บทที่ 3 (1)
เจ้าชายชารีฟร์กัดฟันกรอด ใบหน้าแดงก่ำถมึงทึงด้วยความโกรธ พร้อมกันนั้นได้ตวัดร่างบางให้มาตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง มือใหญ่ทั้งสองดุนแผ่นหลังของสาวเจ้าให้ปทุมอวบอิ่มแนบชิดมากับแผงอกกำยำล่ำสัน
นาราพรรณตกใจหน้าซีด ยกมือเล็กยันกับอกกว้าง เพื่อไม่ให้เรือนร่างของตนเองแนบชิดไปกับกองไฟร้อนผ่าวที่รู้สึกได้ทันที ที่ถูกกระชากให้ตกไปอยู่ในพันธนาการแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
“เจ้า! กล้าดียังไงมาตบหน้าเรา”
เจ้าชายองค์เล็กแห่งดินแดนทะเลทราย เค้นเสียงถามลอดไรฟัน ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งที่สาวน้อยในอ้อมแขน
“ผิดแล้วค่ะ ตะกี้เขาเรียกว่าชก! ถ้าตบ! ต้องเป็นแบบนี้ต่างหาก”
เผี้ยะ!!!
สิ้นคำแก้ไข ฝ่ามือเล็กก็สาธิตให้เห็นจะๆ ฝากรอยนิ้วทั้งห้าบนใบหน้าหล่อๆ ของเจ้าชายหนุ่มอีกครั้ง
ขิงก็ราข่าก็แรง คงใช้ได้ดีสำหรับหนุ่มสาวคู่นี้ ทันทีที่ถูกตบ เจ้าชายชารีฟร์ก็กดกระแทกจุมพิตดุดันเร่าร้อน เป็นการลงโทษกลับคืน จนนาราพรรณรับรู้ได้ถึงความเค็มของเลือด ที่ซึมตรงเรียวปากอิ่มอันเกิดจากฝีมือของเจ้าชายหนุ่ม
“ปล่อย! ไม่งั้นจะกัดให้ลิ้นขาดเลย”
นาราพรรณกระซิบขู่ เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสได้เจ้าชายชารีฟร์ ได้สอดปลายลิ้นเข้าไปกระหวัดชิมความหวาน ที่เจ้าชายหนุ่มมั่นใจว่ายังไม่เคยต้องชายใดมาก่อน
เจ้าชายชารีฟร์จองจำนาราพรรณด้วยจุมพิตหวานระคนเร่าร้อนเป็นเวลาเนิ่นนานจนเป็นที่พอใจ จึงได้ผละริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งแสนเสียดายความหวานที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่โหดไปหน่อยหรือสาวน้อย”
เจ้าชายหนุ่มต่อว่าไม่จริงจังนัก ใบหน้าคมเข้มคลี่ยิ้มยียวน พลางเลิกคิ้วใส่คนที่ใบหน้าแดงซ่านเพราะพิษจุมพิตดุดัน
“ถ้าไม่อยากถูกตบเป็นครั้งที่สองก็ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
นาราพรรณขู่ฟ่อทำเป็นเก่งใส่อีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ในใจนั้นเริ่มกลัวกระแสแห่งความเร่าร้อน ที่แผ่นซ่านจากคนตรงหน้าจนอยากจะวิ่งหนีให้รู้แล้วรู้รอดไป
เจ้าชายชารีฟร์หัวเราะหึๆ ในลำคอ ไม่ได้นึกกลัวคำขู่ของสาวน้อยแสนหวานสักนิด ปลายนิ้วยาวแข็งแกร่งที่จับพู่กันตวัดเส้นสี ก่อเกิดเป็นภาพวาดอันงดงาม ได้เอื้อมไปจับเส้นผมนุ่มสลวยมาจรดจมูกโด่ง พร้อมกับแย้มยิ้มตรงมุมปากเอ่ยสวนกลับคนที่กำลังจ้องมองเขม็งอย่างโกรธๆ
“อย่าขู่ให้ยากเลยสาวน้อย เพราะเราจะไม่ปล่อยให้เจ้าทำร้ายเราได้อีก”
แม้จะผละริมฝีปากออกแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้สาวน้อยหวานฉ่ำเป็นอิสระตามที่เจ้าตัวต้องการ เพราะมือใหญ่ร้อนผ่าวยังคงประคองกอดร่างบางไว้กระชับไม่ให้ดิ้นหนีได้ง่ายๆ
“นี่คุณ! ปล่อยได้แล้ว ฉันปวดต้นแขน”
เมื่อใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล นาราพรรณก็เปลี่ยนมาทำตาปริบๆ ให้ดูน่าสงสาร ในใจนั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากอีกฝ่ายปล่อยเธอให้เป็นอิสระเมื่อไร จะขอชกหน้าบุรุษหนุ่มผู้นี้อีกสักครั้ง ก่อนจะโกยแนบออกจากหอศิลป์
“ต่อให้ทำตาปริบๆ หน้าละห้อยยังไง เราก็ไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ หรอกแม่สาวน้อยแสนหวาน”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ประดับทั่วใบหน้าอย่างรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของคนในอ้อมแขน เจ้าชายหนุ่มนึกขำ ก็ดูเอาเถอะ สาวน้อยที่เขายังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ทว่ารสจุมพิตที่ได้รับจากตัวเธอนั้นหวานฉ่ำจนเขาลืมไม่ลง ได้แสร้งตีสีหน้าเศร้าๆ แต่ดวงตากลมโตกลับฉายแววเต้นระริก แฝงไว้ด้วยความโกรธเคือง ซึ่งถ้าหากเขาปล่อยให้เธอหลุดไปง่ายๆ คงได้รับกำปั้นจากหญิงสาวอีกหมัดสองหมัดเป็นแน่แท้
“ฉันไม่ได้เป็นแม่สาวน้อยแสนหวานของคุณ ฉันชื่อน้ำค้าง เป็นน้องสาวของเจ้าชายฮารีฟร์กับเจ้าชายซารีฟร์ ปล่อยฉันได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะโทรไปบอกเจ้าชายให้มาจัดการกับคุณ”
เมื่อการขู่สารพัดวิธีไม่ได้ผล บุรุษหนุ่มหล่อเหลาที่ทำให้เธอใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่ยอมปล่อยแขนจากเรือนร่างของเธอสักที หญิงสาวจึงจำเป็นต้องทำตัวเหมือนพวกที่บ้าอำนาจ ยกเจ้าชายทั้งสองที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย มาขู่ให้บุรุษหนุ่มผู้นี้ได้หวาดกลัว
‘เออแฮะ! เพิ่งรู้ว่าท่านพี่ทั้งสองมีน้องสาวด้วย’
เจ้าชายชารีฟร์งึมงำอยู่คนเดียว ริมฝีปากสีสดไม่แพ้อิสตรีแย้มยิ้มนิดๆ ตรงมุมปาก คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้น นัยน์ตาคมกริบจ้องมองสาวน้อยในอ้อมแขนอย่างล้อเลียน ก่อนจะเอ่ยถามยิ้มๆ
“อืม...เป็นขนิษฐาของเจ้าชายทั้งสองพระองค์หรอกหรือ”
“ใช่! ปล่อยฉันได้แล้ว ถ้าหากเจ้าชายฮารีฟร์รู้ว่าคุณรังแกฉัน คุณจะต้องถูกเอาไปตัดคอแน่”
นาราพรรณตีสีหน้าขึงขังขณะขู่เสียงเข้ม ภาวนาให้ชายคนนี้ได้กลัวอำนาจบารมีของประมุขแห่งอัลนูรีน และปล่อยเธอเร็วๆ ก่อนที่เธอจะทรุดไปกองกับพื้น เพราะเริ่มเวียนหัวจากกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เธอได้กลิ่นอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ได้พบชายชราเจ้าของภาพวาดดงดอกกุหลาบ
‘ให้ตายเถอะ ถ้าหากเธอเป็นน้องสาวของท่านพี่ ก็แสดงว่าเธอเป็นน้องสาวของเราด้วยน่ะสิ’
เจ้าชายชารีฟร์ไม่อยากให้เป็นอย่างที่ได้นึกคิด ด้วยตอนนี้เริ่มติดใจกับความหวานฉ่ำดุจดั่งน้ำทิพย์ ที่ได้ตักตวงดูดชิมไปก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที
“เจ้ากลับไปได้แล้ว”
เจ้าชายองค์เล็กแห่งอัลนูรีน ผลักร่างบางออกเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยไล่เอาดื้อๆ โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร หากหญิงสาวคนนี้เป็นขนิษฐาของท่านพี่ทั้งสองจริงอย่างที่เธอแอบอ้าง ก็เท่ากับว่าเธอเป็นขนิษฐาของเขาเช่นเดียวกันซึ่งเขาไม่สมควรแตะต้องหญิงสาวในเชิงชู้สาว เห็นทีเขาต้องให้คาซิมม์ไปสืบความจริงว่าเรื่องราวเป็นยังไงมายังไง สาวน้อยแสนหวานคนนี้ถึงได้เป็นขนิษฐาของเจ้าชายแห่งแผ่นดินทะเลทรายได้
“อีตาบ้า! เสียมารยาทที่สุด”
นาราพรรณด่าแบบซึ่งๆ หน้า ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้คนตัวใหญ่ แล้วกระชากต้นแขนสีแทนไม่ให้ชายหนุ่มคนนี้เดินหนีหลังจากที่ได้เอ่ยไล่เธอแล้ว
