บทที่ 2
หางเสียงของเขาออกจะห้วนแต่ก็เต็มไปด้วยมิตรภาพ ยามที่เขาเอ่ยทักผู้ชายคนที่ก้าวลงจากรถพิคอัพ ทั้งคู่กำลังจับมือกันตอนที่ไดอาน่าเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างพ่อ ท่าทางเธอผึ่งผายเช่นเดียวกับเมเจอร์ รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ของเธอที่เท่าเทียมกับเขา เมเจอร์หันมามองลูกสาว สายตาคู่นั้นบ่งบอกความรักใคร่อย่างชัดเจน ไม่ได้มีสิ่งใดซ่อนเร้นเลย เขาวางมือลงบนไหล่เธอ ซึ่งไดอาน่าไม่คิดว่ามันจะมีสัญญาณอื่นใดอยู่ในการกระทำเช่นนั้น
“คุณได้รับการต้อนรับพร้อมหน้าทีเดียวนะฮอลท์ เมื่อลูกสาวผมเขาก็มายืนอยู่ตรงนี้ด้วย” เมเจอร์พูดกับผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า “นี่ไง...ลูกสาวผม เขาชื่อไดอาน่า...แล้วนี่คือผู้จัดการไร่คนใหม่ของเรายังไงล่ะลูก...ฮอลท์ มัลโลรี่”
เธอมองเขาเต็มตา คล้ายกับว่าจะต้องได้รับการพิจารณาและตกลงปลงใจเสียก่อน ฮอลท์จึงจะเริ่มทำงานได้...และเธอก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ร่างสูงประมาณ 6 ฟุต สะโอดสะอง ที่กำลังถอดหมวกปีกกว้างที่สมอยู่อย่างเป็นพิธีรีตอง เผยให้เห็นเรือนผมสีน้ำตาลดกหนา เหมือนจะถูกแดดเผาจนกลายเป็นสีแห้งๆ เหมือนยาเส้น สีหน้าของเขาไม่บอกความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ดวงตามีแววกระด้างสีเทาเข้มเหมือนสีเหล็ก แลดูเหมือนจะบอกวันวัยที่ผ่านมา แม้ประมาณว่าอายุไม่เกิน 26 ก็ตาม
“สวัสดีครับ มิสซอมเมอร์ส์” เขาทักทายด้วยการพูดช้าๆ เสียงห้าวๆ
“สวัสดีค่ะ ขอบคุณ” มันมีความรู้สึกไม่ชอบหน้าเกิดขึ้นทันที ดูจะแรงขึ้นเมื่อเธอหันไปมองเมเจอร์
“นั่นลูกชายคุณหรือ?” เมเจอร์มองเลยเขาไปและไดอาน่าก็พลอยมองตามสายตาพ่อไปด้วย
“กาย มาสิ...มาสวัสดีเมเจอร์เสีย” แม้ในน้ำเสียงของฮอลท์จะฟังดูราบเรียบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นลักษณะของการออกคำสั่ง
เด็กชายวัยประมาณ 9 ขวบลงมายืนอยู่ข้างรถคันนั้นแล้ว รูปร่างหน้าตาผอมซีด ท่าทางตื่นๆ แต่ก็เดินกระปลกกระเปลี้ยเข้ามาสัมผัสมือกับเมเจอร์
“สวัสดีครับ ท่าน” แกพูดเสียงเบา
เมเจอร์ยืดร่างขึ้นพูดยิ้มๆ ว่า
“หน้าตาดีนี่ฮอลท์”
ไดอาน่ามองเด็กคนนั้นอีกครั้ง พยายามจะมองให้เห็นในสิ่งที่พ่อของเธอบอกว่า “หน้าตาดี” แต่ก็มองไม่เห็น ดูเหมือนไม่มีอะไรที่จะอธิบายลักษณะของเด็กชายได้เลยด้วยซ้ำ รูปร่างบอบบางตัวเล็กๆ ท่าทางหวาดหวั่น กลัวแม้แต่เงาตัวเอง ไดอาน่ามองดูท่าทางยืนของเด็กชายที่คล้ายจะไม่มีกำลัง ทำให้บังเกิดอารมณ์ลึกลับที่ใคร่จะได้คุ้มครองป้องกันขึ้นมา
“ผมจะพาไปดูที่อยู่ของคุณนะ ฮอลท์” เมเจอร์พูดขึ้น ก่อนจะหันมาทางไดอาน่า “จูงกายตามมาสิลูก จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกันไปพลาง”
ไดอาน่าไม่ได้มีความปรารถนาจะสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับเด็กชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย...แต่ถ้ามันเป็นความต้องการของพ่อ...เธอลอบถอนหายใจ เอื้อมไปจับแขนเด็กชาย แต่แกกลับซุกหน้าอยู่หลังพ่อและไดอาน่าก็ยักไหล่อย่างไม่ยินดียินร้ายด้วย
“มาสิ กาย” เธอว่า ลดฝีเท้าลงเดินตามหลังพ่อกับคนงานใหม่ไป
เมื่อเด็กชายเห็นทุกคนเดินออกจากที่นั้น จึงได้ออกเดินตามมาและไดอาน่าก็เข้าไปเดินคู่กับแก เธอไม่ใคร่คุ้นกับพวกเด็กๆ เท่าไรนัก นอกจากสมัยที่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่โรงเรียน เธอมองดูเด็กชายที่จับตาอยู่แต่พื้นดินตรงหน้าและพยายามหาเรื่องที่จะชวนพูดคุยไปด้วย
“หนูมาจากอริโซน่าหรือ?”
คำถามนั้นได้รับคำตอบด้วยความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จนไดอาน่าคิดว่าจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว แต่ดวงตากลมโตสีฟ้าของเด็กชายก็หันมามองดูเธอ
“เปล่าครับ พ่อผมอยู่ในอริโซน่า แต่แม่อยู่เดนเวอร์...”
“อ้าว...แล้วตอนนี้แม่หนูไปไหนเสียล่ะ?”
ริมฝีปากของเด็กชายสั่นเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที...
“แม่ตายแล้วครับ”
“เหรอ...แม่ฉันก็ตายแล้วเหมือนกัน” ไดอาน่าตอบเสียงหนักๆ “แม่ฉันตายตั้งแต่ฉันอายุแค่ 4 ขวบเท่านั้น” เธอจับตามองผู้ชายที่เดินเคียงข้างอยู่กับเมเจอร์ “ทำไมหนูถึงไปอยู่เดนเวอร์ทั้งที่พ่ออยู่อริโซน่าล่ะ พ่อกับแม่หย่ากันหรือ?”
เด็กชายพยักหน้ารับแทนคำตอบและไดอาน่าก็ไม่ได้นึกตำหนิมารดาของเด็กชายคนนี้เลย เพราะเธอเองก็ไม่ใคร่ขอบผู้ชายคนนี้เหมือนกัน แต่ออกจะประหลาดใจเพราะเด็กชายแสดงความรู้สึกธรรมดาเท่านั้น
“พอแม่ผมตายเมื่อเดือนก่อนเขาก็มาหา แล้วก็บอกว่าเขาเป็นพ่อผม แล้วผมจะต้องไปอยู่กับเขาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” น้ำเสียงของเด็กชายที่เล่าเรื่องนี้ติดจะขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“หมายความว่าเธอยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยใช่ไหม?”
“ก็ตากับยายบอกว่าเขาเป็นพ่อผมนี่ครับ เพราะฉะนั้นเขาก็คงต้องเป็นจริงๆ ...แม่บอกผมว่าพ่อทิ้งเราไปหลังจากที่ผมเกิด เพราะว่าเขาไม่ได้ต้องการเราทั้งสองคนครับ”
เมื่อนึกถึงดวงตาคู่สีเทาเข้มเต็มไปด้วยแววกระด้างคู่นั้น ไดอาน่าก็เชื่อว่ามันจะต้องเป็นเรื่องจริง
“ก็ถ้าเขารู้สึกอย่างนั้น ทำไมเขาจะต้องมาห่วงเธอตอนนี้ด้วยล่ะ?” ไดอาน่ามีความรู้สึกเหมือนกำลังจะพูดความคิดของตัวเองออกมาดังๆ
กาย มัลโลรี่ดูจะงุนงงกับคำถามนั้นอยู่
“พ่อบอกว่า...พ่อต้องการผมเสมอครับ” เด็กชายตอบตะกุกตะกัก “เพียงแต่แม่ไม่ยอมให้พ่อพบผม แต่ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วแม่ต้องอยากให้พบแน่...ผมรู้ครับว่าแม่ต้องอยากทำอย่างนั้นจริงๆ”
คำพูดที่เหมือนจะปกป้องแม่ทำให้ไดอาน่าต้องก้มลงมองเด็กชายอย่างพิจารณาอีกครั้ง เด็กชายดูจะเป็นคนอ่อนไหวคงไม่อดทนเท่าไรนัก
“นั่นสินะ ฉันว่าแม่ของหนูคงต้องอยากทำอย่างนั้นแน่ ถ้าเขาต้องการพบหนูจริงๆ” เธอคล้อยตาม แต่ในใจก็คิดว่า...เจ้าหนูน้อยผู้น่าเวทนาเอ๋ย...ไดอาน่ารู้สึกสงสารนักที่แกมีพ่อที่ไม่ได้ต้องการแกเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เด็กจะมีท่าทางตื่นกลัวอย่างไรพิกล...
ขณะที่ทุกคนเดินผ่านเข้าไปยังคอกที่กั้นขึ้นไว้สำหรับม้าพันธุ์อาราเบียนโดยเฉพาะ เป็นม้าเลือดอาหรับแท้ที่ได้รับการเลี้ยงและดูแลเอาใจใส่ที่สุดของไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ ซึ่งรวมทั้งแม่ม้าอีก 30 ตัวรวมทั้งลูกๆ ของพวกมัน ซึ่งก็มีทั้งลูกอ่อนและที่อายุเกิน 2 ปีแล้ว บางตัวก็เก็บไว้เพื่อผสมพันธุ์และบางตัวก็เอาไว้โชว์ แต่บางตัวก็พร้อมที่จะนำออกขายแล้ว รวมทั้งม้าที่ใช้งานอย่างอื่นด้วย แต่พ่อพันธุ์อาราเบียนอีก 2 ตัวถูกแยกไว้ต่างหากจากตัวอื่น เจ้าม้าพันธุ์ชื่อเชตันวิ่งอยู่รอบๆ คอกที่กั้นไว้เหมือนจะอวดพละกำลังแก่เจ้านายของมัน อันที่จริงมันไม่ได้มีสิ่งใดที่ผิดปกติไปกว่าเคย เพียงแต่ไดอาน่าสังเกตเห็นดวงตาของเด็กชายเบิกโพลงขณะจ้องมองดูม้าตัวนั้น
“เธอขี่ม้าเป็นไหม?” ไดอาน่าถาม”ผมไม่เคยเห็นม้าตัวเป็นๆ ใกล้ๆ อย่างนี้เลยครับ เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ แล้วก็จากในรถบรรทุกตอนที่เราขับรถมาที่นี่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้เธอก็จะได้เห็นเยอะแยะเลยละ แล้วก็จะยังได้เรียนรู้วิชาการขี่ม้าที่ถูกต้องด้วยนะ...ง่ายจะตายไป...!”
“จริงหรือครับ?” เด็กชายถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ราวกับเธอได้ยื่นโลกทั้งโลกมาให้
“ก็จริงน่ะสิ” ไดอาน่ายักไหล่ “ฉันสอนให้เองยังได้เลย” เมื่อพูดออกไปแล้วก็อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ ที่ไปอาสาเช่นนั้น เธอไม่ต้องการจะใช้ช่วงเวลาตลอดฤดูร้อนเป็นพี่เลี้ยงเด็กชายเซื่องๆ คนหนึ่งเช่นนี้เลย