บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 (1)

“หอศิลป์แห่งชาติ ประเทศอัลนูรีน”

นาราพรรณอ่านป้ายชื่อที่แกะสลักสวยงาม เขียนกำกับเป็นภาษาอาหรับและภาษาสากลด้วยตัวหนังสือสีทองมองดูงดงามมีมนต์ขลัง ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดัง

“ในที่สุดเราก็หาเจอจนได้”

หญิงสาวเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอก พลางหันไปมองข้างๆ ประตูทางเข้าหอศิลป์ ซึ่งมีการจำหน่ายบัตรในราคาที่แตกต่างกันไปสำหรับชาวอัลนูรีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“รายได้จากการจำหน่ายบัตรมอบให้กับราษฎรเผ่าคาลีส์โดยไม่หักค่าใช้จ่าย”

นาราพรรณอ่านตามป้ายที่แปะติดไว้ ซึ่งด้านบนเขียนด้วยอาษาอาหรับและมีภาษาอังกฤษกำกับ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ทราบวัตถุประสงค์ของการเก็บค่าเข้าชมภาพวาดด้วย

“เผ่าคาลีส์ อืม...ก็ดีเหมือนกันเก็บเงินค่าผ่านประตู ไปบริจาคให้กับราษฎร”

หญิงสาวก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปที่จำหน่ายบัตร แล้วหยิบเงินยื่นให้คนขายตามราคาสำหรับคนต่างชาติ ขณะที่ยื่นเงินให้อีกฝ่ายมือหนึ่งก็ถือภาพวาดและกำบัตรเชิญซึ่งทำเป็นพิเศษไว้ในมือด้วย

“ซื้อบัตรหนึ่งใบค่ะ”

นาราพรรณบอกคนขายพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้างให้ แล้วส่ายหน้าปฏิเสธไม่รับเงิน จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่บัตรเชิญที่เธอกำไว้อีกมือหนึ่ง แล้วเอ่ยบอกเป็นภาษาอาหรับซึ่งหญิงสาวไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร

“ขอดูบัตรเชิญใบนั้นหน่อยคะ”

คนขายบัตรยิ้มกว้างเอ่ยบอกขณะชี้นิ้วมาที่บัตรเชิญ ซึ่งเป็นการสื่อภาษาสองทาง นอกเหนือจากใช้ภาษาคำพูดที่ฟังกันไม่รู้เรื่องแล้วก็ใช้ภาษามือไปในตัวด้วย

นาราพรรณก้มลงมองตามทิศทางการชี้นิ้วของอีกฝ่าย เมื่อสื่อสารพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการบัตรเชิญที่เธอได้รับจากเจ้าชายซารีฟร์ ซึ่งได้มอบให้เธอตั้งแต่ตอนที่อยู่ในบอสตัน ก็ได้ยื่นบัตรให้อีกฝ่ายดู

“จะเอาบัตรเชิญใบนี้หรือคะ”

ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนขายไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่นาราพรรณก็เอ่ยถามไปอย่างลืมตัว อีกไม่กี่นาทีต่อมาคิ้วโก่งงามดุจคันศรก็ขมวดชนกันยุ่ง เมื่อคนขายลุกออกจากที่นั่งแล้วถอนสายบัวราวกับทำความเคารพแก่เธอ จากนั้นก็ผายมือเชิญให้เข้าไปข้างในหอศิลป์

นาราพรรณรับบัตรเชิญกลับมาคืน ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ เดินเข้าไปในหอศิลป์โดยไม่ลืมหันไปมองคนขายซึ่งยังคงคลี่ยิ้มกว้างให้เธอเหมือนเดิม

“สงสัยคนขายคิดว่าเราเป็นคนรักของเจ้าชายซารีฟร์แน่ๆ เลย ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้”

หญิงงามจากแดนสยามที่รักงานศิลปะเข้าเส้นเลือด ได้เอ่ยคาดเดาอยู่คนเดียว บัตรเชิญที่เธอได้รับจากเจ้าชายซารีฟร์ จะมีชื่อของพระองค์เขียนไว้ด้านหลังบัตรด้วยตัวอักษรภาษาอาหรับกำกับภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งเธอคิดว่าคนขายคงเข้าใจผิด คิดว่าเธอเป็นคนรักของพระองค์ จึงได้เชิญให้เข้าไปในหอศิลป์โดยไม่เก็บค่าผ่านประตู ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่เป็นคนรักของเจ้าชายซารีฟร์คือนาราภัทร หรือน้ำหนาวแฝดพี่ของเธอต่างหาก

นาราพรรณเดินตามนักท่องเที่ยว ซึ่งหากเดาไม่ผิดเป็นชาวยุโรปสองสามีภรรยาเข้าไปในหอศิลป์ พอได้เห็นผลงานภาพวาดของเจ้าชายองค์เล็กแห่งดินแดนทะเลทราย รวมทั้งภาพวาดของนักเขียนชื่อดังก้องโลกท่านอื่น ซึ่งได้ให้เกียรตินำมาแสดงที่ประเทศอัลนูรีนด้วย ก็ได้เบิกตาโตเพราะความตื่นเต้นกับผลงานศิลปะอันแสนงดงาม ทำให้ผู้ที่เข้ามาในหอศิลป์ได้อิ่มเอมสุขใจกับสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ

คล้อยหลังที่เดินเข้าไปในหอศิลป์แค่ไม่กี่นาที หญิงงามจากแผ่นดินสยาม ผู้ที่มีบัตรเชิญพิเศษไม่รู้เลยว่าคนขายบัตรผ่านประตู ได้โทรรายงานองครักษ์คาซิมม์ ซึ่งเป็นองครักษ์เอกของเจ้าชายชารีฟร์ ให้ทราบว่าได้มีหญิงสาวงดงามถือบัตรเชิญของเจ้าชายซารีฟร์เข้าไปชมภาพในหอศิลป์ด้วย

องครักษ์คาซิมม์วางโทรศัพท์ลงกับแป้น หลังจากรับรายงานจากคนขายบัตร ซึ่งได้โทรมาแจ้งข่าวเรื่องของนักท่องเที่ยวสาว ที่กำลังเข้ามาชมภาพวาดในขณะนี้ องครักษ์หนุ่มช่างใจอยู่หลายนาที ว่าจะแจ้งให้เจ้าเหนือหัวทรงทราบดีหรือเปล่า เพราะตอนนี้พระองค์กำลังตั้งสมาธิวาดภาพกรุงเทพฯ เมืองหลวงของแผ่นดินไทย เพื่อเป็นของกำนัลแก่รัฐบาลไทย ตอนที่พระองค์ไปจัดนิทรรศการแสดงภาพวาดที่นั่น

“เอ่อ...พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

คาซิมม์ตัดสินใจเรียกเจ้าเหนือหัวของตนเอง โดยพยายามเปล่งเสียงให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายสมาธิของจิตรกรมือหนึ่ง

“มีอะไรคาซิมม์ จะพูดอะไรก็พูดมา”

เจ้าชายชารีฟร์เอ่ยถามองครักษ์เอกทั้งๆ ที่มือยังคงตวัดปลายพู่กัน ลงรายละเอียดสีไปตามแผ่นผ้าสีขาว ซึ่งเขาได้วาดภาพไปได้ราวๆ สี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

“คนขายบัตรผ่านประตู โทรมาแจ้งกระหม่อมว่า ว่าที่พระชายาของเจ้าชายซารีฟร์ ได้เดินทางมาชมภาพวาดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าเหนือหัว คาซิมม์ก็เอ่ยรายงานตามข้อมูลที่ตนเองได้รับแจ้งมาอีกที พร้อมกันนั้นก็ได้หยิบผ้าขาวไว้สำหรับเช็ดมือ ยื่นให้เจ้าชายหนุ่มเมื่อพระองค์ได้วางพู่กันลง

“พระชายา...น้ำหนาวงั้นหรือ”

เจ้าชายชารีฟร์พึมพำกับตนเองขณะวางพู่กัน ละทิ้งการวาดภาพชิ้นโบว์แดงลงชั่วขณะ แล้วรับผ้าขาวจากองครักษ์เอกมาเช็ดคราบสีที่เลอะตามข้อมือและปลายนิ้ว

“กระหม่อมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าใช่พระชายาน้ำหนาวหรือเปล่า แต่คนขายบัตรบอกว่าหญิงสาวคนนี้ถือบัตรเชิญซึ่งมีชื่อของเจ้าชายซารีฟร์มาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

คาซิมม์เข้าไปเก็บอุปกรณ์วาดภาพ เห็นแน่ชัดแล้วว่าจิตรกรเอกหมดอารมณ์ที่จะวาดภาพต่อ เมื่อมีเรื่องของหญิงงามจากแผ่นดินสยามให้ขบคิด

“เราว่าไม่น่าจะใช่น้ำหนาวคนรักของท่านพี่ซารีฟร์ เราเพิ่งวางสายจากท่านพี่ก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง ไม่เห็นท่านพี่ซารีฟร์บอกว่าจะพาคนรักมาชมภาพวาด”

เจ้าชายหนุ่มเอ่ยบอกองครักษ์ ซึ่งเขามั่นใจว่าคนที่มาชมภาพวาดต้องไม่ใช่คนรักของเชษฐาซารีฟร์อย่างแน่นอนเพราะหากน้ำหนาวคนรักของเชษฐา หรือตัวเชษฐาเองได้เดินทางมาที่หอศิลป์ เชษฐาซารีฟร์จะโทรมาแจ้งให้เขาทราบล่วงหน้าเสมอ

"หรือว่าจะเป็นน้องสาวคนเล็กของราชินีที่เดินทางมาชมภาพวาด กระหม่อมเคยได้ยินราชินีพูดแว่วๆ ว่าน้องสาวคนเล็กชื่นชอบงานศิลปะมาก”

คาซิมม์คาดเดาอีกครั้ง การเข้าไปคอยรับใช้เจ้าชายฮารีฟร์ประมุขแห่งแผ่นดินในบางครั้ง ยามที่องครักษ์เอกของพระองค์ติดภาระกิจหมด ทำให้เขาพอจะได้ยินเรื่องที่ราชินีคนงามได้เอ่ยถึงน้องสาวทั้งสอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel