บทที่ 2 (2)
เจ้าชายชารีฟร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วยกมือห้ามทัพ เมื่อคาซิมม์กำลังจะอ้าปากเอ่ยคาดเดาไปต่างๆ นานา
“พอ! ไม่ต้องเดาแล้วคาซิมม์ เดี๋ยวเราจะออกไปดูเอง ว่าใครเป็นคนถือบัตรเชิญของท่านพี่ซารีฟร์มา”
เอ่ยห้ามเสร็จเจ้าชายผู้รักงานศิลปะก็เดินออกจากห้อง ที่ได้ดัดแปลงเป็นแกลอรี่ชั่วคราว สำหรับการวาดภาพขณะที่มีการเปิดแสดงภาพอยู่ที่หอศิลป์
นาราพรรณเดินชื่นชมภาพวาดอย่างมีความสุข ใบหน้ารูปไข่มีรอยยิ้มหวานประดับให้เห็นอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวเดินชมเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ภาพไหนที่เธอชื่นชอบมากที่สุดก็จะยืนดูนานเป็นพิเศษ
“สงสัยต้องมาดูทุกวันล่ะมั้ง ถึงจะดูครบทุกภาพ”
หญิงสาวเอ่ยกับตัวเองขณะยืนดูภาพทิวทัศน์ ซึ่งเป็นภาพพระอาทิตย์ดวงโตสีส้ม ถูกคลื่นเม็ดทรายกลืนกินไปครึ่งตัว ทว่ายังคงสาดแสงจนละอองเม็ดทรายกลายเป็นสีทองไปทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีหนุ่มสาวคู่รักนั่งอยู่บนหลังอูฐ เพื่อดื่มด่ำกับพระอาทิตย์ในยามชิงพลบลาลับขอบฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบภาพที่เธอชื่นชอบมากที่สุด
“เจ้าชายชารีฟร์วาดภาพทิวทัศน์ได้งดงาม สื่อถึงอารมณ์จริงๆ”
นาราพรรณเอ่ยวิจารณ์ โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าของผลงานภาพวาด ได้เดินออกจากแกลอรี่มาหลบมุมเพื่อซุ่มรอดูเธออยู่ได้สักสิบนาทีแล้ว
“อยากเป็นหญิงสาวที่ตกอยู่ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นจัง เธอคงมีความสุขมากๆ ที่ได้ชมพระอาทิตย์อัสดง โดยมีคนรักคอยโอบกอดไม่ได้ห่าง”
นาราพรรณเปล่งเสียงออกมาราวกับอิจฉาคนในภาพวาดเสียเต็มประดา หญิงสาวเคลิ้มกับผลงานภาพวาดชิ้นนี้มาก อารมณ์คล้อยตามไปกับความรักของหนุ่มสาว ที่นั่งบนหลังอูฐชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า จนอายหน้าแดงซ่านร้อนผ่าวไปทั้งตัว หญิงสาวยอมรับว่า ฝีมือการวาดภาพระดับน้องๆ จิตรกรเอกของโลก อย่างเจ้าชายชารีฟร์งดงามมากๆ เส้นสายแต่ละเส้น ปลายพู่กันแต่ละด้าม ที่ตวัดแต่งแต้มเติมสีสันลงไปบนผืนผ้าขาวสะอาด ได้ก่อให้เกิดภาพวาดที่สวยงามหลากหลายอารมณ์ ตามที่จิตรกรได้บรรจงสร้างสรรค์จินตนาการระบายความรู้สึกลงไปบนผืนผ้า
เจ้าชายชารีฟร์ยืนกอดอก แล้วอมยิ้มฟังคนตัวเล็กรูปร่างเพรียวลม เอ่ยวิจารณ์ตนเองโดยไม่ยอมเปิดเผยตัว และห้ามไม่ให้คาซิมม์เข้าไปยุ่งกับหญิงสาวที่เขาเห็นรูปหน้าได้แค่เพียงด้านข้างด้วย
“แต่ละภาพสวยๆ ทั้งนั้นเลย อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าชายคนนี้ เขาขายภาพวาดด้วยหรือเปล่า” นาราพรรณเอ่ยงึมงำก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบ่นอุบไม่ได้หยุด
“เฮ้อ! ถึงเขาขายภาพวาด เราก็ไม่มีปัญหาซื้อ แต่ละภาพสนนราคาแล้วคงไม่พ้นหลักแสนเป็นแน่”
ราคาค่างวดของภาพวาดไม่รู้ว่าจะแพงสักเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเจ้าชายชารีฟร์ ต้องการขายหรือเปล่า แต่นาราพรรณก็ตีราคาภาพวาดของเจ้าชายหนุ่มเป็นมูลค่าเงินไทยให้อย่างเสร็จสรรพ
‘อืม...ตั้งราคาให้ต่ำเกินไปน่ะสาวน้อย’
