บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

… 20 ปี ต่อมา…

ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

ฝ่ามือเย็นเฉียบยื่นออกไปแตะเข้ากับแก้มเนียนกระจ่างใสของคนที่กำลังนอนขดตัวรอเขาอยู่บนโซฟาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่สงสัยว่ามือของเขาจะเย็นมากเกินไปล่ะมั้ง ดวงตาสีอ่อนคู่สวยถึงได้เปิดขึ้นมาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาราวกับว่ารู้สึกขัดอกขัดใจเสียเต็มประดา

“ว่าไง ทำไมมองเฮียด้วยสายตาแบบนี้” ราชิตเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ ก่อนจะขยับไปนั่งที่โซฟาข้างๆ

“ไปฮ่องกงคราวนี้ ไปทำอะไรมาบ้างคะ” เสียงห้วนเอ่ยถาม

“ธุรกิจ”

“แน่ใจนะคะ ว่าแค่เรื่องธุรกิจ” ร่างบางถามย้ำ พร้อมทั้งขยับเข้าไปจ้องหน้าเขาใกล้ๆ เพื่อตรวจหาความผิดปกติบนใบหน้าหล่อเหลาได้อย่างถนัดถนี่ยิ่งขึ้น

ราชิตพยักหน้ารับอย่างใจเย็นและยกมือขึ้นมาปลดเนกไทสีกรมท่าออกไปจากคอ แล้วเอามันพาดไว้กับพนักวางแขนของโซฟาด้วยสีหน้าและท่าทางอ่อนล้าอย่างยากที่ใครจะได้เห็น นอกจากคนในครอบครัวของเทียนเหิงกับหญิงสาวตรงหน้า

“คิดว่าเฮียจะแอบกลับไปแก้แค้นคนเดียวซะอีก”

ทันทีที่ได้ยินคำตัดพ้อของคู่สนทนา กำปั้นขนาดใหญ่ก็ทุบลงมาบนศีรษะเล็กด้วยน้ำหนักที่ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไปนัก แต่เมื่อมันเป็นเรี่ยวแรงจากมือของราชิต มีหรือที่ยายตัวดีของเขาจะไม่แกล้งร้องโอดโอยราวกับโดนค้อนทุบ

“โอ๊ยย! เจ็บนะเฮีย”

“เจ็บบ้าอะไร ถ้าแค่นี้เจ็บก็ไม่ต้องคิดจะกลับไปแก้แค้นใครที่ฮ่องกงเลยนะ” เขาว่า

และเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าจะไม่ให้เธอกลับไปแก้แค้นแทนบิดามารดาที่ฮ่องกงกับเขา คนตัวเล็กก็รีบกระโจนเข้าไปนั่งเบียดร่างสูงและกอดแขนแกร่งเอาไว้แน่นเพื่อออดอ้อนเป็นการใหญ่ เธอรอเวลาจะแก้แค้นคนที่ทำลายตระกูลหลานและเข่นฆ่าพ่อแม่เธออย่างเลือดเย็นมายี่สิบปีเต็มๆ จะยอมอยู่เฉยๆ ให้ราชิตจับขังไว้ที่บ้านได้ยังไง

“ไม่ได้นะเฮีย ไหนเฮียสัญญาแล้วไงว่าเราจะกลับไปแก้แค้นด้วยกัน เฮียต้องรักษาคำพูดสิ”

ลดาหยิบยกคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ก่อนที่เทียนเหิงจะพาทุกคนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งตัวใหม่ที่ประเทศไทยด้วยสีหน้างอง้ำ เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องกลับไปแก้แค้นแทนบิดามารดา และสร้างตระกูลหลานขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้ได้

“ทำเป็นพูดดี เวลาผ่านมาตั้งยี่สิบปี เราเริ่มต้นจากคนที่ไม่มีอะไรเลยมาจนป่านนี้ได้ ไม่คิดว่าศัตรูที่มันฆ่าล้างตระกูลเราจะยิ่งใหญ่กว่าเดิมบ้างหรือไง วันๆ เอาแต่กินๆ นอนๆ จนจะอ้วนเป็นหมูอยู่แล้ว ไปหัดยิงปืนให้แม่นก่อนเถอะอาหลิง แล้วค่อยคิดจะแก้แค้น” เขาว่าพลางยกมือขึ้นมาหมายจะดีดเข้าที่หน้าผากมน แต่กลับถูกคู่สนทนาหยุดมันไว้กลางอากาศเสียก่อน

“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะเฮีย ไม่เจอกันตั้งเกือบปี ถือดีอะไรมาดูถูกเค้า”

“ก็ถือดีที่ว่าเฮียจับปืนมาก่อนเราตั้งสามสิบปี แถมยังเป็นคนสอนเรายิงปืนด้วยน่ะสิ” ราชิตบอกกลั้วหัวเราะ เพราะเขาสามารถใช้มืออีกข้างดีดหน้าผากของลดาได้สำเร็จ

