ตอนที่ 9 หน่อไม้ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ 5
“ท่านพี่ ท่านออกมาทานมื้อเย็นก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ไป๋หลิวเหยาเดินไปเปิดประตูห้องนอนแล้วเรียกสามีที่นอนพักเหนื่อยด้านในให้ออกไปทานอาหาร
“ได้ๆ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ต้าผางขานรับแล้วเดินออกมาจากตัวห้อง ก่อนจะถามหาบุตรสาวว่านางไปไหนแล้ว
“ม่านหรงอยู่ที่ใด เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงนางแว่วมาอยู่ไม่ใช่หรือ”
ต้าผางลุกออกจากเตียงแล้วเดินตามหลังภรรยาไปที่เตียงห้องโถง
“ม่านหรงนางพึ่งอาบน้ำเสร็จเจ้าค่ะ”
หลิวเหยาตอบสามีไปพร้อมกับใช้มือตีที่เตียงนั่ง เป็นเชิงบอกให้เขานั่งรอก่อน
ในห้องโถงเล็กในยามนี้มีหม้อข้าวหม้ออาหารวางอยู่บนเตียงไม้ด้วย ข้างๆ กันยังมีถ้วยจานพร้อมใช้วางอยู่
หลิวเหยาเห็นสามีเดินมานั่งถัดไปจากตน นางจึงตักข้าวใส่ถ้วยข้าวแล้วส่งให้เขา ก่อนจะตัดผัดหน่อไม้ใส่ไข่และผัดพริกแห้งหน่อไม้ใส่จานมาวางคอยท่า
ม่านหรงที่เก็บของเข้าที่แล้วเปิดประตูออกมาจากห้อง ก็เห็นท่านแม่ยิ้มกว้างกวักมือเรียกให้ไปนั่งทานอาหารด้วยกัน
ต้าผางขมวดคิ้วเข้าหากัน ตอนที่ม่านหรงทำอาหาร กลิ่นของมันน่าทานมาก แต่พอเห็นอาหารที่แปลกตา เขาก็รู้สึกว่าตนคิดผิดไปหรือไม่ที่ไว้ใจให้บุตรสาวเป็นคนลงมือเองเช่นนั้น
ม่านหลงถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นไปนั่งด้านในของเตียงที่ติดผนังห้องของนาง มีเพียงพ่อกับแม่ของนางที่นั่งหย่อนขา
ม่านหรงยกถ้วยข้าวขึ้นมาแล้วคีบอาหารจานผัดที่มีไข่มากินก่อน
ทันทีที่อาหารจานผัดเข้าปาก ท้องที่ว่างมาทั้งวันของนางก็ร้องโครกครากเสียงดังขึ้นทันที ม่านหรงรู้สึกอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นี่เป็นมื้อแรกที่นางได้ทานอาหารกับครอบครัวใหม่ ทว่า นางก็สร้างความทรงจำอันขายหน้าไปเสียแล้ว
“กินเยอะๆ ลูกบอกว่าอยากกินหน่อไม้มาก ดังนั้นก็ทานให้อิ่ม ท้องจะได้ไม่ปวด”
ไป๋หลิวเหยาหันไปยิ้มให้ลูกสาวก่อนจะคีบอาหารจานเดียวกันกับบุตรสาวขึ้นมากินทีละคำอย่างเชื่องช้า
“ท่านพี่ทานเยอะๆ นะเจ้าคะ”
หลิวเหยาหันไปทางสามีที่จ้องจานอาหารอย่างสงสัย ประกอบกับรูปลักษณ์ที่ผิดแปลกจากเดิม ทำให้เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะกินดีหรือไม่ แต่เมื่อเขาเห็นบุตรสาว และภรรยา คีบอาหารทั้งสองจานคำแล้วคำเล่า เขาจึงยื่นตะเกียบไปคีบอาหารมาลิ้มรสบ้าง
เพียงคำแรกที่อาหารเข้าปาก ต้าผางก็เบิกตากว้างอย่างตกตะลึง อาหารสองจานที่ม่านหรงทำมันอร่อยมาก ต้าผางรีบเคี้ยวรีบกลืนแล้วกินคำต่อไปอย่างไม่ปริปากบ่น เขาแอบลอบมองม่านหรงอย่างสงสัย หรือว่าสิ่งนี้ก็เป็นพรที่นางได้รับมาเช่นกัน
ต้าผางหันไปทางเมียรัก แต่ดูเหมือนว่านางกำลังสุขใจกับสิ่งตรงหน้าเป็นอย่างมาก เขาครุ่นคิดพร้อมกับเคี้ยวอาหารในปาก
‘ข้าควรบอกเรื่องประหลาดนี้ให้หลิวเหยาฟังดีหรือไม่ แต่ถ้านางรู้ว่าม่านหรงตายแล้วฟื้นนางจะปวดใจแค่ไหน’
ต้าผางแอบผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะหยุดคิดเรื่องบอกกล่าวภรรยาไปในที่สุด
……….