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยค้านอยู่ในใจ ชักอยากจะเห็นใบหน้าของสาวเจ้าขึ้นมาตงิดๆ ว่าจะน่ารัก ตามน้ำเสียงที่อ่อนโยนไพเราะเสนาะหูดุจดั่งระฆังแก้วหรือเปล่า
นาราพรรณเปลี่ยนมือที่ถือภาพวาดดงดอกกุหลาบ เมื่อรู้สึกเมื่อยหลังจากที่ถืออยู่ข้างเดียวเป็นเวลานานๆ หญิงสาวเดินชมภาพเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงภาพวาดอันโดดเด่น ที่เข้ากรอบหลุยส์สีทองอย่างงดงาม
“ทำไมภาพนี้ไม่มีชื่อ” หญิงสาวขมวดคิ้วโก่งงามเข้าหากันขณะเพ่งพิศพิจารณาภาพดังกล่าว
ภาพทุกภาพที่แสดงในหอศิลป์อันเกิดจากฝีมือของเจ้าชายชารีฟร์ รัชทายาทองค์เล็กของราชวงศ์อัล ริฟาอีลส์ ล้วนมีชื่อภาพแปะติดไว้ด้านล่างภาพทั้งสิ้น ยกเว้นภาพที่เธอกำลังยืนดูเพียงภาพเดียวที่ไม่มีชื่อแปะติดไว้
นาราพรรณยืนนิ่งตัวชากับภาพวาด ที่แตกต่างจากทุกภาพที่ผ่านมา ภาพวาดของเจ้าชายชารีฟร์ โดยส่วนมากเป็นภาพทิวทัศน์ในแผ่นผืนทะเลทราย สำหรับภาพนี้เป็นภาพของเด็กผู้ชายสามคน ที่หญิงสาวทอดมองแล้วรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดหมองเศร้า ระคนอ้างว้างของเด็กน้อยที่นั่งกอดของเล่น โดยที่ดวงตาคมกริบได้จ้องมองเด็กน้อยอีกสองคนที่เธอคิดว่าต้องเป็นพี่ชายแน่นอน ส่วนผู้ใหญ่ที่ดูท่าทางใจดี เปี่ยมล้นด้วยความเมตตาที่กางหนังสือนิทานไว้บนตักคงเป็นพ่อของเด็กๆ ทั้งสามคน
“เด็กคนนี้น่าสงสารจังเลย”
นาราพรรณพึมพำเสียงสั่น ไม่รู้ตัวเลยว่าหยาดน้ำตาอุ่นได้เอ่อคลอเบ้า ขณะทอดมองแน่นิ่งที่ภาพเด็กน้อยคนนี้เพียงผู้เดียว
“ทำไมไม่เป็นเล่นกับพี่ๆ ทำไมต้องมานั่งกอดของเล่นอยู่คนเดียว”
นาราพรรณถามเด็กน้อยในภาพ ราวกับว่าสามารถให้คำตอบเธอได้ หญิงสาวยกมือเล็กขึ้นไปแตะบนใบหน้าของเด็กน้อยนัยน์ตาเศร้า แม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง สำหรับการเข้ามาชมภาพวาด เพราะไอเหงื่อตามร่างกายจะทำให้ภาพเสียหาย สีผิดเพี้ยนได้ แต่เธอก็อดใจไม่อยู่ ราวกับว่าการสัมผัสใบหน้าดวงตาของเด็กน้อยในภาพ จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเด็กคนนี้ได้
“เจ้าชายชารีฟร์เจ็บปวดเรื่องใด ทำไมถึงได้ตวัดปลายพู่กัน สื่อความรู้สึกเจ็บปวดผ่านภาพวาดใบนี้”
ภาพวาดที่แต่งแต้มเติมสีสัน ทอดแสงเงาและอารมณ์ของผู้วาดได้อย่างลงตัวสมบูรณ์แบบที่สุด ทำให้นาราพรรณรู้สึกเศร้าไปด้วย จนต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตา ที่ทำท่าจะร่วงเผาะลงมาตามพวงแก้มแดงปลั่ง
“อยากรู้จังว่าเด็กคนนี้มีตัวตนจริงหรือเปล่า?...หรือเป็นแค่ภาพวาดที่เจ้าชายชารีฟร์ได้อุปโลกน์ขึ้นมา”
“เด็กคนนั้นมีตัวตนจริง นั่นก็คือเราไง”
เจ้าชายชารีฟร์พึมพำตอบเสียงแผ่วเบา หญิงสาวผู้นี้เป็นคนแรกที่ดูภาพวาดแห่งความทรงจำภาพนี้ แล้วเอ่ยถามเสียงสั่นอยู่คนเดียว ตอนที่หญิงสาวยืนมองภาพ เขาได้รอลุ้นอยู่ในใจว่าเธอจะเอ่ยเช่นไรบ้าง ผู้ที่รักงานศิลปะทั่งชาวต่างชาติและชาวอัลนูรีนที่เข้ามาชมภาพ มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพนี้งดงาม ลงแสงสีทอดเงาได้อย่างลงตัวสมบูรณ์ที่สุด หากนำออกประมูลคงได้ราคาหลักล้านเป็นแน่ แต่ทว่าไม่มีใครสักคนที่จะพูดถึง และแสดงความสงสารเด็กน้อยนัยน์ตาเศร้า ที่นั่งกอดของเล่นมองเชษฐาทั้งสองฟังท่านพ่อเล่านิทาน เหมือนเช่นดั่งหญิงสาวคนนี้ได้เอ่ยถึงมาก่อน