“โอ๊ย! นี่เป็นอะไรกับหน้าผากเค้านักหนาเนี่ย ดีดจนจะโง่อยู่แล้วนะ เฮียจับปืนตั้งแต่ห้าขวบแล้วยังไง เค้าก็เริ่มจับปืนตั้งแต่เจ็ดขวบเหมือนกันนั่นแหละ” ร่างบางโต้กลับ ก่อนจะขยับไปนั่งที่โซฟาตัวเดิมด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่คนโตกว่ากลับเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหาเธอเองเสียนี่ “อะไร มองหน้าเค้าทำไม”

“เปล่า”

“จะเปล่าได้ยังไงก็เฮีย…”

“กินข้าวหรือยัง” ราชิตถามขัดขึ้น

“คะ?”

“กิน-ข้าว” ร่างสูงเอ่ยย้ำทีละคำด้วยคำพูดที่สั้นลงกว่าเดิม

“กินแล้ว ไปกินที่บ้านน้าลีมา เฮียล่ะ ไปกินข้าวกับคุณริสาของเฮียมาหรือยัง” ลดาถามพลางเหน็บไปถึงษริสา

ผู้ช่วยเลขาของราชิตที่ชอบแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาต่อหน้าทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งกับเธอที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้จักในฐานะน้องสาวของราชิต เป็นเหตุให้ลดารู้สึกไม่ถูกชะตากับษริสาเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากเหตุผลบางอย่างเธอจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายวนเวียนอยู่ในชีวิตของตนเองและพี่ชายบุญธรรมมาเกือบห้าปี โดยไม่ได้กำจัดออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ก่อนจะโยนเสื้อสูทตัวนอกไปคลุมหัวคู่สนทนาด้วยความหมั่นไส้

“ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เที่ยงแล้ว”

“คุณริสาเขาไม่หาข้าวให้กินบ้างหรือไงห๊า โอ๊ะ! หรือว่ากินกันจนอิ่มแล้ว” หญิงสาวที่พึ่งดึงเสื้อสูทตัวนอกออกจากศีรษะได้สำเร็จเอ่ยถามพลางเล่นหูเล่นตาล้อเลียนคู่สนทนาไปด้วย

“คิดอะไรไม่เข้าท่า”

“เหอะ! จะท่าไหนก็เรื่องของเฮียกับยัยคุณริสานั่นเถอะ ไม่ได้สนใจจะรู้ ก็แค่หมั่นไส้เป็นการส่วนตัวเฉยๆ”

คนตัวโตที่เข้าใจดีว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังเอ่ยถึงเรื่องใต้สะดือของเขากับผู้ช่วยเลขาก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหัวเสีย เพราะสาเหตุที่เขายอมมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้หญิงคนนั้นก็เพื่อความแนบเนียนในการใช้อีกฝ่ายเป็นสะพานเพื่อเข้าใกล้ศัตรูมากยิ่งขึ้น ไม่ได้มีความรู้สึกพิศวาสในเชิงชู้สาวรวมอยู่ด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว

“เฮียกลับมาแล้ว แล้วจินล่ะ”

ร่างบางถามถึงจิณวัฒน์ ลูกชายของเทียนเหิงกับมาลี ที่ทั้งคู่เอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ ที่คลานตามกันมา

“กลับไปกินข้าวฝีมือน้าลีแล้วสิ”

ลดาพยักหน้ารับ

เนื่องจากจิณวัฒน์หรือเทียนจินทำงานในตำแหน่งเลขาและมือซ้ายของคนตรงหน้า ในขณะที่บิดาของอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นมือขวา ไม่ว่าราชิตจะไปที่ไหน ก็มักจะมีจิณวัฒน์ติดตามไปด้วยทุกที่ราวกับเป็นเงาตัวตาม พวกเขาทั้งคู่จึงผูกพันรักใคร่กันมากกว่าเจ้านายกับลูกน้องคนอื่นๆ

“ถ้าอย่างนั้นเค้าไปบ้านน้าลีดีกว่า” เธอว่า ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

“ไปทำไม”

“ไปหาจิน”

ราชิตยกมือขึ้นมาหมายจะดีดหน้าผากมนอีกครั้ง แต่คนตรงหน้ากลับเบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างหวุดหวิด

“ของที่ฝากจินซื้ออยู่นี่แล้ว ปล่อยให้พ่อแม่ลูกเขาอยู่ด้วยกันบ้าง” เขาว่าพลางโยนกล่องนาฬิกาขนาดเท่าฝ่ามือมาให้คนตรงหน้า ก่อนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก

“เฮีย!”

“อะไร” คนที่เกือบจะเดินขึ้นไปถึงขั้นบนสุดของบันไดตะโกนถาม

“ขอบคุณนะ”

“อืม”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel