
อีกครั้งที่นาราพรรณจำต้องโกหกคำโต พอถูกสายตาคมกริบจ้องมองเขม็งราวกับจะจับผิด หญิงสาวก็แสร้งทำเป็นหันไปมองบรรยากาศภายในห้องทำงานของจิตรกรเอก
เจ้าชายชารีฟร์ก้มหน้าลงไปใกล้หญิงสาว แล้วย้ำถามเสียงเข้มจนคนที่รับภาพมาถือไว้บนตัก ใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ กลัวถูกจับผิดได้
“แน่ใจน่ะว่าเจ้าเป็นคนวาดเอง”
นาราพรรณหลับตาลงนิดหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าจมูกของเธอได้รับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอีกหน จนต้องสะบัดศีรษะหลายๆ ครั้ง เพื่อไล่อาการมึนงง ก่อนจะลืมตาขึ้นเอ่ยตวาดคนที่จ้องมองเธอเขม็ง
“เจ้าชายจะมาคาดคั้นให้ได้อะไร ก็บอกแล้วไงว่าน้ำค้างเป็นคนวาดภาพนี้ และที่นำมาด้วยเพราะอยากเอามาให้เจ้าชาย”
เจ้าชายชารีฟร์จ้องมองสาวน้อยที่เริ่มหน้าซีดลงทีละนิดด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างต้องการกระเซ้าเย้าแหย่
“เจ้าจะเอามาให้เราเพื่อหวังสิ่งใดตอบแทน เงินทองหรือว่ารสสวาท”
“อีตาโรคจิต!”
นาราพรรณเจริญพรให้อย่างโมโห อยากจะยกมือตบใบหน้าหล่อๆ อีกสักครั้ง ให้สาสมกับน้ำใจและของรางวัลที่อีกฝ่ายได้เสนอมา
“ที่นำมาให้เพราะว่าอยากให้ ไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น”
ทั้งๆ ที่อายร้อนผ่าวไปทั้งตัวกับสายตาคมกริบที่จ้องมองกรุ่มกริ่ม เผยให้เห็นคลื่นแห่งเปลวสวาทอย่างชัดเจน
แต่หญิงสาวก็ยังทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างท้าทาย
“อืม...แต่เราอยากให้เจ้านี่”
เจ้าชายชารีฟร์สวนกลับทันควัน ดวงตาคมกริบจ้องนิ่งที่เรียวปากอิ่มหวานฉ่ำ ใบหน้าคมเข้มลดลงต่ำแล้วกดจุมพิตหนักๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระซิบตอบอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแหบกระเส่า
“โดยเฉพาะรสสวาท ที่เราอยากมอบให้เจ้าเป็นที่สุด”
“เจ้าชายชารีฟร์!”
นาราพรรณเค้นเสียงเรียกเจ้าชายจอมหื่นด้วยความโมโห พร้อมกันนั้นก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันเงื้อมมือไปตบใบหน้าหล่อๆ อย่างที่ใจนึกก็รู้สึกตัวเบาหวิว กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยเข้าจมูกชวนให้เวียนหัวอยู่ตลอดเวลากอปรกับการลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอหน้ามืดแขนขาไร้เรี่ยวแรง จนยืนโงนเงนราวกับต้นไม้เล็กถูกซัดกระหน่ำด้วยพายุฝนทำท่าจะล้มในนาทีใดนาทีหนึ่ง
“น้ำค้าง! เจ้าเป็นอะไร”
เจ้าชายชารีฟร์ร้องถามอย่างเป็นห่วง แต่ไม่ทันได้รับคำตอบ หัวใจแข็งแกร่งก็หล่นไปกองอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อร่างบอบบางได้ล้มลงตัวหน้าต่อตา
“น้ำค้าง!”
เจ้าชายหนุ่มตะโกนลั่นคว้าร่างเล็กไว้ได้ทัน ก่อนจะล้มลงไปกระแทกกับพื้นแข็งๆ เขาอุ้มร่างบางซึ่งใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษไปวางไว้บนโซฟา ก่อนจะตะโกนสั่งองครักษ์เอกที่รีบวิ่งมาช่วยอีกแรง
“คาซิมม์! โทรตามหมอหลวงเร็ว”
“พ่ะย่ะค่ะพระองค์”
คาซิมม์คว้าหาโทรศัพท์มือถือ แล้วกดโทรหาหมอหลวงอย่างรวดเร็ว พออีกฝ่ายรับสายก็รีบสั่งให้เดินทางมาที่หอศิลป์เป็นการด่วน
“พระองค์ กระหม่อมว่าเราย้ายคุณน้ำค้างไปที่ห้องอื่นดีกว่าเปล่าพ่ะย่ะค่ะ ห้องนี้ค่อนข้างเหม็นสี อาจจะเป็นสาเหตุให้คุณน้ำค้างเป็นลมได้”
คาซิมม์เข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น แม้สีน้ำที่ใช้สำหรับวาดภาพจะมีกลิ่นค่อนข้างบางเบา แต่เมื่อถูกนำมารวมกันเป็นจำนวนมาก แถมอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเปิดแอร์เย็นฉ่ำไม่มีที่ระบายอากาศ คนที่ไม่คุ้นเคยอย่างนาราพรรณอาจจะเหม็นสีจนทำให้วิงเวียนเป็นลมได้
เจ้าชายชารีฟร์พยักหน้ารับเห็นด้วย มือใหญ่แข็งแกร่งสอดเข้าไปใต้ร่างเล็ก แล้วยกขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็หันไปสั่งองครักษ์เอก
“เอารถออก เราจะพาน้ำค้างไปที่ตำหนักของเรา”
“พ่ะย่ะค่ะพระองค์” คาซิมม์รับคำ แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูห้อง อำนวยความสะดวกให้เจ้าเหนือได้อุ้มร่างบอบบาง
ออกจากห้อง
“พระองค์ ไปทางด้านหลังเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์หนุ่มเอ่ยบอกเบาๆ เมื่อเจ้าชายชารีฟร์ทำท่าจะอุ้มนาราพรรณออกทางด้านหน้าหอศิลป์ ที่ยังเต็มไปด้วย
นักท่องเที่ยวผู้มาชมภาพวาด
“ไปเอารูปวาดของน้ำค้างมาด้วย”
เจ้าชายชารีฟร์ก้าวยาวๆ ออกจากห้องตรงไปทางประตูหลัง โดยไม่ลืมสั่งให้นำภาพวาดที่เขารู้สึกสะกิดใจทุกคราที่จ้องมองมาด้วย
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะโทรบอกให้หมอหลวง รอคนไข้อยู่ที่ตำหนักของพระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”