“บ้าชะมัด! ทำไมยิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหลแบบนี้”
นาราพรรณสูดสะอื้น พลางควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าถือใบเล็กให้วุ่นไปหมด หากใครมาเห็นเข้าคงพากันหัวเราะเยาะแน่ ที่เห็นเธอเป็นคนบ่อน้ำตาตื้น ได้เห็นแค่ภาพวาดอันสะท้อนถึงอารมณ์เจ็บปวดของจิตรกรก็ร้องไห้น้ำตาร่วงเผาะเป็นเต่าเผา
“หาผ้าเช็ดหน้าไม่เจอหรือสาวน้อย”
นาราพรรณหันขวับทั้งที่น้ำตานองหน้า ไปตามต้นเสียงห้าวทุ้มที่ทักอยู่ใกล้ๆ ดวงตาที่ยังคงพร่ามัวเพราะหยาดน้ำตาเอ่อคลอ มองหน้าคนถามไม่ชัดนัก แต่ที่รู้คือผู้ชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่มาก จนเธอต้องแหงนหน้ามองเพื่อให้เห็นอีกฝ่ายได้ชัดๆ
“ไม่ใช่หาไม่เจอ แต่ลืมเอามาต่างหาก”
นาราพรรณตอบเสียงห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ อับอายเหลือเกินที่มีคนมาเห็นเธอร้องไห้ขี้มูกโป่งเช่นนี้
“ไม่ได้เอามาก็รับผ้าเช็ดหน้าของเราไปสิ รับรองว่าสะอาดปลอดเชื้ออย่างแน่นอน”
เจ้าชายชารีฟร์เพิ่งหาลิ้นตัวเองเจอ และเอ่ยออกมาในที่สุด หลังจากที่ถูกสะกดให้นิ่งงันด้วยความน่ารักอ่อนหวาน ดวงตากลมโตสุกสกาวของสาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า
นาราพรรณยกมือปาดน้ำตา พลางเหลือบมองผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดในมือใหญ่ของอีกฝ่าย ก่อนจะกระชากมาอย่างเสียไม่ได้ เพราะดูท่าว่าจะใช้มือหรือเสื้อผ้าของตนเองเช็ดน้ำตาที่ยังคงเอ่อคลอเบ้าไม่ไหวแล้ว
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวเช็ดน้ำตาโดยไม่ต้องกลัวว่าขอบตาจะบอบช้ำ จากการใช้ผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาแรงๆ พอเช็ดน้ำตาจนเหือดแห้งแล้ว ก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดจมูกแล้วสั่งน้ำมูกแรงๆ ก่อนจะพับทบเข้าหากันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ผิดจากตอนที่ได้รับจากชายหนุ่ม จากนั้นก็เอาไปยัดตรงกระเป๋าเสื้อด้านอกซ้ายของอีกฝ่ายให้อย่างเรียบร้อย
“จะไม่เอาไปซักรีด พรมน้ำหอมให้เรียบร้อย แล้วเอามาคืนเราหรอกหรือ”
เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยถามกลั้วหัวเราะ ก่อนจะส่ายหน้าราวกับระอา เมื่อได้ยินคำตอบจากสาวน้อยน่ารัก
“จ้างให้ก็ไม่เอาไปซักให้หรอก ไม่ได้ร้องขอผ้าเช็ดหน้าซักหน่อย อยากเอามาให้ใช้เองทำไม”
นาราพรรณต่อว่าเสียงขึ้นจมูก ทำท่าจะเดินหนีอีกฝ่าย หากไม่ถูกมือใหญ่ร้อนผ่าวยื่นมารั้งต้นแขนไว้เสียก่อน ทันทีที่มือใหญ่แตะโดนผิวกาย หญิงสาวก็รีบกระชากมือกลับ ความรู้สึกที่แตกต่างกันจากชายสองคนสองวัย ได้สร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสาวยิ่งนัก
‘ทำไมเรารู้สึกอบอุ่นใจ ทันทีที่ชายคนนี้สัมผัสแตะต้อง’
หญิงสาวนึกคิดอยู่ในใจพลางก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองสบตากับดวงตาคมกริบที่กำลังจ้องมองเธอไม่วางตา
‘อีตาบ้ามองเขม็งอย่างกับเราเป็นกระต่ายน้อยเนื้อหวานยังไงยังงั้นแหละ’
“นี่คุณ!”
