บทที่ 9
“เจ้ส่งข้อความมาบอกผมได้สักพักแล้วล่ะครับ ว่าจะนั่งรออยู่หน้าห้องอาหารเพราะไม่อยากเข้ามารบกวนเวลารับประทานอาหารของเฮียกับคุณแบล็กกลางคัน ตอนนี้พี่ทิวาก็น่าจะหาอะไรรองท้องให้กินไปก่อนแล้ว”
จิณวัฒน์รีบรายงานผู้เป็นนายอย่างรู้งาน ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้ลูวินซ์ที่กำลังนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่บนเก้าอี้คล้ายกับว่ายังไม่อยากจะลุกไปไหน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน” ราชิตเอ่ยขึ้น
“อ้าว ไหนๆ ผู้หญิงของคุณก็มาแล้ว จะรีบไปไหนล่ะ”
“ผมมีนัดกับลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท ไว้คราวหน้าจะเลี้ยงต้อนรับคุณใหม่ก็แล้วกัน”
ลูวินซ์แกล้งไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ทว่าสายตาของเขากลับจับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องอาหารไม่วางตา และได้แต่ภาวนาในใจซ้ำๆ ว่าขออย่าให้ตอนที่เขามีความรัก แล้วมีอาการอย่างอีกฝ่ายทีเถอะ
เจ้าของเรือนร่างแบบบางกำลังยืนชะเง้อเข้ามาภายในห้องอาหารเพื่อรอให้คนข้างในเดินออกมา และทันทีที่ประตูเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าของใบหน้าคมดุที่กำลังเดินทำหน้าบอกบุญไม่รับออกมานั้น รอยยิ้มสดใสก็แต่งแต้มขึ้นมาบนใบหน้าของเธอทันที
“การเจรจาธุรกิจเป็นยังไงบ้างคะ ไหนจินบอกว่าเฮียกับคุณแบล็กสนิทกันไง ทำไมถึงเดินทำหน้าบูดเป็นตูดออกมาแบบนี้ละคะ” ลดาถามขึ้นด้วยความสงสัย และก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างคนที่เธอพึ่งตั้งคำถามออกไปเมื่อสักครู่
ทว่าคนตัวโตไม่ได้คิดจะตอบคำถามของสาวเจ้าเลยแม้แต่น้อย เพราะเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นเรื่องของเธอกับลูกชายคนเล็กของผู้นำตระกูลจางคนนั้นต่างหาก
“ไปรู้จักกับจางหงได้ยังไง”
“หืม?”
“เราน่ะ ไปรู้จักกับไอ้จางหงนั่นได้ยังไง บอกเฮียมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลยนะอาหลิง” ราชิตคาดคั้นเสียงเย็น แต่คู่สนทนากลับยืนยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านต่อท่าทางไม่พอใจของเขาเสียนี่
“เพื่อนที่มหา’ ลัยค่ะ”
“สนิทกันจนออกนอกหน้าซะขนาดนั้น อย่ามาโกหกเฮียนะอาหลิง” เขาว่าต่อ
“เพื่อนในคณะ”
“อาหลิง”
ราชิตเรียกชื่อของคนที่ไม่ยอมตอบคำถามของเขาอย่างตรงไปตรงมา พร้อมทั้งใช้สายตาคมดุจ้องมองอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ขณะที่ก้าวขายาวๆ ขึ้นรถ
“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ ลัย แล้วก็เรียนคณะเดียวกันจริงๆ นี่ เรียนที่เดียวกันมาตั้งแต่ปริญญาตรีนู้นแล้ว แค่ตอนนั้นเฮียกำลังยุ่งๆ ก็เลยไม่ทันได้รู้จักกับเรดเฉยๆ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยเนี่ย เค้ากับเรดไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งร้อนแรงอะไรกันเหมือนเฮียกับคุณริสานั่นหรอกน่า” ร่างบางร่ายยาวเพราะเริ่มจะหงุดหงิด ยิ่งพูดถึงความสัมพันธ์ของคนตรงหน้ากับษริสา เธอก็ยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่
“เราก็รู้นี่ว่า…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เฮียมีสะพานของเฮีย เค้าก็มีสะพานของเค้าเหมือนกัน” ลดาพูดแทรกขึ้นมาทันควัน ก่อนจะขอสลับที่นั่งกับจิณวัฒน์ด้วยการขยับลุกขึ้น และออกคำสั่งกับอีกฝ่ายผ่านทางสายตา
หลังจากการเปลี่ยนที่นั่ง โดยที่จิณวัฒน์ต้องรับศึกหนักด้วยการนั่งตรงกลางระหว่างทั้งคู่เสร็จสิ้นลง ทิวาก็เริ่มออกรถโดยไม่คิดที่จะเอ่ยปากถามผู้เป็นนายเลยแม้แต่คำเดียว เพราะขืนมีคำพูดใดหลุดลอดออกไปละก็ อาจจะมีกระสุนลอยมาปลิดชีพเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้
“เจ้!” คนที่อายุน้อยที่สุดในวงสนทนาเอ่ยขึ้น
“ว่าไง”
“เจ้ยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรอ หิวไหม”
“ไม่”
คำตอบที่ทั้งห้วนทั้งสั้นของลดา ทำให้คนที่ตั้งใจจะลดทอนบรรยากาศอึมครึมลงได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และจำใจปล่อยให้ทั้งคู่ทำสงครามประสาทกันต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก
อ่า… บางทีเขาอาจจะต้องโทรทางไกลไปเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง และขอคำแนะนำว่าควรจะหาทางออกให้ทั้งสองคนอย่างไรดี