ตอนที่ 10 สร้างบ้านหลังใหม่
ไป๋ม่านหรงนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงไม้ไผ่พลางถอนหายใจแรงๆ
‘ที่นอนอันเก่านี้ค่อนข้างเสื่อมสภาพไปมากแล้ว นอนพลิกไปทางซ้ายก็เหมือนกับว่าตกหลุมอากาศ นอนหันมาทางขวาก็เหมือนจะแข็งไป’
ม่านหรงลุกขึ้นมานั่งทำใจ เพราะที่นอนไม่เท่ากันจึงทำให้นางไม่สบายตัว
หน้าจอสีฟ้าโปร่งแสงนี่ก็ไม่ยอมดับไปเสียที มันส่งแสงจ้าตลอดเวลา ทำเอาคนที่นอนหลับยากอยู่แล้วอย่างม่านหรงได้แต่กุมขมับและกำหมัดแน่นอย่างเคืองโกรธ
เฮ่อ… เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางเสียงนกกลางคืนแว่วมา
ท้ายที่สุดความเมื่อยล้าก็เข้ามาครอบงำ ร่างบางถึงจะไม่สบายตัวมากแค่ไหน แต่พอถึงจุดจุดหนึ่งที่ร่างกายต้องการพักผ่อนนางก็ต้องหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่มีทางเลือกอื่น
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ
เสียงนกกระจิบตัวน้อยบินมาเกาะที่บ้านไม้ไผ่ที่พึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยความสงสัย
ม่านหรงลืมตาขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน สายจนตะวันแยงตาแล้ว แต่ร่างน้อยๆ ของนางพึ่งจะลุกขึ้นมานั่งบนเตียง นางบิดร่างกายไปมาซ้ายทีขวาที
“โอ๊ยยย!! ปวดไปทั้งตัวเลย ที่นอนนี่ก็ไม่เท่ากันเลยสักนิด ข้างหนึ่งแข็งกระด้าง อีกข้างก็ยุบตัวเป็นแอ่ง”
ม่านหรงได้แต่บ่นให้กับที่นอน ถึงพูดบ่นไปอย่างนั้นนางก็ต้องอยู่กับที่นอนเน่าๆ นี่ไปอีกสักพักใหญ่
“หลับจนตื่น หน้าจอโปร่งใสนี่ก็ยังคงทำงานอยู่”
ม่านหรงจ้องเขม็งมองหน้าต่างโปร่งแสงอย่างเอาเรื่อง เพราะสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางนอนไม่หลับก็เป็นเพราะมัน
“ไม่เห็นมีอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกเลยแฮะ”
ม่านหรงหรี่ตามองไปที่หน้าจอโปร่งแสง
ชื่อ ไป๋ ม่านหรง
อายุ 12 ปี
เพศ หญิง
ส่วนสูง 156 เซนติเมตร
ครั้งต่อไปที่จะได้รับกล่องสุ่ม
- นับถอยหลังไปอีก 6 วัน
พรที่ได้รับ (ติดตัว)
- ปากสาปแช่ง
ของรางวัลที่ได้รับแล้ว
- คันโยกน้ำบาดาลไร้สิ้นสุด
“อืม ดูเหมือนว่าข้อมูลสิ่งของจะชัดเจน งั้นอีกหกวันข้าถึงจะได้รับกล่องสุ่มอีกครั้งสินะ”
ม่านหรงเม้มปากครุ่นคิด
“ระบบ ข้าขอใช้สิทธิ์…”
ไป๋ม่านหรงที่กำลังจะพลั้งปากใช้พร ชะงักไปชั่วคราว
