บทที่ 9
“ผมจะไม่ยอมให้คุณทำให้เมเจอร์ต้องอับอายขายหน้าหรือเสียใจเป็นอันขาด” เขาเตือน
“รู้สึกว่าคุณช่างจงรักภักดีเสียเหลือเกินนะ” สิ่งที่ไดอาน่าต้องการทำอย่างที่สุดในเวลานี้คือ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้ใครสักคนฟัง...เธอได้หวังว่าตัวเองจะลืมมันลง แต่ก็รู้ว่าฮอลท์ มัลโลรี่ จะต้องเตือนใจให้เธอนึกถึงมันร่ำไป ไดอาน่าสะบัดหน้าหนีไปเสียทางหนึ่ง
“นั่นจะไปไหน?”
“ก็กลับขึ้นบ้านน่ะสิ”
“ยังไปไม่ได้ ไม่ใช่ในสภาพนี้” ฮอลท์ออกคำสั่งเฉียบขาด “ยืนนิ่งๆ “จากนั้นเขาก็ลงมือปัดเศษฟางที่ติดอยู่บนเสื้อผ้ากับบนเรือนผมของไดอาน่าออก เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้
“เอ้า...สั่งน้ำมูกเสีย”
“ฉันไม่ได้อยากสั่งนี่” ไดอาน่าปฏิเสธ กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาให้แห้ง เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูคอก เสียงฮอลท์ก็ดังตามหลังมาอีก
“จำไว้ให้ดีนะว่าผมพูดอะไรไว้บ้าง”
“ฉันไม่ใช่คนลืมอะไรง่ายดายนักหรอก” เธอตอบตามความเป็นจริง ความเจ็บปวดตรงก้นที่ถูกเขาตีไว้ ทำให้ไดอาน่าคิดว่า คืนนี้คงต้องนอนคว่ำทั้งคืนแน่
ไดอาน่าไม่ได้เอ่ยปากให้ใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเลยแม้แต่คนเดียว เธอแสร้งทำเป็นแปลกใจเมื่อเมเจอร์พูดขึ้น แสดงความเสียใจที่เคอร์ลี่ถูกไล่ออก แต่สำหรับผู้ที่เคยสังเกตว่าเธอเที่ยวตระเวนหาเขาไปทั่วไร่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างก็ตำหนิในข้อหาที่ทำให้เขาโดนไล่ออก โดยไม่มีใครนึกเลยไปถึงว่า เธอเองที่มีส่วนในเรื่องนี้อยู่มาก และบัดนี้ความรู้สึกที่ไดอาน่ามีต่อฮอลท์ ก็มีอยู่เพียงประการเดียวเท่านั้นคือ...เธอเกลียดคนๆ นี้อย่างจับใจ...!
ไดอาน่าสำเร็จการศึกษาจากไฮสกูลอย่างมีเกียรติและได้ลงทะเบียนเข้าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเรโน ตามที่เมเจอร์เสนอแนะ ในตอนแรกไดอาน่าคัดค้านการที่จะต้องเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เพราะเธอไม่ได้ปรารถนาจะเรียนต่อเลย เพราะเธอคิดว่าความรู้เพียงเท่านั้นก็สมบูรณ์พออยู่แล้ว
“มันจะมีประโยชน์อะไรกับการที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ตอนนี้หนูก็มีความรู้ในทุกเรื่องที่ต้องการแล้ว” ไดอาน่านั่งถกเถียงกับพ่อในตอนบ่ายของวันในฤดูร้อน “พวกอาจารย์ทั้งหลายไม่สามารถจะมาสอนให้หนูรู้จักงานในไร่อย่างที่หนูได้รับความรู้จากพ่อหรอกค่ะ หนูรู้จักวิธีการทำบัญชีรวมทั้งรายการต่างๆ อย่างดีแล้วนี่คะ”
“พ่อไม่อยากให้ลูกต้องเสียโอกาสในการศึกษาหาความรู้ ยิ่งกว่านั้นความรู้ในมหาวิทยาลัยมันมากกว่าในโรงเรียนหลายเท่านัก” เมเจอร์ยิ้มให้ลูกสาวอย่างใจดี “ในมหาวิทยาลัยมีครูที่จะให้ความรู้กับลูกได้มากมาย มีสโมสรให้ลูกเข้าร่วม มีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำแล้วก็ยังมีงานปาร์ตี้ที่สอนให้ลูกรู้จักการเข้าสมาคม ลูกควรจะได้ลิ้มชิมรสต่างๆ ของชีวิตแต่ละรูปแบบ จนกว่าจะถึงวันหนึ่งที่แน่ใจได้อย่างเต็มที่แล้ว ว่าลูกรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการแล้ว”