“ท่านพ่อ ท่านบอกว่าอาหารทั้งหม้อนี้ ม่านหรงทำเองกับมือจริงๆ หรือขอรับ”
โจวเว่ย - เด็กหนุ่มวัยสิบสามปี หันไปทางบิดาอย่างไม่อยากจะเชื่อ อาหารจานนี้เขาไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน อีกอย่างเขาก็พึ่งรู้ว่า นอกจากหน่อไม้จะต้มจิ้มเกลือได้แล้ว มันยังทำอาหารรสเลิศเช่นนี้ได้อีกด้วย
“ไม่ผิด อาหารจานนี้ม่านหรงทำเองกับมือ ตอนที่นางทำอาหารทั้งลุงไป๋และป้าไป๋ของเจ้า ช่วยกันทำที่พักอาศัยอยู่กับพ่อ มีเพียงม่านหรงผู้เดียวที่ลงแรงทำอาหารนี้”
โจวเหวินหลงเห็นใบหน้าของบุตรชายที่ชี้ชัดว่าที่เขาพูดเกินจริง จึงได้แต่ขำขันพลางส่ายหัว เขาหาใช่คนพูดเท็จไม่ อีกอย่างม่านหรงนางก็ทำอาหารเองกับมือจริงๆ แถมหลิวเหยายังไม่ได้ยื่นมือมาช่วยนางแม้แต่น้อย
“ม่านหรงฝีมือดีมากเลยเจ้าค่ะ จริงสิท่านพี่บอกข้าว่าแถวเชิงเขามีหน่อไม้ …คงไม่ใช่ว่ามันหมดแล้วหรอกนะเจ้าคะ”
โจวชิงเหอถามสามี นางหวังว่าหน่อไม้พวกนั้นจะหลงเหลืออยู่บ้าง แต่พอมองไปที่หม้อดินที่เต็มไปด้วยหน่อไม้นางก็ได้แต่หยุดความคิดนั้นลง
“ทุกคน… ที่จริงแล้ว พ่อตัดสินใจจะย้ายไปอยู่ที่เชิงเขา เหมือนกับบ้านของลุงไป๋”
จู่ๆ โจวเหวินหลงก็หุบยิ้มแล้วทำท่าทางจริงจัง พลางมองไปทางลูกๆ ทั้งสอง
“ท่านพ่อขอรับ หากเราไปอยู่ที่นั่นจะไม่ลำบากหาบน้ำขนฟืนหรอกหรือ”
โจวเว่ยไม่เห็นด้วย หากอยู่ที่บ้านหลักยังมีที่หลับที่นอน มีแหล่งน้ำให้ใช้บ้าง แต่ว่าหากพวกเขาย้ายออกไปจากหมู่บ้าน เช่นนั้น พวกเขาต้องเทียวไปเทียวมาให้วุ่นวายเป็นแน่แท้
“ลูกเห็นตุ่มน้ำนั้นหรือไม่”
โจวเหวินหลงชี้นิ้วมือหยาบกร้านไปทางตุ่มน้ำข้างประตูบ้าน
บ้านหลังเล็กนี้มีห้องนอนสามห้องก็จริง แต่ถึงจะมีห้องนอนสามห้องอย่างว่า แต่ห้องแต่ละห้องก็คับแคบอึดอัดเสียจนหายใจแทบไม่ออก
“นั่นคือน้ำที่ท่านพ่อนำกลับมาจากบ้านท่านลุงไป๋ใช่ไหมเจ้าคะ”
โจวเจียหลิน – ลูกสาววัยสิบปีบุตรสาวคนสุดท้องของโจวเหวินหลง กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา
พอได้เห็นใบหน้าที่ดูใสซื่อของบุตรสาว โจวชิงเหอก็คิดถึงคราวนั้น ที่บุตรสาวบอกว่า…
……….
“ท่านแม่ พี่ชายฟาง ฟางจางหลาง เขาบอกว่าชอบพอข้าเจ้าค่ะ เขาบอกว่าหากที่บ้านเห็นดีเห็นงาม เขากับข้าจะคบหาดูใจกัน”
โจวเจียหลินยิ้มกว้างบอกมารดา
“เจ้ารู้หรือ ว่าการคบหากันคืออะไร”
โจวชิงเหอเอ่ยถามลูกสาวที่มีใบหน้าและแววตาใสซื่ออย่างเอาใจใส่
“อืม พี่ฟางบอกว่า คือคนสองคนตกลงปลงใจกันเจ้าค่ะ”
สิ้นคำของเจียหลิน โจวชิงเหอก็ถึงกับพูดไม่ออก
ชายแซ่ฟางคนนั้นคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่ ตนเองอายุสิบห้าแล้วแท้ๆ แต่กลับมาหวังกินหญ้าอ่อน แถมนี่ไม่ใช่หญ้าอ่อนธรรมดา แต่เป็นหญ้าที่พึ่งโผล่พ้นดิน
“แต่แม่คิดว่ามันยังไม่ถึงวัยของลูกนะ พ่อหนุ่มคนนั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ หากจะกล่าวกันตามจริงเขากับลูกไม่เหมาะสมกันหรอกนะ”
โจวชิงเหอบอกลูกสาวไป
“ในเมื่อท่านแม่ว่าเช่นนั้น งั้นข้าจะไปบอกพี่ฟาง ว่า ข้าไม่ยินดีรับเขามาคบหา”
เสียงเจื้อยแจ้วของเจียหลินเอ่ยบอกมารดา ใบหน้าน้อยๆ ยิ้มกว้างกระจ่างใส
“เขานัดพบกับลูกอีกหรือ”
โจวชิงเหอเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย
“เจ้าค่ะ เขาบอกว่าให้ไปเจอกับเขาที่ท้ายหมู่บ้านตอนเช้าตรู่”
ชิงเหอได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
ท้ายหมู่บ้านยามเช้าตรู่?
นี่ชายแซ่ฟางคิดร้ายกับเจียหลินสินะ ถึงได้นัดนางไปที่ลับตาคนแบบนั้น ที่สำคัญช่วงเวลานั้นยังเป็นช่วงที่ผู้คนยังไม่ออกจากเรือนอีกต่างหาก
“เช่นนั้นเดี๋ยววันพรุ่งนี้แม่จะไปกับลูกเอง เด็กดี หากวันข้างหน้ามีคนมาชวนลูกไปที่ใดจงให้บอกแม่ก่อน หากลูกไม่บอกแม่ แม่ก็จะเป็นกังวลจนกินนอนไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านแม่ห่วงข้าที่สุด ขนาดพี่ฟางบอกกับข้าว่าอย่าบอกใครข้ายังบอกท่านแม่เลย”
เจียหลินยิ้มหวาน
“เด็กดี ลูกของแม่น่ารักที่สุด”
โจวชิงเหอดึงบุตรสาวเข้ามากอดและหอมแก้ม
เช้าวันต่อมา…
ชิงเหอออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปพบกับชายแซ่ฟางพร้อมกับบุตรสาว เพียงแต่ว่านางเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มกับหญิงสาวหัวเราะคิกคักหยอกล้อกัน ชิงเหอได้ยินดังนั้นนางก็ยกมือขึ้นมาปิดหูลูกสาวเอาไว้
เนื้อความที่สองคนกล่าว เป็นการวางแผนล่อลวงเจียหลินให้มาติดกับดัก เมื่อได้ยินอย่างแจ่มแจ้ง โจวชิงเหอก็บอกให้บุตรสาวยืนอุดหูรออยู่ตรงนี้ ก่อนที่นางจะพรวดพราดเข้าไปต่อว่าชายแซ่ฟางคนนั้น ถึงแม้ทั้งคู่จะกำลังพลอดรักกันอยู่ก็ตาม
“ว้าย! ตายแล้ว!!”
เสียงร้องแสบแก้วหูของเสี่ยวเมิ่งหนิง – คู่รักของฟางจางหลาง ร้องอุทานพร้อมกับรีบยกมือปิดบังใบหน้า ยังดีที่สองผีเน่ากับโลงผุนี่ไม่ได้เปลื้องเสื้อผ้าทำเรื่องอย่างว่ากัน ไม่เช่นนั้นโจวชิงเหอคงได้เป็นตากุ้งยิงไปหลายวันเป็นแน่แท้
“เจ้าคือพ่อหนุ่มแซ่ฟาง ฟางจางหลางใช่หรือไม่ ข้าขอบอกเจ้าตรงนี้เลยว่า เจ้ากับบุตรสาวของข้าไม่คู่ควรกัน อีกอย่างเจ้าก็อายุมากแล้ว เจ้าถึงขั้นริอาจคิดไม่ซื่อกับเด็กสาววัยเพียงสิบปีได้อย่างไร อย่าให้ข้ารู้เห็นว่าเจ้ามาข้องแวะกับเจียหลินอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด!”