หากนางใช้พร ‘ปากสาปแช่ง’ เพื่อสิ่งปลูกสร้างที่กล่าวไว้เมื่อวาน แล้วถ้าเกิดว่าวันนี้ไม่มีอาหารให้นางกินนางควรจะทำอย่างไร
“อืมมม ข้ายังไม่ใช้งานพรของวันนี้ดีกว่า”
ม่านหรงโบกมือให้ระบบ นางหย่อนขาลงเตียงเพื่อสวมใส่รองเท้า
“ลูกแม่ เจ้าตื่นแล้วหรือ”
ทันทีที่ม่านหรงก้าวขาออกมาจากตัวบ้าน ผู้เป็นมารดาก็หันไปทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส
ดูเหมือนว่าใบหน้าของไป๋หลิวเหยาจะมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย และมีความแช่มชื่นอิ่มเอมใจเพิ่มขึ้นมา
“ท่านแม่ตื่นตั้งแต่เช้าแล้วหรือเจ้าคะ”
ม่านหรงยิ้มบาง
มองด้วยตาเปล่าก็ดูออก ว่า ท่านแม่กับท่านพ่อแยกห้องนอนแล้วสุขสมมากแค่ไหน
“แม่พึ่งตื่นได้ไม่นานนี่เอง ลูกรีบไปล้างหน้าบ้วนปากเถอะนะ”
ไป๋หลิวเหยายิ้มอ่อนให้บุตรสาว และบอกว่านางได้อุ่นอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ม่านหรงพยักหน้าตอบรับ แล้วเดินเลี้ยวอ้อมไปทางขวาของตัวบ้านเพื่อไปล้างหน้าล้างตา
“มีคันโยกมันก็ดีอยู่หรอก แต่น้ำในช่วงเช้าออกจะเย็นไปหน่อยนะ”
ม่านหรงคิดถึงเครื่องทำน้ำอุ่น ที่ไม่ว่าอากาศจะร้อน หรือหนาว ก็ปรับอุณหภูมิได้ตามใจนึก
‘เมื่อไหร่จะถึงวันสุ่มกล่องของขวัญสักที’
ม่านหรงอยากเลื่อนวันสุ่มของรางวัลมาเป็นวันนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
หลังจากล้างหน้าเสร็จ ม่านหรงก็ใช้เกลือหนึ่งหยิบมือมาสีฟัน ใช้นิ้วชี้เล็กๆ ถูเกลือตามซอกฟันเพื่อลดกลิ่นไม่พึงประสงค์
พอเงยหน้าขึ้นมาบ้วนปาก นางก็เห็นบิดาลากไม้ไผ่ลงมาจากเชิงเขา
ม่านหรงใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดใบหน้า ก่อนจะเดินอย่างสบายๆ ไปหามารดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านแม่ ข้าเห็นท่านพ่อลากไม้ไผ่ลงมาจากเชิงเขา ท่านพ่อจะทำห้องอาบน้ำให้ข้าหรือเจ้าคะ”
ไป๋ม่านหรงยิ้มกว้างจนมารดาเห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้
“ใช่แล้วล่ะ ท่านพ่อของเจ้ารู้ว่าเจ้าลำบาก ท่านจึงต้องเร่งรีบทำที่กั้นและหลังคาเล็กๆ เอาไว้ให้”
ไป๋หลิวเหยาลูบหัวบุตรสาวอย่างรักใคร่
“ข้าช่วยท่านแม่ยกหม้อข้าวเข้าไปด้านในนะเจ้าคะ”
ม่านหรงเห็นผู้เป็นแม่กำลังถือหม้อข้าวเตรียมจะยกเข้าไปในตัวบ้านจึงเอ่ยปากอาสา
“อย่าเลยลูก แค่หม้อข้าวหม้อเดียวแม่ยกไหว ลูกไปเลือกตำแหน่งที่จะทำห้องอาบน้ำเถอะ พอพ่อมาถึงจะได้เริ่มงานได้เร็วขึ้น”
