บทที่ 1 (2)
“คุณหนูน้ำค้างดูท่าทางจะเป็นคนขี้เกรงใจคนนะครับ”
ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานได้เอ่ยวิจารณ์ตามสายตาที่ได้มองเห็น ซึ่งคนที่มองโลกในแง่ดีแถมยังเกรงใจคนเป็นที่หนึ่งได้พยักหน้าหงึกๆ รับคำของชายชรา
“คุณลุงดูคนเก่งนะคะ”
นาราพรรณเอ่ยยิ้มๆ รู้ว่าตนเองเป็นเช่นนี้จริง ความที่มองโลกในแง่ดีขี้เกรงใจคนอื่น ทำให้เธอถูกฝาแฝดพี่ซึ่งเกิดห่างกันแค่ไม่นาที อย่างพี่นาราภัทรหรือน้ำหนาวต่อว่าหลายครั้งว่า การที่เธอมองโลกในแง่ดีสงสารคนอื่นไปทั่ว แถมยังเกรงใจปฎิเสธใครไม่เป็นจะนำภัยมาให้เธอสักวัน
ชายชราผู้ชาญฉลาดหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบคนที่กำลังจ้องมองตาแป๋ว “คงเป็นเพราะอยู่บนโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้มาช้านาน เลยทำให้ลุงมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง ว่าแต่คุณหนูน้ำค้างเถอะครับจะถามอะไรลุง เห็นอึกอักอยู่ในลำคอเป็นนานแล้ว”
นาราพรรณยิ้มรับคำของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถาม “คือน้ำค้างอยากรู้ว่าทำไมคุณลุงพูดภาษาอังกฤษได้ชัดราวกับเจ้าของภาษา สำเนียงก็ไม่มีผิดเพี้ยนเลย”
ชายชราตีสีหน้าเศร้าๆ ให้เห็นครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบในสิ่งที่คู่สนทนาต่างวัยแสนงดงามต้องการรู้ “ครอบครัวของลุงพอมีฐานะ สามารส่งลูกหลานไปเรียนยังต่างประเทศได้ ซึ่งลุงก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่โชคดีได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ”
“มิน่าล่ะ คุณลุงถึงพูดภาษาอังกฤษได้ชัดแจ๋วเลย”
นาราพรรณพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยถามต่อโดยไม่ลืมกวาดสายตามองรอบๆ บริเวณที่เธอกับชายชรานั่งสนทนากันอยู่
“คุณลุงจะไปไหนคะ ทำไมถึงมาคนเดียวไม่มีลูกหลานตามมาด้วย”
ทั่วบริเวณที่นั่งอยู่มีเธอกับคู่สนทนาแค่เพียงสองคน ไม่มีใครอื่นที่ดูท่าว่าจะเป็นญาติของชายชรา ซึ่งดวงตาฝ้ามัวมือไม้ที่วางอยู่บนขอบไม้กระดานที่เจ้าตัวกอดแน่น สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดเจน ทำเอานาราพรรณอดที่จะสงสารและเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ ที่เดินทางไกลออกนอกบ้านโดยไม่มีลูกหลานคอยมาดูแล
ชายชราก้มหน้านิ่ง หน้าสลดสีกับคำถามของสาวน้อยน่ารัก สุ้มเสียงที่เอ่ยตอบนั้นแผ่วเบาจนนาราพรรณฟังแทบไม่ได้ยิน
“ลุงกำลังจะกลับบ้าน สมัยแต่ก่อนลุงมีเงินมีทรัพย์สินมาก จะไปไหนมาไหนก็มีลูกหลานคอยดูแลไม่ห่าง พอลุง
สิ้นเนื้อประดาตัว ลูกหลาน เพื่อนฝูงที่เคยประจบสอพลอก็หายไปพร้อมๆ กับเงินของลุง”