“คุณไม่มีสิทธิ์มาไล่ให้ฉันออกไปจากหอศิลป์ ฉันจะมาดูภาพวาดของเจ้าชายชารีฟร์ และก็จะมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยของเจ้าชายชารีฟร์ด้วย”
หลังจากที่หน้าตึงเมื่อถูกสาวเจ้าด่าอย่างไม่เกรงใจ เจ้าชายชารีฟร์ก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่หญิงสาวเอ่ยบอกมา
“จะมาสมัครงานเป็นผู้ช่วยของเจ้าชายชารีฟร์ เจ้าคิดว่าตัวเองมีความรู้เรื่องงานศิลปะดีพอแล้วหรือ”
เจ้าชายหนุ่มลองภูมิสาวน้อยแสนหวาน ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลย การที่หญิงสาวสามารถสื่อถึงอารมณ์ความเจ็บปวดอ้างว้างของเขา ที่ได้ถ่ายทอดลงบนภาพวาดซึ่งอยู่ตรงหน้าได้เป็นอย่างดีนั้น ก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยของเขา
คนที่ถูกลองภูมิเชิดใบหน้ารูปไข่ขึ้น ดวงตากลมโตสุกสกาวแฝงแววดื้อด้านอยู่ไม่น้อย ได้จ้องมองคนตัวใหญ่เขม็ง และแทนที่จะตอบคำถาม นาราพรรณกลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามเสียเอง
“คนเป็นคนดูแลหอศิลป์และภาพวาดเหล่านี้งั้นหรือ”
“ก็ไม่เชิงเป็นคนดูแล”
‘เป็นคนวาดเองต่างหากล่ะ สาวน้อยแสนหวาน’
ปากตอบอย่างในใจตอบอย่าง เจ้าชายชารีฟร์ยืนกอดอกทอดสายตามองหญิงสาวแสนสวย ที่ดูท่าจะชอบงานศิลปะอยู่ไม่น้อย ด้วยแววตาชื่นชมติดหื่นกระหายเล็กน้อย
“ให้ตายเถอะ! รู้ว่าเธอเป็นน้องสาว แต่ก็อยากกินน้องคนนี้ชะมัด”
เจ้าชายชารีฟร์พึมพำออกมาเป็นภาษาอาหรับ ซึ่งคนที่ถูกมองเป็นอาหารอันโอชะ ได้แต่ตีสีหน้าไม่พอใจ ส่วนองครักษ์คาซิมม์ ซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์อย่างเหนี่ยวแน่น ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อกลั้นไว้จนสุดความสามารถและปวดกรามไปหมดแล้ว
“นึกว่าเจ้าชายจะเป็นฤๅษีอยู่แต่ในถ้ำ ที่แท้ก็ราชสีห์หนุ่มร้อนรักดีๆ นี่เอง”
คาซิมม์งึมงำอยู่คนเดียว พยายามเก็บรายละเอียดทุกช็อตเด็ดไว้ให้ได้มากที่สุด เผื่อว่าเจ้าชายฮารีฟร์กับเจ้าชายซารีฟร์ทรงถาม เขาจะได้ตอบได้ถูกต้องครบกระบวนการ
นาราพรรณยกมือเท้าสะเอว ถลึงตามองชายหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าอย่างโกรธๆ อยากเอานิ้วจิ้มลูกตาที่กำลังจ้องมองราวกับจะเปลื้องผ้าเธอ ให้ตาบอดไปเลย
“นี่คุณ! ห้ามพูดภาษาถิ่น ฉันฟังไม่รู้เรื่อง”
เจ้าชายชารีฟร์ไม่สนใจคำตวาดแว้ดของสาวเจ้า เขาเอื้อมมือไปจับต้นแขนขาวผ่อง แล้วดึงร่างบางให้ขยับเข้ามาใกล้ตัวนิดหนึ่ง ก่อนจะย้ำถามอีกครั้ง
“เราถามเจ้าว่ารู้เรื่องงานศิลปะดีแค่ไหน”
“คุณคงเป็นองครักษ์ของเจ้าชายชารีฟร์ ที่ไล่ลุงแก่ๆ ออกจากหอศิลป์แน่”
นาราพรรณคิดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะระดับเจ้าชายชารีฟร์ รัชทายาทของผืนแผ่นทะเลทราย คงไม่มาดูแลต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมภาพด้วยตัวเอง หญิงสาวถลึงตาเขียวปั้ดใส่ ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างโกรธๆ เอามือไปจิ้มที่หน้าอกแข็งแกร่งของอีกฝ่ายแล้วเค้นเสียงตอบให้เจ้าชายชารีฟร์ได้อ้าปากค้าง
“ฮึ! จ้างให้ฉันก็ไม่ตอบคำถามของคุณหรอกอีตาองครักษ์รูปหล่อ”