โจวชิงเหอชี้หน้าด่าฟางจางหลางด้วยความเคืองโกรธ
จากนั้นมาก็ไร้วี่แววชายแซ่ฟาง เหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
……….
“เจียหลินลูกพ่อ เจ้าทายได้ถูกต้อง แล้วเจ้าได้ดื่มน้ำในตุ่มนั้นหรือยัง”
โจวเหวินหลงเอ่ยถามลูกสาวด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
“ข้าดื่มแล้วเจ้าค่ะ น้ำในตุ่มเย็นชื่นใจ ที่สำคัญน้ำในตุ่มนั้นสะอาดจนมองเห็นก้นตุ่มเลยเจ้าค่ะ”
โจวเจียหลินยิ้มร่าแล้วหัวเราะคิกคัก จนโจวชิงเหอบอกให้ลูกสาวลดเสียงลง ไม่เช่นนั้นน้ำใสสะอาดนี่พวกนางคงไม่ได้ดื่มมันแล้ว
“ท่านพ่อจะบอกว่า บ้านไป๋มีน้ำจากใต้ดินที่สามารถนำขึ้นมาใช้ได้ตลอดเวลาหรือขอรับ”
หลังจากที่เหวินหลงเล่าเรื่องราวให้ครอบครัวของเขาฟัง บุตรชายนามโจวเว่ยก็ยิ่งทำท่าทางเหมือนกับว่าเป็นเรื่องหลอกเด็ก
“พ่อพูดจริงนะ ไม่ได้พูดปด แต่ถึงเจ้าจะยินดีหรือไม่ สุดท้ายพรุ่งนี้เราก็ต้องย้ายที่อยู่อาศัยแล้ว เรื่องนี้พ่อไปคุยกับท่านปู่ของเจ้าแล้ว และท่านยินยอมยกที่สิบหมู่ข้างๆ กับที่ของลุงไป๋ให้พ่อเป็นที่เรียบร้อย”
โจวเหวินหลงยิ้มออกมาหน้าตาระรื่น
“ฮึ ในเมื่อท่านพ่อตัดสินใจไปแล้วข้าจะโต้แย้งอันใดได้อีก”
โจวเว่ยได้แต่คว่ำปาก เขาไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นด้วยซ้ำ แต่ท่านพ่อกลับทำอย่างกับว่าอยากถามความเห็น เด็กหนุ่มวัยสิบสามปีได้แต่แอบถอนหายใจ
‘ต่อไปคงต้องนอนกลางดินกินกลางป่าแล้วกระมัง’ โจวเว่ยคิดอย่างหนักใจ
“ในเมื่อท่านพี่กล่าวแล้ว พวกเราก็ย้ายออกจากบ้านหลักเถอะเจ้าค่ะ บางที การเปลี่ยนที่อยู่ใหม่อาจจะดีกว่าเดิมก็เป็นไปได้”
โจวชิงเหอคิดถึงความขัดแย้งระหว่างตนกับพี่สะใภ้ก็ได้แต่อมยิ้มออกมา
“กินข้าวกันต่อเถอะ”
โจวเหวินหลงคีบอาหารให้บุตรสาว
“เจ้าค่ะ ข้าชอบอาหารจานผัดนี้มากเลยเจ้าค่ะ หากไปถึงที่นั่นข้าจะชวนพี่ม่านหรงไปเก็บหน่อไม้ทุกวันเลย”
โจวเจียหลินยิ้มหวาน นางชอบรสมือของพี่ม่านหรงมาก หากนางได้ไปอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับพี่ม่านหรง มันจะต้องดีมากแน่ๆ
เจียหลินคิดไปพลางอมยิ้ม นางกินข้าวในถ้วยอย่างพอใจ
‘ท่านพ่อคิดและตัดสินใจเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่านะ ถึงจะไม่ค่อยลงรอยกันกับเมียท่านลุงนัก แต่ตัวท่านลุงเจี้ยนจื่อก็เอาใจใส่ข้ากับเจียหลินไม่น้อย’
โจวเว่ยคิดถึงความดีของ โจวเจี้ยนจื่อ - ที่เป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของบิดาของตน ถึงภรรยาท่านลุงจะจ้องเล่นงานมารดาของตนอยู่เรื่อย แต่เรื่องราวมันก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก เป็นไปได้ว่าภรรยาของท่านลุงอาจจะอิจฉาที่ท่านแม่หาอาหารได้เก่งกว่า ก็เลยแสดงสีหน้าไม่ชอบใจออกมา
“ม่านหรงจะต้องชอบเจ้าอย่างแน่นอน”
โจวเหวินหลงหันไปยิ้มแย้มกับบุตรสาว ชิงเหอรู้สึกว่าวันคืนที่ต้องระแวดระวังในที่สุดก็จบลงเสียที ทว่าลูกชายเพียงคนเดียวของนางกลับยังยึดติดบ้านหลักอยู่ใบหน้าของเขาจึงหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากมืดค่ำ คนในหมู่บ้าน ‘ไท่ซาง’ ก็เริ่มทยอยจุดคบเพลิงหน้าบ้าน และในตัวบ้าน เพื่อเพิ่มแสงสว่างในยามราตรี
โจวลี่เสวี่ย - ภรรยาของโจวเจี้ยนจื่อ กล่าวว่า
“ข้าได้ยินมาจากท่านแม่ ว่าน้องชายของท่านขอแยกบ้าน เห็นว่าเขาต้องการไปอยู่กับเพื่อนของเขาที่ตีนเขา ท่านว่าเขาโง่หรือเปล่า ใต้เชิงเขาแห้งแล้งขนาดนั้นพวกเขาจะเอาตัวรอดกันได้อย่างไร ขาไปหน่ะข้าไม่ว่าหรอก ที่จะขอที่ทำกินติดเชิงเขาตรงนั้นไปครอง แต่หากไปแล้วไม่รอด พวกเขาคงจะวกกลับมายังที่นี่อีกหน่ะสิ”
โจวลี่เสวี่ยระบายความไม่พอใจออกมา นางยินดีมากหากไร้ซึ่งบ้านหลังเล็กของน้องชายสามี แต่กลับกัน นางก็กังวลว่า หากพวกเขาไปไม่รอดจะหอบหิ้วกันกลับมาบากหน้าขออยู่อาศัย
“เจ้าก็อย่าพึ่งคิดมากไปเลย น้องชายของข้าเขาย่อมไตร่ตรองมาดีแล้ว อีกอย่างถ้าเขาไปไม่รอดแล้วอย่างไร เขาก็ยังมีบ้านให้กลับและยังมีข้าคอยสนับสนุน”
โจวเจี้ยนจื่อนอนพลิกตัวไปอีกด้าน หากน้องชายจากไปบางทีเขาอาจได้ดีมีหน้ามากกว่าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ แต่ถ้าเขาทุกข์ร้อนหรือไปตายเอาดาบหน้าไม่ไหว พี่ชายอย่างเขาก็พร้อมยื่นมือออกไปช่วยเหลือ
“เพราะท่านคอยแต่อ้าแขนโอบอุ้มพวกเขาถึงได้เห็นแก่ตัว ดูเอาเถอะข้าได้ยินมาว่าพวกเขาได้อาหารมาหม้อเท่าบ้าน แต่กลับไม่คิดจะแบ่งปันมาให้เราได้ลิ้มรสเลย”
โจวลี่เสวี่ยบ่นต่ออีกหลายคำ จนโจวเจี้ยนจื่อทำเป็นหูทวนลมแล้วผล็อยหลับไป
“ท่านนี่ก็จริงๆ เลย ข้ากำลังพูดคุยเรื่องจริงจังอยู่นะ เหตุใดถึงได้หลับลงได้อีก”
โจวลี่เสวี่ยตีหลังสามีไปหนึ่งทีด้วยความโมโห สุดท้ายพี่น้องก็ตัดกันไม่ขาด เห็นมีแต่นางที่แบ่งนั่นนี่ให้พวกเขา แต่เป็นพวกเขาที่หวงแม้กระทั่งของกินไม่นำออกมาแบ่งปัน
เมื่อลี่เสวี่ยไม่รู้จะระบายความอัดอั้นให้ใครฟัง สุดท้ายนางก็เป่าเชิงเทียนแล้วนอนกระสับกระส่ายก่อนจะเผลอหลับไป