แต่ไดอาน่าก็ยังไม่ตกลงปลงใจอยู่ดี
“หนูไม่อยากเปลี่ยนความตั้งใจหรอกค่ะ”
“ก็อาจจะไม่...แต่อย่างน้อยลูกก็จะได้ประสบการณ์มากกว่าในชีวิตประจำวันที่รู้จักอยู่”
แต่กระนั้นเธอก็ยังท้วงติงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่นั่นเอง
“แต่เรโนไกลเกินไปนะคะพ่อ อยู่อีกฟากหนึ่งของรัฐเลย”
“มันไม่ไกลจนลูกไม่สามารถกลับมาพักผ่อนตอนที่หยุดเทอมหรือวันหยุดสุดสัปดาห์หรอก” เมเจอร์ปลอบใจ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ไดอาน่าจึงต้องยอมทำตาม พยายามปลอบใจตัวเองว่า ที่เธอยอมทำก็เพื่อเอาใจพ่อและเธอก็ทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจลงในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น ในปีการศึกษาแรกทางมหาวิทยาลัยไม่ได้มีวันหยุดให้มากมายเท่าไรนัก การที่เธอจะใช้เวลาในช่วงเรียนเพื่อกลับมาเยี่ยมบ้าน จึงเป็นระยะเวลาสั้นเกินไป สำหรับระยะทางที่ไกลเช่นนี้ ดังนั้นเพื่อให้เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ไดอาน่าจึงร่วมแทบจะทุกกิจกรรมของมหาวิทยาลัยพบปะและมีเพื่อนมากมาย แต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านไปนั้น เธอไม่ยอมให้ตัวเองได้ใกล้ชิดสนิทสนมหรือมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
เมื่อฤดูร้อนมาถึงและผ่านไปราวชั่วข้ามคืนเดียว ซึ่งทำให้ไดอาน่ามีความรู้สึกเหมือนเพิ่งจะมาถึงบ้านไร่ได้ไม่นาน ก็ต้องกลับไปเรียนต่อเมื่อมหาวิทยาลัยเปิดเทอมในฤดูใบไม้ร่วง
มีเหตุการณ์ที่พิเศษและสำคัญยิ่งเกิดขึ้นกับเธอในปีการศึกษาปีที่ 2 ถึง 2 ครั้ง 2คราในเดือนตุลาคมปีนั้น เธอถูกเรียกตัวไปพบคณบดีในห้องทำงานของท่าน และได้รับทราบว่าพ่อล้มป่วยด้วยโรคหัวใจและกำลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ไดอาน่าจับเครื่องบินเที่ยวแรกกลับไปยังอีลายทันที
ขณะมองดูพ่อที่นอนอยู่ในเตียงผู้ป่วยของโรงพยาบาลนั้น ไดอาน่าสังเกตเห็นว่า พ่อของเธอมีผิวพรรณเผือดซีดลง ปกติแล้วเมเจอร์เป็นคนที่แข็งแรงสมบุกสมบันกับชีวิตมาก จึงออกจะน่าตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อพบว่าลักษณะเช่นนั้นไม่มีอยู่ในตัวเขาอีกต่อไป แม้ว่าแววแห่งความเมตตาจะฉายชัดอยู่ในดวงตาอย่างไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ตลอดไป
“อย่าทำสีหน้าอย่างนั้นสิลูก” เขาเตือนลูกสาวเมื่อเห็นเธอมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด “พ่อยังมีเวลาเหลือที่จะอยู่กับลูกได้อีกหลายปี เพียงแต่ว่าต่อไปนี้ต้องทำอะไรให้ช้าลง มันก็แค่นั้น...ทำใจให้สบายเถอะ”
“หนูต้องมั่นใจก่อนค่ะ ว่าพ่อทำอย่างนั้นได้จริงๆ”
“ที่พูดนั่นมันหมายความว่ายังไงล่ะ?”