ไป๋หลิวเหยาบอกบุตรสาวแล้วยกหม้อข้าวที่เหลือเข้าไปในตัวบ้าน
ม่านหรงเพียงแค่ยักไหล่ แล้วเดินไปทางหลังบ้าน หากจะทำห้องอาบน้ำ หนึ่งต้องห่างจากตัวบ้าน สองควรอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำ
“ตรงนี้ละกัน”
เมื่อมองโดยรวมแล้วม่านหรงจึงเลือกตำแหน่งไว้ ก่อนจะเดินไปขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจน
ไป๋ต้าผางเดินลากไม้ไผ่มากกว่าสิบต้นลงมาจากเชิงเขา เขาใช้เถาวัลย์มัดไม้ไผ่รวมกันอย่างแน่นหนา การขนย้ายจึงสะดวกไม่ยุ่งยาก
พอไป๋ต้าผางมาถึงตัวบ้าน เขาก็พบกับม่านหรงที่กำลังนั่งเขี่ยพื้นดินเล่น
ม่านหรงเงยหน้าขึ้นแล้วบอกท่านพ่อว่า ตรงที่ที่นางกากบาทไว้คือจุดที่นางอยากทำเป็นห้องอาบน้ำ
ไป๋ต้าผางได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าตอบรับ
“ท่านพี่! ม่านหรง! มาทานมื้อเช้ากันก่อนเถอะ”
ไป๋หลิวเหยาได้ยินพ่อลูกคุยกันนางก็ตะโกนเรียกพวกเขาให้มาเติมพลังเสียก่อน
สองพ่อลูกมองหน้ากันอย่างเข้าใจ แล้วเดินไปล้างมือ
ไม่นานนักก็มีเสียงเกวียนลาดังมาแต่ไกล ไป๋ต้าผางที่กินอาหารเสร็จก่อนใครเดินออกมาดู พบว่าเป็นโจวเหวินหลงกับครอบครัว ที่พากันมาดูที่ทางว่าจะสร้างที่พักตรงไหนดี
“มาแล้วหรือเหวินหลง แล้วนี่เจ้ายกโขยงกันมาทั้งบ้านเลยหรือ”
ไป๋ต้าผางยิ้มแย้มทักทาย
“ต้าผาง”
โจวชิงเหอ-ภรรยาของโจวเหวินหลง กล่าวทักทายอีกฝ่ายที่อายุไล่เลี่ยกันด้วยท่าทางสุภาพ
“ท่านลุงไป๋”
โจวเจียหลินก้มหัวน้อยๆ แล้วเงยหน้ายิ้มแป้น ก่อนที่นางจะสอดส่องมองหาไป๋ม่านหรงว่าอยู่ตรงไหน
“ท่านลุงไป๋”
โจวเว่ยกล่าวทักทายอย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่เต็มใจนักที่จะย้ายออกมาอยู่นอกชุมชนที่เงียบเหงาเช่นนี้
ต้าผางพยักหน้าให้ทุกคน ก่อนจะบอกว่าตนเพิ่งจะทานมื้อเช้าไป ต้าผางยังถามด้วยว่าพวกเขากินอาหารเช้ามาแล้วหรือยัง
“พวกข้าทานมื้อเช้ามาแล้ว ข้ากับชิงเหอจะเดินไปดูที่ทางที่ต้องการก่อน วันนี้เป็นทีข้าที่ต้องรบกวนเจ้าบ้างแล้วล่ะ”
เหวินหลงที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตอบเพื่อนรักไป
“เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเลือกที่ตั้งหลักปักฐานเถอะ ไม่เช่นนั้นเที่ยงมาเด็กๆ จะลำบากเอาได้”
เหวินหลงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ไปกันเถอะชิงเหอ เราไปเดินดูว่าจะเลือกตรงไหนสร้างที่พักดี”
โจวเหวินหลงหันไปเรียกภรรยา
“เดี๋ยวแม่มานะ”
โจวชิงเหอหันไปทางบุตรสาวและบุตรชายพลางยิ้มอ่อน
“ไปเถอะ ปล่อยเด็กๆ ไว้กับข้านี่แหละ”
ต้าผางอมยิ้มแล้วลูบหัวเจียหลินอย่างเอ็นดู
สองผัวเมียแซ่โจวเดินไปที่แปลงนาของตน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ดินของต้าผางนัก
“คันโยกน้ำอยู่ตรงนั้น หากเราอยู่ใกล้เวลาใช้สอยน้ำก็จะสะดวกมากขึ้น”
โจวเหวินหลงชี้มือไปทางคันโยกน้ำบาดาลที่สูงเท่าตัวคน
“นั่นคือสิ่งที่ทำให้น้ำไหลออกมาหรือเจ้าคะ”
ชิงเหอตาโตเมื่อพบเห็นสิ่งประหลาด นางไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนในชีวิต ทั้งยังมีความสงสัยว่าน้ำจะไหลออกมาได้อย่างไร
“อืม นั่นแหละคันโยกน้ำบาดาลที่ข้าบอกเจ้า เลือกตรงนี้แล้วกัน เพราะตรงนี้ติดกับเขตแดนของแปลงนาต้าผาง หากไกลกว่านี้ข้าก็กลัวว่าเจ้าจะไปมาลำบาก”
เหวินหลงอธิบายให้ชิงเหอฟัง ชิงเหอพยักหน้าเห็นด้วยกับสามี แต่สายตาของนางก็เอาแต่จดจ้องไปที่คันโยกนั้นไม่วางตา
“งั้นเจ้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนหลิวเหยาเถอะ ข้ากับต้าผางรวมทั้งบุตรชายจะได้ไปช่วยกันตัดไม้มาสร้างที่พัก”
โจวเหวินหลงพูดจบก็เดินนำภรรยาไปที่บ้านของต้าผาง พอเดินผ่านคันโยกน้ำบาดาล เขาก็สังเกตเห็นว่าภรรยาของตนให้ความสนใจกับคันโยกนั้นไม่น้อย เหวินหลงจึงพานางไปที่คันโยกน้ำบาดาลแล้วโยกน้ำสะอาดออกมาให้นางดู
“ที่แท้ก็ทำเช่นนี้ถึงจะมีน้ำไหลออกมา”
ชิงเหอยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างตกตะลึง น้ำนี่ใสมาก เมื่อคืนนางได้ดื่มน้ำที่ใสเย็นฉ่ำนั้นแล้ว พอได้มาเห็นกับตาตนเองนางก็ยิ่งชอบใจ
“ทีนี้ก็หมดปัญหาเรื่องน้ำ เหลือก็เพียงแต่ที่พักอาศัย ข้าไปหาต้าผางก่อนนะ เจ้าก็อยู่เรียนรู้คันโยกนี่ไปก่อนละกัน”
เหวินหลงเห็นเมียรักชื่นชอบคันโยกนี่มาก นางถึงกับยกมือไปลูบคลำคันโยกอย่างกับว่ามันเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างหาสิ่งอื่นมาเทียบเคียงไม่ได้
“โจวเว่ย ต้าผาง พวกเราไปตัดไม้ไผ่กัน”
ทันทีที่เหวินหลงเดินกลับมาเขาก็เรียกบุตรชายและเพื่อนรักทันที เขาไม่อยากชักช้า เพราะว่าคนในครอบครัวของเขามีมาก เช่นนั้นการสร้างบ้านคงจะใช้ไม้ไผ่มากกว่าเมื่อวานเป็นเท่าตัว
เมื่อทานมื้อเช้าเสร็จ ม่านหรงกับมารดาก็เก็บถ้วยชามออกมาล้าง และพบว่าหน้าบ้านมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน
ม่านหรงทักทายลุงโจวก่อนจะยกถ้วยจานไปที่คันโยกบาดาล
“พี่สาวไป๋”
เสียงร่าเริงของเจียหลินร้องทัก ขาสั้นๆ ของนางก็ก้าวเข้าไปหาพี่สาวไป๋อย่างกับว่ากำลังรอคอยอยู่
ม่านหรงพยักหน้าทักทายอีกฝ่าย แล้วบอกว่าตนจะไปล้างถ้วยชาม โจวเจียหลินจึงเดินตามหลังม่านหรงไปด้วยแล้วบอกว่านางจะช่วยพี่สาวไป๋อีกแรง
เหวินหลงเห็นบุตรสาวเข้ากันกับม่านหรงได้ดีก็เบาใจ ชายหนุ่มทั้งสามหยิบเอามีดพร้าคนละเล่มแล้วมุ่งหน้าขึ้นไปตัดไม้ไผ่ทันที
‘เฮ้อ แห้งแล้งขนาดนี้ข้าจะอยู่รอดได้อย่างไร’
โจวเว่ยคิดไปตามทาง ทว่าเขากลับต้องหันขวับเมื่อได้ยินเสียงน้ำไหลกระทบพื้นดิน
‘สิ่งนั้นหรือว่าจะเป็นน้ำจากดินที่ท่านพ่อบอกเขาเมื่อวาน’
“มันวิเศษมากใช่หรือไม่”
ต้าผางเห็นลูกชายของเพื่อนรักมองไปยังกลุ่มหญิงสาวที่โยกน้ำออกมาล้างถ้วยชามก็ยิ้มกว้าง
“เมื่อวานท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังแล้วขอรับ”
โจวเว่ยยิ้มบางพลางเกาท้ายทอยแก้เขิน
เมื่อวานเขาหาว่าท่านพ่อโกหก มันจะมีของที่ทำให้น้ำไหลออกมาจากพื้นดินได้ที่ไหน แต่พอเขาได้เห็นด้วยตาทั้งสองข้าง เขาก็ยิ้มเจื่อน และมองไปทางบิดาที่เอาแต่ยิ้มไม่หุบ
“เร่งมือกันเถอะ หากเสร็จเร็วจะได้พักผ่อนอย่างสบายใจ”
ต้าผางยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเรียกสองพ่อลูกให้เร่งฝีเท้า
ปัก! ปัก! ปัก!
เสียงมีดพร้าฟันต้นไผ่ลงมาทีละต้น
“ข้าไม่คิดว่าหน่อไม้จะยังมีเหลือเยอะขนาดนี้”
เหวินหลงตัดไม้ไผ่ไป สายตาของเขาก็ลอบมองหน่อไม้อวบๆ ข้างๆ
เมื่อวานเขาดูหลายรอบแล้วว่าหน่อไม้แทบจะไม่มีเหลือแล้ว แต่พอวันนี้เข้ามาในป่าไผ่อีกครั้งหน่อไม้กลับมีมากกว่าเมื่อวานเสียอีก
“อย่าสนใจหน่อไม้พวกนี้เลย เจ้ากับข้าควรเร่งมือให้ไว หลังจากขนลำไผ่ลงไปด้านล่างค่อยบอกให้เมียเจ้ากับเมียข้ามาเก็บทีหลังก็ยังไม่สาย”
ต้าผางเองก็สับสนไม่แพ้กัน แต่พอนึกถึงพรที่ลูกสาวได้รับมาเขาก็พยักหน้าเริ่มเข้าใจ
“นั่นสินะ พวกเราตัดไม้ ส่วนหญิงสาวที่ว่างงานก็ให้พวกนางมาเก็บหน่อไม้นี้ไป”
โจวเหวินหลงหัวเราะพลางเร่งมือ
โจวเว่ยตัดไม้ไผ่ไปและสังเกตป่าไผ่ไปด้วย พื้นดินละแวกนี้แห้งแล้งมาก แม้แต่ที่ที่เขายืนอยู่พื้นดินยังเป็นรอยแตกระแหง ต้นไม้น้อยใหญ่ก็พากันทยอยล้มตายไปตั้งมาก ต้นหญ้าแถบนี้ก็แห้งเหลือง ทว่ากลับกันต้นไผ่กลับมีหน่อออกมา พิลึกนัก!