“แย่จริงๆ เลย ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ยามพ่อมีเงินทองคงเอาใจใส่ดูแลเพราะหวังสมบัติ พอพ่อหมดตัวก็จะไม่ดูแลท่านเลยหรือ?...ไม่คิดหรืออย่างไรว่าหากไม่มีท่านพวกตนก็ไม่มีโอกาสได้เกิดมา”
นาราพรรณร่ายยาวต่อว่าลูกหลานของชายชรา ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้า หญิงสาวรู้สึกโกรธแทนชายชราผู้อาภัพทำไมพ่อแม่ถึงเลี้ยงลูกทีละ 5-6 คนได้ แต่ลูกๆ กลับดูแลพ่อแม่แค่เพียงสองคนไม่ได้ ฟังๆ แล้วหญิงสาวยิ่งเจ็บใจจนต้องขบเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความโมโห พอหันมามองชายชราที่นั่งคู่กันซึ่งกำลังมองเธออย่างงงๆ แกมคาดไม่ถึงก็รู้สึกตัวว่าตนเองนั้นใส่อารมณ์มากเกินไปจึงได้ยกมือไหว้ขอโทษอีกฝ่าย
“เอ่อ...คุณลุงคะ น้ำค้างขอโทษด้วยค่ะ จริงๆ แล้วน้ำค้างไม่ควรไปต่อว่าลูกหลานของคุณลุงแบบนั้น”
ชายชรายิ้มกว้าง รู้ว่าการที่หญิงสาวแสนสวยยกมือพนมตรงอก พร้อมกับโน้มศีรษะลงเล็กน้อยนั้นเป็นการไหว้แบบไทยๆ ซึ่งดูงดงามอ่อนช้อยยิ่งนัก เขาได้เอื้อมมือที่สั่นเทาไปจับมือเล็กทั้งสองมาจับไว้แล้วเอ่ยตอบให้หญิงสาวได้สบายใจ
“คุณหนูน้ำค้างไม่ต้องกังวลว่าลุงจะโกรธหรอกครับ”
“คุณลุงไม่โกรธน้ำค้างหรือคะ”
นาราพรรณเอ่ยถามน้ำเสียงติดกังวล โดยไม่ลืมชักมือกลับอย่างช้าๆ เป็นไปอย่างนุ่มนวล เมื่อความรู้สึกแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่ถูกชายชราผู้นี้แตะที่ต้นแขนได้แล่นเข้ามาสู่หัวใจอีกครั้ง
“ลุงไม่โกรธหรอกครับ แต่ตรงกันข้ามลุงกำลังดีใจที่มีคนเห็นความสำคัญ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนลุงแบบนี้ จะว่าไปเกือบห้าปีแล้ว ที่ลุงไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากคนอื่นมาก่อน”
ชายชราตอบเสียงเศร้าๆ ดวงตาที่เริ่มฝ้ามัวมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอให้เห็นชั่วขณะ
นาราพรรณคลี่ยิ้มอย่างโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ติดใจ เรื่องที่เธอไปต่อว่าลูกหลานของท่าน นี่ถ้าหากพี่สาวทั้งสองรวมทั้งป้าจัน คนเก่าคนแก่ซึ่งเลี้ยงดูพวกเธอ สามพี่น้องมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเธอไปต่อว่าด่าคนอื่นทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเสียยกใหญ่ เธอคงถูกป้าจันกับพี่สาวทั้งสองหยิกเนื้อเขียวเป็นแน่
“ตะกี้คุณลุงบอกน้ำค้างว่ากำลังจะกลับบ้าน คุณลุงทำธุระเสร็จแล้วหรือคะ”
ชายชราถอนหายใจหนักหน่วงโดยไม่เกรงใจคู่สนทนาแสนสวย ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเศร้าระคนโกรธเคืองคนที่ตนเองเพิ่งไปพบมา
“ธุระของลุงยังไม่เสร็จหรอกครับ เพราะลุงยังไม่ทันได้เข้าไปในหอศิลป์ ก็ถูกเหล่าองครักษ์ของเจ้าชายชารีฟร์กันออกมาจากหอศิลป์เสียก่อน”
“เจ้าชายชารีฟร์เป็นอนุชาองค์เล็กของเจ้าชายฮารีฟร์ใช่ไหมคะ”
