บทย่อ
เมื่อเธอหลุดเข้าไปในนิยายเรื่องที่ตัวเองเป็นคนเขียนและต้องปะทะคารมกับพระรองนิสัยสุดเถื่อนที่เธอแต่งขึ้นมาเองกับมือ 'ถ้าพระเจ้าจะส่งฉันมาเจอนายไฟนรกโลกัณฑ์นี่ ส่งฉันไปหายมบาลเถอะค่ะ'
บทนำ
“มึง! มันสนุกมากเลยอะ กูอ่านจบแล้ว”
“จริงเหรอ งื้ออ~ กูน้ำตาจะไหล”
มะนาวเพื่อนสาวคนสนิทเดินพุ่งมาที่โต๊ะเรียนของฉันทันทีที่มาถึงห้องเรียน ต้นเหตุก็เพราะนิยายเรื่องล่าสุดที่ฉันตั้งใจเขียนเพื่อจะส่งสำนักพิมพ์และเป็นผลงานในการขอโควตาเข้าคณะวารสารศาสตร์ที่ใฝ่ฝันไว้มานาน
“ฉันชอบมากเลย แต่แอบเสียดายนะอยากให้คุณไฟเป็นพระเอก”
“แกมันซาดิสม์”
“ก็ฉันชอบแบบ หล่อ เลว แบดบอย อร๊ายย~”
มะนาวพูดพลางแสดงท่าทางเขินแบบสุดๆ กับพระรองในเรื่องของฉัน
ฉันเริ่มเขียนนิยายตอนอายุสิบหกเพราะความเพ้อฝันและความมโนเต็มเปี่ยมที่อยากมีพระเอกในดวงใจแบบในนิยายของตัวเอง จนตอนนี้ฉันกำลังจะอายุสิบแปดปีในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า ก็มีสำนักพิมพ์มาติดต่อให้ฉันเซ็นสัญญาเพราะนิยายเรื่องใหม่ของฉันนี่แหละ
“แล้วตกลงว่ามึงบอกแม่แล้วเหรอ เรื่องเรียนมหา’ ลัย”
“กู...กะว่าจะขอแม่เป็นของขวัญวันเกิดวะ”
ระหว่างทางเดินกลับบ้านฉันคิดเรื่องนี้มาตลอด แม่ไม่อยากให้ฉันเรียนต่อมหาวิทยาลัย เพราะแม่ไม่มีเงินส่งฉันเรียนแล้ว
กรี๊ดดดดดดด!
“แม่!”
เสียงแม่ดังออกมาจากในบ้าน พร้อมกับเสียงเอะอะโวยวายดังไปหมด ฉันรีบวิ่งเข้าไปในบ้านภาพที่เห็นคือพวกผู้ชายสี่คนกำลังทุบทำลายข้าวของในบ้านของฉัน
“แม่! พวกมันมาพังบ้านเราทำไม”
“มันหาเงินน่ะสิ พ่อมึงบอกว่าเงินอยู่ในบ้าน”
“เงินเหรอ มีเงินที่ไหนกัน แล้วพ่ออยู่ไหน”
“พ่อมึงมันหนีไปแล้ว”
พัง!
“กรี๊ดด”
หนึ่งในผู้ชายพวกนั้นมันโยนกล่องอะไรก็ไม่รู้ลงมาใส่แม่
“เงินอยู่ไหน!”
“กูบอกพวกมึงแล้วไงว่าไม่มี!”
“มึงอย่ามาตอแหล”
“หยุดนะ! ถ้ามึงทำอะไรแม่กู กูจะแจ้งตำรวจ”
ผู้ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาจะตบหน้าแม่ฉัน แต่ฉันเอาตัวเองเข้าไปบังไว้ก่อน
“ฮ่าๆๆ มึงได้ยินไหม มันบอกว่ามันจะแจ้งตำรวจ”
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วพวกมันก็รวมกลุ่มกันหัวเราะ ขำอะไรนักหนาวะ
“เอาสิ! มึงไปเรียกมาเลย แต่เรียกมาเก็บศพแม่มึงนะ”
“กรี๊ดดด”
มันชักปืนออกมาจ่อที่หัวแม่ โอ๊ยยย~ รีบมาสักทีสิคุณตำรวจ
“ถ้ามึงยังอยากมีชีวิตอยู่ ก็รีบเอาเงินมาคืนนายกูซะ”
“ต่อให้มึงยิงกูให้ตายตอนนี้ กูก็ไม่รู้หรอกว่าเงินอยู่ที่ไหน แล้วกูก็ไม่รู้จะหาจากไหนไปให้มึง”
พลั่ก!
“แม่!”
มันเอาด้ามปืนตบเข้าเต็มๆ ที่หน้าแม่
“มึงง!”
ผัวะ!
“มึงกล้าต่อยกูเหรอ”
พลั่ก!
‘หยุดนะ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ’
เสียงตะโกนจากหน้าบ้านทำให้พวกมันรีบวิ่งหนีออกไปทางหลังบ้านทันที แต่ก็ไม่วายส่งสายตาอาฆาตมาให้ฉันกับแม่อยู่ดี
“แกโทรแจ้งตำรวจเหรอ”
“ฉันเองจ๊ะ”
นี่แหละคุณตำรวจที่ฉันรอ บีมเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของฉันเพราะเราอยู่บ้านตรงข้ามกัน และเขาคือต้นแบบพระเอกนิยายเรื่องล่าสุดของฉันด้วยล่ะ เอ่อ จริงๆ ฉันไม่ได้เป็นพวกเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อนะ แต่มันเป็นคนดี ดีจนควรจะเป็นพระเอกนิยายมากกว่าอยู่ในชีวิตจริง
“ไอบีม มึงไม่กลัวมันหรือไง”
“กลัวสิจ๊ะน้า แต่เป็นห่วงน้ากับไอแสบนี่มากกว่า”
“หึ”
หลังจากนั้นพวกเราก็ช่วยกันเก็บกวาดบ้านจนเสร็จ ฉันก็เดินออกมาส่งบีมหน้าบ้าน
“ขอบใจมึงมากนะเว้ย”
“เรื่องแค่นี้สบายมาก มึงอะตัวเล็กนิดเดียวอย่าทำเก่งไปหน่อยเลย”
มันพูดพลางผลักหัวฉันเบาๆ ซึ่งสิ่งที่ฉันตอบกลับไปก็คือ…
เพี๊ยะ!
กระโดดตบหัวมันกลับนั้นเอง
“ขอบใจมากเพื่อน ฮ่าๆ”
“มึงนี่ ลามปาม”
“ไปได้แล้ว กูจะกินข้าว”
“เออๆ”
ฉันเดินกลับเข้ามาในบ้านเห็นแม่กำลังทำไข่เจียวให้อยู่ ซึ่งมันเป็นไข่สองฟองสุดท้ายที่เหลืออยู่ในบ้านเราแล้วล่ะ
“มากินข้าวแล้วไปอ่านหนังสือไป”
“จ๊ะแม่ แล้วพ่อ..”
“มึงอย่ามาทำให้กูไม่มีอารมณ์กินข้าวได้ไหม”
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
“มึงรีบเปิดดูเร็วๆ ดิวะ”
“โอ๊ยยย ก็กูตื่นเต้นมึงเข้าใจไหมเนี้ย”
วันนี้เป็นวันประกาศผลโควตาเข้าเรียนคณะวารสารศาสตร์ ซึ่งมันก็ตรงกับวันเกิดฉันพอดิบพอดี ตอนนี้ฉันนั่งลุ้นกับมะนาวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว
“เอามานี่กูดูเอง”
มะนาวแย่งโทรศัพท์มือถือของฉันไปดูเอง แต่อยู่ๆ มันก็หน้าถอดสีขึ้นมา
“เขารับกี่คนวะ”
“หะ ห้าคน ทำไมวะ ไม่มีชื่อกูใช่ไหม”
เฮ้ออ~ ว่าแล้วเชียว
“อะ ดีใจด้วยนะมึง มึงได้ที่สอง”
มะนาวยื่นโทรศัพท์คืนมาให้ฉันพลางตบบ่าเบาๆ เพื่อปลอบใจ
“เออ ไม่เป็น.. หะ กะ กูได้ที่สองเหรอ”
ฉันรีบก้มลงดูในโทรศัพท์ทันที โควตาลำดับที่สอง
‘นางสาวพัชรินทร์ หนึ่งสวัสดิ์’
“กรี๊ดดดดดดดดดด กูติดแล้ว”
“เออออ ดีใจด้วยมึง”
ฉันลุกขึ้นกระโดดกอดมะนาวพร้อมกับกรี๊ดออกมาเสียงดัง ทำเอาคนที่นั่งอยู่แถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว แต่ใครจะไปสนใจล่ะ ก็ฉันดีใจนี่
“อะนี่ ของขวัญวันเกิดแล้วก็ยินดีกับมึงด้วย”
มะนาวยื่นสมุดเลคเชอร์หน้าปกสีชมพูที่ติดสติ๊กเกอร์การ์ตูนน่ารักมาให้ฉัน
“ขอบใจมากนะมึง”
ฉันรับมาเก็บสมุดลงในกระเป๋าแล้วเราก็ไปเข้าเรียนกันปกติ จนเลิกเรียนฉันรีบกลับบ้านทันที วันนี้ฉันจะต้องขอแม่เรียนต่อให้ได้ ในเมื่อแม่ไม่อยากให้ฉันเรียนเพราะไม่มีเงินส่ง แต่ฉันได้โควตาเรียนฟรีมาแล้ว แม่จะต้องให้ฉันเรียนต่อสิ ใช่มั้ย เฮ้อออ~ ฉันคุย
กับใครวะ
“จ๊ะเอ๋”
“ว้ายย ตาเถร! อิพริกกูตกใจหมด”
ฉันเดินเข้าไปจี้เอวแม่ที่กำลังนั่งร้อยมาลัยสำหรับขายเช้าวันพรุ่งนี้อยู่ ตอนเช้าแม่จะขายพวงมาลัยและน้ำเต้าหู้ ช่วงบ่ายก็ไปรับจ้างทำความสะอาดแล้วแต่ว่าเขาจะจ้างไปที่ไหน
“มาจ๊ะ ฉันช่วยร้อย”
“ไม่ไปอ่านหนังสือเหรอมึงอะ”
“โอ๊ย ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงสอบสักหน่อยแม่”
แม่หันไปมองปฏิทินที่ติดอยู่ข้างฝาบ้าน ก่อนจะหันกลับมามองหน้าฉัน
“วันนี้วันเกิดมึงนิ”
“โหหห~ แม่จำวันเกิดฉันได้ด้วยอะ”
“กูเจ็บเกือบตายทำไมจะจำไม่ได้”
“ฮ่าๆ ปีนี้ฉันอายุสิบแปดแล้วนะแม่ ขอของขวัญวันเกิดหน่อยจิ”
ฉันพูดพร้อมกับแบมือทั้งสองข้างไปข้างหน้าแม่
เพี๊ยะ!
