บทที่ 3 (2)
เจ้าชายชารีฟร์ขำไม่ออก ไม่เคยเจอใครที่ดื้อรั้นเท่าสาวน้อยตรงหน้ามาก่อน จากที่ตั้งใจจะไม่รังแกคนที่มีศักดิ์เป็นน้องสาว เจ้าชายหนุ่มก็เกิดอาการเปลี่ยนใจจับปลายนิ้วเรียวเล็ก ที่จิ้มมาบนอกตนเองไว้มั่น แล้วโอบแขนอีกข้างไปตรงเอวบางคอดกิ่วออกแรงดึงร่างเล็กให้ตกมาอยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง
“ถ้าไม่อยากตอบคำถามก็มาจูบกันแทนแล้วกัน”
คำขู่ของเจ้าชายองค์เล็กแห่งอัลนูรีน กอปรกับการลดใบหน้าลงต่ำ จนรับรู้ได้ถึงลำหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน
ดูท่าจะได้ผล เพราะนาราพรรณรีบกระซิบตอบอย่างรวดเร็ว
“ตอบแล้ว! ฉันอาจจะรู้เรื่องงานศิลปะได้ไม่ดีเท่าเจ้าชายของคุณ แต่การที่คนเรามีใจรักหลงใหลในสิ่งที่จิตรกรสื่อผ่านผ้าขาวบางๆ จนก่อเกิดเป็นภาพวาดอันงดงาม คงเป็นแรงผลักดันที่จะให้ฉันทำงานได้ดี จนเจ้าชายของคุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว”
เจ้าชายชารีฟร์ลอบอมยิ้ม คนที่ชมตัวเองหน้าตาเฉย แต่เขาก็ยอมรับว่าสาวน้อยแสนหวานของเขา พูดในสิ่งที่ค่อนข้างเป็นจริงอยู่มาก
“อืม...ถ้างั้นเรามาพิสูจน์กันว่า เจ้าจะเก่งสมราคาคุยหรือเปล่า”
ไม่พูดเปล่า เจ้าชายชารีฟร์ลากคนตัวเล็กไปยังภาพของหนุ่มสาวคู่รัก ที่นั่งบนหลังอูฐชมพระอาทิตย์ชิงพลบลาลับขอบฟ้า จากนั้นก็ได้เอ่ยถามคนที่กำลังตีหน้าเง้าไม่พอใจที่ถูกลากมาโดยไม่ปราณีปราศรัย
“ตะกี้เจ้าบอกเราว่าชื่อน้ำค้างใช่ไหม ไหนลองวิจารณ์ภาพนี้ให้เราฟังหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
นาราพรรณเงยหน้าขึ้นมองคนถามนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองภาพพระอาทิตย์อัสดง ถูกคลื่นละอองเม็ดทรายกลืนกินที่เธอชอบมาก
“ก็ได้ เดี๋ยวจะวิจารณ์ให้ฟัง แต่ขอบอกไว้ก่อนน่ะ ถ้าหากฉันพูดไม่ดีเข้าถึงหูเจ้าชายชารีฟร์ คุณต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด”
“ต่อรองเก่งจริงๆ” เจ้าชายชารีฟร์งึมงำต่อว่า ก่อนจะเอ่ยปากรับคำ “เรารับรองว่าคำวิจารณ์ของเจ้า จะไม่ทำให้เจ้าชายชารีฟร์ทรงโกรธแน่นอน แต่เจ้าต้องแทนชื่อตัวเองว่าน้ำค้าง แทนคำว่าฉัน เพราะฟังแล้วเราไม่ชอบสักเท่าไหร่”
“ว่าแต่คนอื่นต่อรองเก่ง ตัวเองก็ใช่ย่อยซะที่ไหน” นาราพรรณบ่นอุบจงใจให้คนตัวใหญ่ได้ยิน
แทนที่จะโกรธ เจ้าชายชารีฟร์กลับหัวเราะร่วนส่ายหน้าราวกับระอา จากนั้นก็ได้ผายมือไปยังภาพวาดตรงหน้าเป็นการบ่งบอกให้สาวน้อยได้เริ่มพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง
นาราพรรณลอบเป่าลมออกจากปากนิดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มวิจารณ์โดยไม่สนใจว่าบุรุษหนุ่มหล่อเหลา ที่ยืนใกล้ๆ ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นองครักษ์ของเจ้าชายชารีฟร์ จะโกรธขัดเคืองกับคำพูดของเธอหรือไม่
“ภาพนี้งดงามไม่มีที่ติ การลงสีแสงและเงาขององค์ประกอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระอาทิตย์กลมโต หรือคลื่นเม็ดทรายล้วนดูกลมกลืนเข้ากันได้ดี สำหรับคู่รักที่นั่งชมพระอาทิตย์ชิงพลบ แค่ดูก็รู้ว่าพวกเขามีความสุขอย่างมาก”
เจ้าชายชารีฟร์ถอนหายใจยาว รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่นาราพรรณวิจารณ์ไม่ตรงกับใจ ซึ่งเขาต้องการฟังจุด
สำคัญซึ่งใครๆ ก็มองไม่เห็น สิ่งที่หญิงสาววิจารณ์มานั้น คนที่เข้ามาชมภาพ ไม่ว่าจะเข้าใจผลงานศิลปะหรือไม่ ก็ล้วนแต่มองออกมาในลักษณะเดียวกันกับหญิงสาวทั้งนั้น
“เจ้าทำให้เราผิดหวังมาก เราไม่รับเจ้าเป็นผู้ช่วยของเรา”
“เดี๋ยวสิคุณ!”
นาราพรรณไม่ได้เอะใจกับคำพูดของบุรุษหนุ่มรูปหล่อ ด้วยมัวแต่วิ่งตามไปฉุดรั้งให้อีกฝ่ายหยุดเดิน พร้อมกับออกแรงลากให้คนตัวใหญ่เดินกลับมาที่ภาพวาดอีกครั้ง
“น้ำค้างพูดยังไม่จบเลย จะรีบเดินหนีไปทำไม”
หญิงสาวเอ็ดเบาๆ พร้อมกับขึงตามองเขียวปั้ด ก่อนจะเอ่ยบอกในสิ่งที่เธอเห็น และรับรู้ได้ตั้งแต่ตอนที่มองภาพวาดในครั้งแรกแล้ว
“ภาพนี้งดงามไม่มีที่ติอย่างที่น้ำค้างบอกคุณ แต่ถ้าหากมองดีๆ ลึกลงไปข้างใน จะเห็นว่าภาพนี้ยังขาดสิ่งหนึ่ง ซึ่งน้ำค้างเชื่อว่าเจ้าชายของคุณยังไม่มี จึงไม่ได้ถ่ายทอดลงไปในส่วนที่เป็นหนุ่มสาวทั้งสอง”
“สิ่งนั้นคืออะไรน้ำค้าง” เจ้าชายชารีฟร์กระซิบถาม กลั้นใจรอคอยคำตอบว่าจะตรงกับใจเขาหรือไม่
“ความรักไงคะ เจ้าชายของคุณไม่มีสิ่งนี้อยู่ในใจ จึงไม่เข้าใจถึงความรักระหว่างชายหญิง ภาพของคู่รักแม้จะดูเผินๆ ว่าสองคนนี้รักกันดี แต่ภาพก็ยังขาดความอ่อนโยนไม่ละมุนละไมเท่าที่ควร”
เจ้าชายชารีฟร์คลี่ยิ้มกว้าง พร้อมกับปรบมือให้สาวน้อยแสนหวาน ที่สามารถมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภาพพระอาทิตย์อัสดงที่เห็น ยังขาดความรักอย่างที่นาราพรรณวิจารณ์ออกมา แม้หนุ่มสาวทั้งคู่จะนั่งโอบกอดกันอยู่บนหลังอูฐแต่ภาพก็ออกมาค่อนข้างแข็งกระด้างในความรู้สึกเขาซึ่งเป็นผู้วาด คงจะเป็นจริงอย่างที่นาราพรรณเอ่ยบอก เพราะเขาไม่มีความรักขาดสิ่งนี้จงทำให้ภาพดูไม่อ่อนโยนเท่าที่ควรจะเป็น
“เจ้าเก่งมาน้ำค้าง ข้อแรกผ่านได้เต็มร้อย ต่อไปเจ้าต้องวิจารณ์ภาพสำคัญ ที่เจ้าบอกว่าไม่มีชื่อแปะติดไว้ หากเจ้าวิจารณ์ได้ตรงใจ เราจะรับเจ้าเข้าทำงานด้วย”
“ไม่ต้องจูงมือ น้ำค้างเดินเองได้”
นาราพรรณรีบตะโกนห้าม เมื่อมือใหญ่ทำท่าจะเอื้อมมากุม แล้วลากเธอราวกับอากาศธาตุไปยังที่ตั้งของภาพวาดดังกล่าว แต่เจ้าชายชารีฟร์มีหรือจะฟัง เจ้าชายหนุ่มทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอราวกับรำคาญ ก่อนจะคว้าหมับที่ข้อมือเล็กดึงร่างบางมาแนบกาย แล้วพาเดินไปพร้อมๆ กันไม่มีการฉุดกระชากเหมือนครั้งแรก
“คราวนี้มาถึงภาพเอกของผลงานทั้งหมดที่เจ้าชายชารีฟร์มีอยู่ ไหน! เจ้าลองบอกเราสิว่า เด็กน้อยคนที่นั่งกอดของเล่น รวมทั้งเจ้าชายชารีฟร์คนที่วาดภาพนี้เขารู้สึกเช่นไร”
“คุณสัมภาษณ์งาน คนที่จะมาดูแลภาพวาดหรือเป็นผู้ช่วยของเจ้าชายชารีฟร์ ด้วยวิธีนี้หรือคะ”
นาราพรรณอดไม่ได้ที่เอ่ยถาม ในเรื่องที่นอกประเด็นความสนใจของบุรุษหนุ่มรูปหล่อ ก็แหม! มีที่ไหนกันสัมภาษณ์งานโดยให้วิจารณ์ภาพวาดของเจ้านายตัวเอง
“มีสักครั้งไหม ที่เจ้าจะตอบคำถามเราโดยไม่ถามกลับ”
เจ้าชายชารีฟร์ต่อว่าอย่างยิ้มๆ ชักจะชอบนาราพรรณขึ้นมาทุกขณะจิต เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเป็นคนที่มั่นใจตัวเอง ไม่คล้อยตามใครง่ายๆ แต่ทว่าในความมั่นใจนั้น ก็แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนอ่อนหวาน ทำให้บุรุษชาติที่อยู่ใกล้ได้หลงใหลติดอยู่ในบ่วงเสน่หาของเธอ
นาราพรรณยิ้มแป้น พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่ชายหนุ่มหล่อเหลาได้เอ่ยถามออกมา
“แล้วทำไมน้ำค้างจะถามคุณกลับคืนไม่ได้ มีกฎห้ามลูกจ้างตั้งคำถามกับเจ้านายหรือคะ”
เจ้าชายชารีฟร์ยกมือห้ามทัพ ก่อนจะเร่งเร้าให้สาวน้อยแสนหวานได้เอ่ยวิจารณ์ภาพวาด เพราะขืนให้ทะเลาะกันอยู่แบบนี้ทั้งวันคงไม่ได้เรื่องแน่
“เอาเถอะ เรายอมแพ้เจ้าแล้ว ดูภาพนี้แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
นาราพรรณหันไปจ้องมองภาพตรงหน้า แล้วนิ่งนานหลายนาที กว่าจะเอ่ยตอบออกมาได้ “ภาพนี้แตกต่างจากทุกภาพที่เจ้าชายชารีฟร์ได้วาด เพราะนอกจากจะดูเศร้าสร้อยแล้ว ยังทำให้รับรู้ได้ถึงความอ้างว้าง เจ็บปวดที่เด็กน้อยคนนี้รวมทั้งตัวเจ้าชายได้สื่อให้เห็น” น้ำเสียงที่เจ้าตัวพยายามบังคับให้ฟังดูเป็นปกติ กลับสั่นเครืออย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้เอ่ยประโยคต่อมา
“น้ำค้างไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มีตัวตนจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่เจ้าชายชารีฟร์ได้นึกคิดขึ้นมา สิ่งที่น้ำค้างรับรู้ได้คือเด็กคนนี้น่าสงสารที่สุด ในขณะที่พี่ๆ นั่งฟังพ่อเล่านิทานตกอยู่ในความอบอุ่นของผู้ที่เป็นพ่อ แต่เขากลับนั่งโดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ถึงแม้นัยน์ตาของเด็กน้อยจะดูเศร้าๆ แต่ก็เผยให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเด็กน้อยคนนี้ รักและเคารพบูชาคนที่นั่งเล่านิทานให้เด็กอีกสองคนฟังเป็นอย่างมาก”
เจ้าชายชารีฟร์ให้คะแนนนาราพรรณเกินร้อย นอกจากเชษฐาทั้งสองที่เข้าถึงอารมณ์ที่เขาต้องการสื่อผ่านภาพวาดแล้ว ยังมีสาวน้อยแสนหวานอีกคนที่เข้าถึงและพูดได้ถูกต้องที่สุด เจ้าชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าหมองเศร้าของเด็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพึมพำออกมา
“เด็กน้อยคนนี้และตัวละครทั้งหมดมีตัวตนจริงๆ คนที่นั่งเล่านิทานคือเจ้าชายอะลี อัล ริฟาอีลส์ พระบิดาของเจ้าชายทั้งสามพระองค์ เด็กน้อยสองคนที่นั่งฟังนิทานด้วยดวงตาสดใส แย้มยิ้มอย่างมีความสุขคือเจ้าชายฮารีฟร์กับเจ้าชายซารีฟร์ท่านพี่ของเรา ส่วนเด็กน้อยคนที่กอดของเล่นมองพี่ๆ ด้วยสายตาละห้อย ไม่กล้าเข้าไปร่วมวงด้วยคือตัวเราเองเจ้าชายชารีฟร์”
นาราพรรณเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากหวอเป็นนาน กว่าจะหลุดคำพูดออกมาได้ “จะ...เจ้าชายชารีฟร์ คุณคือเจ้าชายชารีฟร์งั้นหรือ”
“อืม...ใช่ เราคือเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ เจ้าของผลงานภาพวาดที่จัดแสดงในหอศิลป์”
เจ้าชายหนุ่มเอ่ยบอกยิ้มๆ พอสาวน้อยแสนหวานของเขา ทำท่าจะโกยแนบออกจากบริเวณที่ยืนอยู่ ก็รีบคว้าตัวมากอดไว้อย่างรวดเร็ว
“จะไปไหนน้ำค้าง เจ้าไม่อยากทำงานกับเราแล้วหรือ”
นาราพรรณตีหน้าม่อยราวกับจะร้องไห้ เปลี่ยนใจไม่อยากทำงานกับคนที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวแบบนี้
“ไม่อยากทำแล้ว ปล่อย! น้ำค้างจะกลับพระราชวัง”
เจ้าชายชารีฟร์หัวเราะหึๆ ในลำคอ ลดใบหน้าลงจนริมฝีปากสีสดลมหายใจอุ่นๆ เป่ารินรดทั่วพวงแก้มแดงปลั่งจากนั้นก็เอ่ยตอบเสียงดังฟังชัดให้นาราพรรณร้อนซู่ไปทั้งตัว
“เราไม่ให้เจ้ากลับ เรารับเจ้าเป็นผู้ช่วยแล้ว หน้าที่ของเจ้าคือเป็นแบบเปลือยให้เราวาด”