นาราพรรณถามเพื่อความมั่นใจ ทั้งๆ ที่พอจะรู้มาบ้างแล้ว หญิงสาวพยายามนึกถึงเจ้าของผลงานภาพวาดอันลือชื่อ ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร เพราะตั้งแต่มาถึงอัลนูรีน เธอยังไม่มีโอกาสได้พบเจ้าชายพระองค์นี้สักที ในวันที่เดิน
ทางมาถึงอัลนูรีนก็มีเพียงเจ้าชายฮารีฟร์กับเจ้าชายซารีฟร์ที่ไปรอรับครอบครัวของเธอถึงที่สนามบิน
ชายชราพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยขยายความ “ใช่แล้วครับ เจ้าชายชารีฟร์อนุชาต่างพระมารดากับเชษฐาทั้งสองซึ่งเป็นคนไทย ส่วนเจ้าชายชารีฟร์เป็นพระโอรสองค์เล็กของเจ้าชายอะลี อัล ริฟาอีลส์ ที่เกิดกับท่านมานีนาที่เป็นชาวอัลนูรีนโดยแท้”
“แหม!...คุณลุงรู้เรื่องดีจังเลย ราวกับเป็นคนในพระราชวังยังไงยังงั้น”
นาราพรรณแซวยิ้มๆ ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไหร่ ที่ราษฎรในประเทศจะรู้เรื่องราวของประมุขและพระบรมศานุวงศ์ ที่พวกเขาเคารพรัก
ชายชราหัวเราะเบาๆ กับคำแซวของสาวน้อยแสนสวย “เรื่องของเจ้าชายทั้งสามพระองค์เป็นที่รู้กันดีทั่วทั้งอัลนูรีน เพราะเจ้าชายอะลีไม่ได้ปิดบังราษฎรของพระองค์ ซึ่งพวกเราๆ ชาวอัลนูรีนก็ให้ความเคารพรักเจ้าชายทั้งสามพระองค์อย่างเท่าเทียมกัน”
“ที่คุณลุงบอกว่าถูกองครักษ์ของเจ้าชายกันออกมาจากหอศิลป์ เป็นเพราะเรื่องอะไรกันคะ”
นาราพรรณวกกลับมายังเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ ด้วยอยากรู้เหลือเกินว่าชายชราผู้นี้ไปทำอะไรที่หอศิลป์จนถูกไล่ออกมา เพราะถ้าหากไปดูภาพวาดเฉยๆ คงไม่ถูกเหล่าองครักษ์เชิญออกมาแน่นอน
ชายชราถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเศร้า ทว่าแฝงไปด้วยความโกรธเคือง
“ลุงจะเอาภาพวาดฝีมือกระจอกๆ ของลุง ไปถวายให้กับเจ้าชายชารีฟร์ แต่ไม่ทันได้เข้าถึงตัวพระองค์ องครักษ์คาซิมม์ ซึ่งลุงคิดว่าเป็นองครักษ์เอกของเจ้าชายชารีฟร์ได้ไล่ลุงออกมาจากหอศิลป์ โดยที่ลุงยังไม่ได้เข้าถึงตัวเจ้าชายเลย”
“น้ำค้างว่าอย่าไปโทษองครักษ์เลยค่ะ เพราะถ้าหากเจ้าชายชารีฟร์ไม่มีคำสั่งออกมา เหล่าองครักษ์คงไม่ทำอะไรโดยพละการ”
นาราพรรณต่อว่าอย่างโกรธๆ รู้สึกไม่ค่อยชอบเจ้าชายผู้นี้ขึ้นมาตงิดๆ หากแม้นไม่มีคำสั่งจากเจ้านาย ไฉนเลยเหล่าองครักษ์จะกล้าทำในสิ่งที่อาจเอื้อมเหนือคำสั่ง
“ว่าแต่ว่าคุณลุงเอาภาพอะไรไปถวายเจ้าชายค่ะ ขอน้ำค้างดูหน่อยได้ไหมคะ”
นาราพรรณร้องขออีกครั้ง โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เธอได้ยลโฉมสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนสักที หลังจากที่ขอดูตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ชายชราก็ชวนคุยเรื่องอื่นจนเธอลืมเรื่องภาพวาดไปแล้ว
“ได้สิครับ หากชอบหรือไม่ชอบก็วิจารณ์ภาพวาดฝีมือกระจอกๆ ของลุงได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
ชายชราเอ่ยนำทาง ก่อนจะค่อยๆ พลิกกระดานไม้ที่กอดแน่นให้หันมาทางสาวน้อยซึ่งได้เบิกตาโตด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้เห็นภาพวาดอันงดงาม
“โอ้!...งดงามมากเลยค่ะ”
นาราพรรณเอื้อมมือที่สั่นเล็กน้อยไปแตะบางเบาตรงภาพวาดดงดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งบานสะพรั่งล้อคลื่นลมอยู่ในแหล่งน้ำที่เรียกว่าโอเอซิสอันถูกโอบล้อมด้วยทะเลทรายนับแสนนับล้านเม็ด
“สวยมากๆ เลยค่ะคุณลุง ดอกกุหลาบสีแดงช่างดูโดดเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางทะเลทรายเช่นนี้”
หญิงสาวแตะปลายนิ้วไปบนภาพดอกกุหลาบดอกหนึ่ง ซึ่งถูกวาดให้ใหญ่กว่าดอกอื่นๆ ราวกับจิตรกรผู้วาด จงใจบอกให้รู้ว่าดอกนี้คือดอกกุหลาบที่เป็นดั่งนางพญา มีดอกอื่นๆ รายล้อมเป็นดั่งบริวาร
เจ้าของภาพวาดยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อได้รับคำชมจากสาวน้อยแสนสวย ที่ดูท่าว่าจะรู้เรื่องงานศิลปะอยู่ไม่น้อย
“คุณหนูน้ำค้างคิดว่าภาพวาดฝีมือลุงสวยจริงๆ หรือครับ”
“สวยมากๆ ค่ะคุณลุง น้ำค้างไม่ได้แกล้งชมเพื่อให้คุณลุงดีใจ ภาพวาดฝีมือคุณลุงดูงดงาม เส้นสีที่ตวัดลงไปดูกลมกลืนกันโดยไม่มีที่ติจริงๆ”
นาราพรรณมองภาพวาดโดยรวม พร้อมกันนั้นก็เอ่ยชมอย่างจริงใจ โดยลืมลงรายละเอียดไปนิดหนึ่งว่า บางทีภาพวาดก็สามารถสื่ออารมณ์รัก โลภ โกรธ ของจิตรกรผู้วาดได้เช่นเดียวกัน
“แค่คุณหนูน้ำค้างบอกว่าภาพวาดผลงานของลุงดูสวยงามลุงก็ดีใจแล้ว แต่ลุงก็ยังเสียดายอยู่บ้าง ที่ไม่ได้ถวายภาพวาดชิ้นนี้ให้กับเจ้าชายชารีฟร์”
ชายชราบอกเสียงเศร้าๆ แล้วทำท่าจะดึงภาพวาดมากอดไว้เหมือนเดิม แต่ก็ถูกมือเล็กของนาราพรรณจับยึดไว้เสียก่อน
“เอาแบบนี้ดีไหมคะคุณลุง น้ำค้างกำลังจะไปที่หอศิลป์ เดี๋ยวน้ำค้างจะเอาไปถวายให้เจ้าชายชารีฟร์เอง”
นาราพรรณอาสาอย่างใจดี พอได้เห็นรอยยิ้มกว้างที่ประดับทั่วใบหน้าของชายชราก็รู้สึกดีที่ตนเองสามารถสร้างรอยยิ้มให้กับคนแก่ได้ แต่ในใจก็มีหวั่นๆ ด้วยไม่แน่ใจว่าเจ้าชายชารีฟร์จะยอมรับภาพวาดหรือเปล่า
“โอ้! ลุงดีใจเหลือเกินที่คุณหนูน้ำค้างรับอาสาทำให้ความฝันของลุงเป็นจริง ลุงขอแค่เพียงเจ้าชายชารีฟร์ได้ทอดมองภาพวาดแค่เพียงครู่เดียวลุงก็ดีใจมากแล้ว แต่ลุงเกรงว่าเจ้าชายจะไม่รับภาพนี้ หากรู้ว่าเป็นฝีมือของลุง ถ้าไม่ลำบากเกินไป คุณหนูน้ำค้างช่วยอุปโลกน์ว่าภาพวาดภาพนี้เป็นของคุณหนูได้หรือเปล่า”
ชายชรารีบยกภาพวาดฝีมือของตนเองไปวางบนตักของสาวน้อยโดยไม่รอช้า แล้วทอดสายตาเศร้าๆ มองสาวน้อยน่ารักจากแดนไกลอย่างรอคอยให้อีกฝ่ายตอบรับคำขอร้องของตนเอง
“เอ่อ...”
นาราพรรณอึกอักไม่กล้าตอบรับในสิ่งที่อีกฝ่ายได้ร้องขอ หากให้เธอนำไปถวายเจ้าชายชารีฟร์นั้นเธอเต็มใจที่จะช่วยเหลืออย่างยิ่ง แต่นี่เจ้าของภาพวาดเล่นให้เธอรับสมอ้างว่าภาพดังกล่าวเป็นฝีมือของเธอเองเช่นนี้ก็เล่นเอาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“คุณหนูอย่าลังเลเลยครับ ทำตาที่ลุงขอร้องเถอะ หากคุณหนูซึ่งเป็นประยูรญาติของเจ้าชายได้ถวายภาพวาดให้เจ้าชายชารีฟร์คงไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน”
สุ้มเสียงที่ขอร้องเศร้าๆ กอปรกับนัยน์ตาที่ฉายแววหม่นหมอง เมื่อไม่ได้ยินคำตอบรับสักที ทำเอานาราพรรณใจอ่อนยอมตอบตกลงในที่สุด
“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวน้ำค้างจะบอกว่าภาพวาดดงดอกกุหลาบแดงนี้เป็นฝีมือของน้ำค้างเอง”
“ขอบคุณคุณหนูน้ำค้างมาก ลุงออกมาจากบ้านนานแล้วคงต้องขอตัวกลับสักที”
ชายชรายิ้มกว้างพลางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วผิดจากกริยาก่อนหน้านี้ยิ่งนัก จากนั้นก็ได้ชี้นิ้วบอกทางไปยังหอศิลป์
“คุณหนูน้ำค้างเดินไปทางนี้อีกราวๆ สองแยกไฟแดงก็จะเจอหอศิลป์แล้ว”
นาราพรรณหันไปมองตามปลายนิ้วของอีกฝ่ายที่ชี้นำทาง พอหันกลับมาอีกทีชายชราคนดังกล่าวก็เดินเร็วๆ ข้ามถนนไปอยู่อีกฝากหนึ่งของถนนเสียแล้ว
“คุณลุง! เดี๋ยวก่อนสิคะ”
นาราพรรณตะโกนเรียกพลางวางภาพวาดบนเก้าอี้ตัวยาว แล้วรีบวิ่งไปที่ขอบฟุตบาททำท่าจะข้ามไปหาอีกฝ่ายแต่ด้วยรถราที่วิ่งไปมาอย่างรวดเร็วติดๆ กันหลายคันทำให้หญิงสาวทำตามที่ใจนึกไม่ได้
“คุณลุงคะ น้ำค้างจะมีโอกาสได้พบคุณลุงอีกหรือเปล่า”
หญิงสาวตะโกนถามรัวเร็วเป็นการยับยั้งไม่ให้ชายชราที่ตนเองลืมถามชื่อเสียงเรียงนามได้ก้าวเดินหนี
“ได้พบแน่นอน เราต้องได้พบกันแน่คุณหนูน้ำค้าง”
ชายชราตะโกนตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มเย็น ก่อนจะเดินปะปนไปกับฝูงชนอย่างรวดเร็ว โดยที่นาราพรรณห้ามไว้ไม่ทัน
“อะไรของเขาน่ะ บทจะมา ก็มาเงียบๆ บทจะไป ก็ไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย”
นาราพรรณบ่นงึมงำขณะเดินกลับมาที่ม้านั่งแล้วยกมือลูบแขนตัวเองเบาๆ ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง เมื่อความรู้สึกก่อนหน้านี้ ตอนที่มีชายชรานั่งอยู่ด้วยได้หายไปราวกับปลิดทิ้ง
“คิดมากอีกแล้วเรา”
หญิงสาวต่อว่าตนเอง ก่อนจะหยิบภาพขึ้นมาพิจารณาดูใกล้ๆ แล้วหลับตานิ่งเมื่อรู้สึกว่าได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่โชยมากระทบจมูก ทำให้รู้สึกวิงเวียนจนต้องยกมือคลึงขมับให้หายจากอาการดังกล่าว
“ใครฉีดน้ำหอมแถวนี้น่ะ ทำไมได้กลิ่นแล้วปวดหัวจังเลย”
นาราพรรณหลับตานิ่งอยู่นานหลายนาที ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังทิศทางที่ตั้งของหอศิลป์ ที่ชายชราได้บอกไว้ โดยไม่ลืมกอดกระชับภาพวาดติดมือมา เพื่อนำไปถวายให้เจ้าชายชารีฟร์ตามความต้องการของเจ้าของภาพวาด