“เอาตีนกูนี่”
“แม่อะ! แต่ไม่เป็นไรฉันเตรียมของขวัญมาเองเรียบร้อยแล้ว”
“ของขวัญอะไรของมึง”
ฉันหันไปหยิบโทรศัพท์เพื่อเปิดหน้าจอรายชื่อนักศึกษาผ่านโควตาเรียนฟรีให้แม่ดู
“นี่จ๊ะ”
“อะไร”
“ฉันผ่านโควตาเรียนฟรีคณะวารสารศาสตร์แล้วนะจ๊ะแม่”
แม่หยิบโทรศัพท์ไปดูแล้วหันกลับมามองหน้าฉัน
“ไปสละสิทธิ์”
“หา! ทำไมล่ะแม่”
แม่ไม่ตอบฉันแต่ก้มหน้าร้อยมาลัยเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ฉันพยายามมากขนาดนี้ทำไมแม่ไม่เห็นใจฉันบ้างล่ะ
“แม่ไม่อยากให้ฉันไปเรียนเพราะไม่มีเงินส่ง แต่ว่านี่ฉันได้เรียนฟรีแล้วนะ”
แม่ยังคงก้มหน้าร้อยมาลัยต่อไปไม่สนใจฉันที่ตอนนี้น้ำตาเริ่มเอ่อล้นขอบตาทั้งสองข้าง
“แม่บอกฉันสิ ว่าทำไมแม่ไม่อยากให้ฉันไปเรียนต่อ ถ้าแม่เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะก็ แม่ไม่ต้องกลัวเลยนะ ตอนนี้นิยายของฉันได้เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์แล้วด้วย อีกหน่อยเราก็จะมีเงินกันแล้วนะแม่”
“นี่มึงเอาเวลาที่กูส่งไปเรียนไปแต่งนิยายไร้สาระอะไรนั้นเหรอ ห๊ะ!”
“ไม่ไร้สาระนะแม่ ตอนนี้มันทำให้ฉันมีงานและมีที่เรียนต่อนะ”
“นักแต่งนิยายไส้แห้งแบบนั้นมันจะไปได้สักกี่น้ำ ที่กูพูดมาตลอดนี่มันไม่เข้าสมองมึงเลยใช่ไหม”
แม่พูดไปด้วยผลักหัวฉันไปด้วย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปที่ห้องนอนฉัน
“ไหน! ไอต้นฉบับอะไรของมึงมันอยู่ไหน ห๊ะ”
“อย่านะแม่ แม่จะทำอะไร”
ฉันรีบลุกขึ้นวิ่งตามเข้าไป ซึ่งแม่กำลังยืนฉีกกระดาษ
ต้นฉบับนิยายของฉัน ยิ่งพยายามแย่งกันมันก็ยิ่งขาด จนตอนนี้ต้นฉบับของฉันเหลือเพียงแค่เศษกระดาษที่หล่นกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง
“ฮือๆๆๆ ทำไมแม่ต้องทำกับฉันแบบนี้”
“คนจนๆ แบบเรามันไม่มีทางที่คนเขาจะยอมรับหรอก มึงเลิกหวังเป็นนักเขียนลมๆ แล้งๆ ของมึงได้แล้ว มึงต้องออกมาช่วยกูทำงาน ไม่ต้องเรียนต่อแล้ว”
“ฮือๆๆ แม่ใจร้าย”
“ใจร้ายเหรอ! ที่กูทนเลี้ยงมึงมาจนโต มาเถียงกูฉอดๆ แบบนี้ก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว มึงดูสิอาทิตย์หนึ่งแล้วที่พ่อมึงหายหัวไปเนี้ย กูยังใจร้ายอยู่อีกเหรอห๊ะ!”
แม่พูดพลางนั่งลงเขย่าไหล่ฉันทั้งสองข้าง
“ฮือๆๆ”
“อีพริก! เอออ! มึงจะไปตายที่ไหนก็ไปเลย”
ฉันตัดสินใจลุกขึ้นวิ่งออกมาจากบ้าน เสียงเรียกของแม่ที่ดังตามหลังมาไม่ได้ทำให้ฉันอยากเดินกลับเข้าไปเลย
ซ่า!
อยู่ๆ ฝนก็ตกกระหน่ำลงมา แต่ฉันก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าจะเดินไปที่ไหน ทั้งโทรศัพท์และกระเป๋าเงินก็ไม่ได้เอาออกมา
หึ! น่าตลกสิ้นดีที่เวลานี้ฉันยังคงคิดถึงกระเป๋าเงินทั้งที่ข้างในมันก็มีเงินอยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยบาทด้วยซ้ำ
ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนน!
เสียงบีบแตรรถดังยาวก่อนที่แสงไฟรถจะสาดส่องเข้ามาที่ฉันและไม่ทันที่จะได้ขยับตัวหนี
โครม!
นั้นคงเป็นภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนสติทุกอย่างจะดับวูบไป