“หนูจะอยู่บ้านจนกว่าพ่อจะค่อยยังชั่วขึ้นค่ะ”
“อันที่จริงลูกก็เห็นแล้ว ว่าต้องทิ้งการเรียนมาถึงที่นี่เพื่อจะมาดูให้เห็นกับตาว่าพ่อไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่จำเป็นอะไรเลยที่ลูกจะต้องมานั่งเสียเวลาอยู่อย่างนี้ เพราะพ่อมีฮอลท์กับโซฟี่คอยดูแลอยู่แล้ว”
ไดอาน่าอยากจะแย้งว่าเธอควรทำ ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนเดียว มันเป็นสิทธิและหน้าที่ของเธอที่จะต้องดูแลเขา โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยคนที่เป็นแค่ลูกจ้าง แต่เมเจอร์ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอพูด
“พ่อมอบหมายกิจการงานในไร่ให้ฮอลท์ดูแลหมดแล้ว เขาเป็นคนเก่งแล้วก็มีความสามารถในเรื่องงานการมาก พ่อโชคดีจริงๆ ที่ได้คนอย่างเขามา” เสียงของเมเจอร์บอกความชื่นชมในตัวผู้ชายคนนั้นอย่างแท้จริง
“แต่หนูอยากอยู่บ้านกับพ่อนี่คะ”
“สาวน้อยของพ่อ หนูจะทำให้พ่อมีความสุขที่สุดด้วยการกลับไปโรงเรียนแล้วก็เอาปริญญากลับมา หลังจากนั้นพ่อก็หวังว่าลูกจะหาผู้ชายที่ฉลาดมีความสามารถสักคนหนึ่ง แล้วก็แต่งงานเสีย มีลูกสัก 2-3 คน อย่ามาใช้ชีวิตอยู่ในไร่ปศุสัตว์ที่มันไม่มีความหมายอะไรเลย”
“ค่ะ เมเจอร์” แต่ไดอาน่าก็ยังสงสัยว่า เขาจะเสือกไสไล่ส่งเช่นนี้หรือไม่ ถ้าเธอเป็นลูกชายแทนที่จะเป็นลูกสาวคนเดียวเช่นนี้
ไดอาน่าพักอยู่ที่โรงแรมในอีลายจนถึงวันที่พ่อออกจากโรงพยาบาล โดยอ้างว่า ไม่อยากจะขับรถจากไร่ปศุสัตว์ซึ่งเป็นระยะทางไกลมากมาโรงพยาบาลทุกวัน แต่ความเป็นจริงก็คือ เธอไม่ต้องการอยู่ในไร่ซึ่งมีฮอลท์ มัลโลรี่เป็นผู้บริหารแทนพ่อมากกว่า
เดือนกุมภาพันธ์ต่อมา ไดอาน่าได้เข้าฟังเลคเชอร์วิชารัฐศาสตร์การเมือง อาจารย์ผู้ได้รับเชิญมาในวันนั้นเป็นบุรุษหน้าตาคมสัน ผมสีเข้มหยักโศก ดวงตาสีฟ้าใส ท่าทางมีเสน่ห์และมีความลาดปราดเปรื่องมาก ไดอาน่าติดใจเขาทันที แต่ประสบการณ์ที่เธอเคยได้รับจากเคอร์ลี่ ทำให้เธอระมัดระวังตัวมาก
การบรรยายได้เสร็จสิ้นลงในตอนบ่าย ไดอาน่ากับเพื่อนอีก 2-3คน ไม่มีชั่วโมงเรียนในวันนั้น จึงมีโอกาสสอบถามเรื่องที่ยังไม่เข้าใจมากกว่าใคร นอกจากคนตาบอดเท่านั้นที่จะไม่สังเกตเห็นความสนใจที่ไดอาน่าแสดงออกต่ออาจารย์ผู้นี้อย่างเปิดเผย เมื่อเขาขอให้เธอออกไปนอกมหาวิทยาลัยกับเขาไดอาน่าก็รับคำ
มันก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานลมกรดเสียทีเดียว ทั้งนี้เพราะไดอาน่าระมัดระวังไม่ให้อารมณ์เข้ามาเป็นเครื่องนำพาเธอไป แรนด์เป็นบุรุษผู้มีคุณลักษณะสมบูรณ์แบบดังที่เธอตั้งใจไว้ ด้วยวัย 20เศษ แต่เขากลับมีความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เป็นคนมีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมและประสบความสำเร็จในสาขาวิชาที่ร่ำเรียนมา เขามีท่าทางคล้ายเคอรี่อยู่มาก แต่กระนั้น ก็ยังไม่สามารถทำให้ไดอาน่าบังเกิดความรู้สึกลึกซึ่งได้เท่าใดนัก ในช่วงระยะเวลาแห่งการผูกสัมพันธ์กันนั้น ไดอาน่าเคยสังเกตเห็น ว่าเขาต้องควบคุมสติอารมณ์ของตนเองไว้ตลอดเวลา แม้ว่าเธอเกือบสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองแล้วก็ตาม