นาราพรรณเลียนเสียงของอีกฝ่าย ตอนที่เรียกเธอเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ พร้อมกันนั้นก็ยกมือเท้าสะเอวตวาดแว้ดด้วยความโกรธๆ
“มองผู้หญิงตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเรียกว่าเสียมารยาทรู้ไหม”
เจ้าชายชารีฟร์ถึงกับอ้าปากหวอ ด้วยนึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะกล้าต่อว่าตนเองทั้งๆ ที่เพิ่งพบเจอกันแค่เพียงครั้งแรก เพื่อพิสูจน์ว่าความรู้สึกตื่นเต้นราวกับถูกไฟช็อต ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเองมาก่อน ตอนที่ได้แตะต้องกับต้นแขนเนียนขาวผ่อง เขาจึงเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือเล็ก แล้วดึงร่างบางให้ขยับเข้ามาใกล้ จนรับรู้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาวเจ้า
“เรายอมเสียมารยาท เพื่อได้ยลโฉมสูดกลิ่นหอมจากสาวน้อยน่ารัก”
ไม่ได้พูดเปล่า เจ้าชายชารีฟร์ได้ลดริมฝีปากร้อนรุ่มเข้าไปพิสูจน์ความหอมกรุ่น ตรงพวงแก้มแดงปลั่งที่อยู่ล่อตาล่อใจ ราวกับดอกไม้แรกแย้มสีสวยที่ล่อให้ภุมรินบินโฉบเข้าไปหาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
“อืม...กลิ่นหอมจรุงใจจริงๆ” เจ้าชายชารีฟร์งึมงำเสียงกระเส่าแนบชิดกับพวงแก้มหอมละมุน ที่ตนเองชักจะติดใจขึ้นมาเสียแล้ว
“ไอ้คนฉวยโอกาส!”
นาราพรรณกัดฟันกรอดกำมือแน่น ปล่อยให้ภาพวาดดงดอกกุหลาบที่ถือไว้ในมือตกลงไปนอนอยู่กับพื้นพรมจากนั้นก็ตอบแทนอีกฝ่ายด้วยกำปั้นหนักๆ ที่เสยไปเต็มปลายคางบึกบึนที่อยู่ใกล้ตา
ผั้วะ!!!
เสียงกำปั้นเล็กๆ ทว่าสามารถเรียกดาวเรียกเดือนให้ลอยอยู่ตรงหน้าเจ้าชายชารีฟร์ ได้ทำเอาองครักษ์คาซิมม์ซึ่งเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ถึงกับตกใจหน้าซีด ก่อนจะยกมือปิดปากไม่ให้เสียงหัวเราะด้วยความขบขำหลุดลอดออกมาให้เจ้าเหนือหัวได้ยิน
“ขอยกมือให้คนที่กล้าชกเจ้าชายชารีฟร์”
คาซิมม์ชูฮกให้หญิงสาวผู้นี้เป็นผู้เก่งกาจ เพราะนอกจากจะเข้าใจสื่อถึงอารมณ์ของภาพวาดงดงามที่ตั้งเด่นอยู่ใกล้ๆ กันแล้ว หญิงสาวยังใจกล้า ชกหน้าเจ้าชายชารีฟร์เสียหน้าหงาย สงสัยงานนี้เขาได้มีเรื่องเด็ดๆ ไปรายงานให้เจ้าชายฮารีฟร์ได้ทรงทราบอีกแล้ว