ตอนที่ 22 รับปาก
“เช่นนั้นเจ้าก็ควรไปบอกกล่าวมารดาของเจ้าเสียก่อน”
ซินหลานคุกเข่าลงกับพื้น นางไม่กล้าไปบอกมารดา หากนางพูดไปว่านางไม่อยากอยู่ที่นี่ท่านแม่ของนางคงขมวดคิ้วเขม็งตาใส่นาง ทั้งยังไม่ยินยอมให้นางจากไป
“ท่านปู่ได้โปรดเห็นใจหลานคนนี้ด้วยเถอะเจ้าค่ะ ขอท่านปู่ออกปากกับมารดาของหลานที ว่าท่านต้องการพาหลานไปคอยปรนนิบัติรับใช้”
โจวซินหลานโขกหัวลงกับพื้น น้ำตาของนางก็พลันเอ่อล้นออกมา
“เฮ้อ…”
โจวต้านเป่าถอนหายใจออกมา หรือว่าซินหลานมีเรื่องในใจที่ไม่อาจพูดออกมาได้
แต่ปกติซินหลานก็ไม่เคยปริปากพูดเช่นนี้ หรือว่า โจวลี่เสวี่ยทำเรื่องไม่ดีกับนางแล้วห้ามปรามไม่ให้นางบอกผู้ใดงั้นหรือ?
“…ไปเรียกแม่ของเจ้าออกมา”
น้ำเสียงและท่าทางของต้านเป่าดูเข้มขรึมขึ้นมาหลายส่วน
“เจ้าค่ะท่านปู่”
โจวซินหลานที่โขกหัวลงกับพื้นจนเป็นรอยแดงเงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา ก่อนจะวิ่งเร็วๆ เข้าไปในตัวบ้าน
ไม่นานลี่เสวี่ยก็เดินอ้อยอิ่งออกมาอย่างกับว่านางไม่ได้รีบร้อน
‘ท่านจะรอก็รอไป ข้าหาได้ใส่ใจไม่’
ใบหน้าที่แสดงออกว่าไม่ได้แยแสอะไรเชิดขึ้นด้วยความเย่อหยิ่งจองหอง
“วันนี้เหวินหลงจะมารับข้าไปอยู่ด้วย”
ทันทีที่พ่อสามีพูดจบใบหน้าที่ดูเหมือนว่าไม่พอใจก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นยกยิ้มอ่อนหวาน
“ท่านพ่อจะไปอยู่กับเหวินหลงหรือเจ้าคะ ท่านต้องการให้ข้าไปเก็บเสื้อผ้าช่วยหรือไม่”
คำพูดของโจวลี่เสวี่ยดูตื่นเต้นดีใจหลายส่วน แววตาและใบหน้าของนางยิ้มออกมาอย่างยินดี
“ข้าจะพาซินหลานไปด้วย”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ! ซินหลานนางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของข้า หากนางไปแล้วข้าจะบอกสามีข้าอย่างไร ข้าทั้งรักและห่วงใยนางมากเพียงนี้ หากข้าอยู่ห่างกับนางเพียงนิด ใจข้าคงทรมานไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่”
โจวลี่เสวี่ยนทำท่าทางเศร้าใจ แม้คำแรกของนางจะดูขึงขังแต่นางก็ปรับสีหน้าเร็วยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสีเสียอีก
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ตามข้าไปด้วยเถอะ เหวินหลงกับลูกเมียไม่สามารถดูแลข้าได้ตลอดเวลา ในเมื่อเจ้าไม่ให้ซินหลานไปเพราะคิดถึงนางมากมาย เช่นนั้น เจ้าก็จงย้ายไปอยู่ที่นั่นคอยปรนนิบัติข้าแทน”
‘ตาเฒ่านี่! อยากจากไปยังไม่พอ เขายังหวังให้ข้าตามไปพัดวีให้อีก หากซินหลานไม่อยู่ เช่นนั้นข้าต้องลงมือทำกับข้าวกับปลาเองหน่ะสิ แต่หากข้าไม่ยอม ข้าก็ต้องติดตามชายชรานี่ไปด้วย ที่เชิงเขาทั้งกันดาร ขาดแคลนน้ำ ไร้ผู้คน ที่แบบนั้นข้าจะไปอยู่ลงได้อย่างไร ข้ายังได้ยินมาว่าพวกเขาสร้างบ้านจากไม้ไผ่ ไม่เพียงเท่านั้นพื้นบ้านยังคงเป็นดินที่แตกระแหงไม่มีพื้นปูนหรือพื้นไม้ หากข้าติดตามไปด้วยคงจะทุกข์เสียมากกว่าสุขเป็นแน่’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น โจวลี่เสวี่ยจึงได้ชำเลืองหางตาไปทางซินหลานอย่างเสียดาย
ถ้าซินหลานไม่อยู่งานบ้านทั้งหมดคงหนีไม่พ้นนาง แต่หากต้องให้นางไปคอยรับใช้ไม้ใกล้ฝั่งที่ถือแม้แต่ถังน้ำเองยังไม่ไหว เช่นนั้น นางก็เลือกที่จะสละลูกสาวที่ไร้ค่านี่ทิ้งไปเสีย เพราะหากเลี้ยงลูกสาวไว้อีกไม่นานนางก็ต้องออกเรือน สตรีที่ออกเรือนก็เหมือนกับน้ำที่ถูกสาดออกไปไม่มีวันไหลย้อนกลับ อีกอย่างคนที่นางคิดจะพึ่งพิงก็ยังคงเป็นลูกชายอยู่วันยังค่ำ
“ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะให้ซินหลานไปคอยดูแลพวกท่าน ท่านพ่อสามีจะกลับมาที่นี่อีกหรือไม่เจ้าคะ หากท่านแยกเรือนออกไปแล้วที่แปลงนี้จะเป็นของสามีข้าโดยสมบูรณ์หรือไม่ แล้วที่นาที่เหลืออยู่ท่านจะแบ่งปันอย่างไร”
โจวลี่เสวี่ยทำท่าทางกังวล แววตาเสแสร้งนั้นมีเพียงแค่เจี้ยนจื่อเท่านั้นที่มองไม่ทะลุ
“หากเจี้ยนจื่อกลับมาก็ให้เขาไปหาข้า ข้าจะทำเรื่องยกที่ดินตรงนี้ให้กับเขา ที่นาที่เหลืออยู่สิบห้าหมู่ข้าก็จะยกมันให้กับเขาด้วย เรื่องกลับมาอยู่ที่นี่ข้าคงไม่กลับมาแล้ว”
โจวต้านเป่าเห็นสีหน้าดีใจของลี่เสวี่ยเขาก็นึกรังเกียจนางนัก หากปีนั้นคนที่เจี้ยนจื่อเลือกไม่ใช่นางมันคงจะดีกว่านี้
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อรู้ว่าสามีจะได้รับที่ทำกินมากกว่าสิบห้าหมู่ และสองผัวเมียชราวัยจะไม่หวนกลับมาอีก โจวลี่เสวี่ยก็ยกยิ้มยินดี พลางไล่บุตรสาวให้ไปเตรียมเสื้อผ้า แถมยังกำชับว่าให้ดูแลปู่กับย่าให้ดี
ซินหลานก้มหัวให้มารดาก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอย่างเร่งรีบ เพียงไม่กี่เสี้ยวลมหายใจซินหลานก็ถือห่อผ้าออกมาอย่างกับว่านางได้เตรียมการไว้นานแล้ว
“ตามข้ามา”
โจวต้านเป่าเพ่งมองหลานสาวอย่างพินิจ ดูเหมือนว่านางตั้งใจจะจากไปอยู่แล้ว หากข้าไม่พานางไปด้วย เป็นไปได้ที่หลานสาวผู้นี้จะหนีออกจากบ้านโดยไม่บอกกล่าวเป็นแน่
เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน?
โจวต้านเป่าเดินนำหลานสาวไปที่บ้านหลัก โดยมีลี่เสวี่ยยืนโบกมือให้ลูกสาวพลางเช็ดน้ำตาอย่างห่วงใย น้ำตาสายนั้นใครมองก็รู้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความยินดี
“สามีท่านมาแล้วหรือ ข้าวของพวกเรามีไม่มาก เหวินหลงบอกว่าที่นั่นมีของใช้อยู่บ้างแล้ว ข้าคิดแค่ว่าจะนำถ้วยชามหม้อไหไปด้วยอีกเล็กน้อย ท่านคิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ”
โจวหลิงเยี่ยนเห็นสามีเดินเข้ามาในตัวบ้านก็ถามไถ่ความเห็น
“นำที่นอน หมอน ผ้าห่มไปด้วยเถอะ แล้วก็เตรียมที่นอนอีกชุดไปให้ซินหลานด้วย จากนี้นางจะติดตามพวกเราไปอยู่ที่เชิงเขา”
น้ำเสียงของชายวัยกลางคนมีความลำบากใจไม่น้อย เขารู้ว่าเหวินหลงใจดี แต่หากต้องมาดูแลเพิ่มอีกหนึ่งปากท้องไม่รู้ว่าเขาจะคิดเห็นเช่นไร
“ซินหลานเด็กดี เจ้าจะไปกับย่าด้วยหรือ ดีแล้วๆ หากเจ้าไปอยู่ด้วยเจียหลินก็คงจะไม่เหงา มาเถอะ เจ้ามาช่วยย่าเก็บที่นอน รอท่านลุงของเจ้ามา ย่าจะบอกว่าย่าอยากให้เจ้าตามติดไปด้วย”
โจวหลิงเยี่ยนกวักมือเรียกหลานสาวที่นางเห็นมาตั้งแต่แบเบาะ
“เจ้าค่ะท่านย่า”
โจวซินหลานยิ้มทั้งน้ำตา นางดีใจเหลือเกินที่ท้ายที่สุดนางก็ได้หลุดพ้นจากขุมนรกอันลึกล้ำนั่นเสียที
คนด้านนอกอาจมองท่านแม่ดั่งเช่นสตรีรู้ความ นอกจากเก่งเรื่องงานบ้านแล้วยังมีความเป็นผู้นำสูง ทั้งยังคุมสามีได้อยู่หมัด แต่เรื่องลับๆ ที่ใครก็ไม่อาจรู้ได้ก็มีมาก มากเสียจนซินหลานไม่อาจรับมือไหว
“ข้าจะไปเก็บตะกร้ากับมีดพร้า บางทีเหวินหลงอาจได้ใช้มัน”
โจวต้านเป่าเดินเข้าไปในห้องครัว เมื่อก่อนตอนที่ชิงเหออยู่ด้วย ในโต๊ะอาหารนี้มักจะมีกับข้าววางไว้คอยท่า แต่ในยามที่นางจากไป อย่าว่าแต่อาหารสักจานเลย แม้แต่น้ำก้นถังที่เอาไว้ใช้สอยยังแทบจะหาไม่เจอ
ชายวัยกลางคนได้แต่เดินไปลูบคลำโต๊ะไม้นั้น ใจเขาอยากจะยกโต๊ะไม้กับเตียงนอนไปด้วย แต่หากทำเช่นนั้นคงทำให้บุตรชายเสียเวลา
เอาไว้วันหลังเขาค่อยหาจังหวะเหมาะๆ กลับมาขนข้าวของที่เหลืออยู่ไปก็ยังไม่สาย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป (หนึ่งชั่วโมง)
เหวินหลงก็กลับมายังบ้านพ่อแม่และย้ายของขึ้นเกวียนลา
“ที่แท้พวกเจ้าก็ต้องขนย้ายน้ำไปด้วยเช่นนี้”
ต้านเป่าที่ขึ้นเกวียนลาไปแล้วนั่งลงที่นั่งฝั่งซ้ายก่อนจะจับขอบโอ่งน้ำขนาดกลางที่เต็มไปด้วยน้ำทั้งสามโอ่งเพื่อหาที่ยึดจับ
“ซินหลานนางจะไปกับแม่ด้วย เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่”
หลิงเยี่ยนหันไปยิ้มให้กับบุตรชายที่พยุงนางขึ้นเกวียน เหวินหลงหันไปทางต้าผาง ต้าผางก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
เดิมทียิ่งคนน้อยเท่าไหร่เรื่องการขนส่งน้ำจะเก็บไว้ได้อย่างมิดชิดเท่านั้น แต่หากมีคนมากขึ้น อีกไม่นานเรื่องคันโยกคงจะปิดไว้ไม่อยู่แล้ว
“ท่านแม่ เอ่อ…”
เหวินหลงอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอไป
อันที่จริง ที่เขาอยู่ที่แห่งนั้นได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน ล้วนเป็นเพราะต้าผางที่แบ่งน้ำให้ใช้ เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายนัก หากซินหลานตามเขาไปเรื่องคันโยกนั้นก็คงปิดไว้ได้อีกไม่นาน
“ท่านอาเห็นใจหลานเถอะเจ้าค่ะ หลานรับรองว่าจะไม่ก่อกวนหรือสร้างความรำคาญใจ ไม่เพียงเท่านั้นหลานจะช่วยงานทุกอย่าง ขอเพียงแค่ให้หลานติดตามท่านปู่ท่านย่าไปด้วยก็พอ”
ซินหลานนั่งลงกับพื้นและโขกศีรษะลงดิน
ต้าผางถอนหายใจก่อนจะหันไปทางเหวินหลง เหวินหลงเดินมาทางต้าผางแล้วส่งสายตาอ้อนวอน
“ก็ได้ๆ ให้นางไปด้วยก็ได้ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้นต้องเก็บเป็นความลับ”
ต้าผางถอนหายใจแรงๆ ออกมา
“ขอบใจนะต้าผาง ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
เหวินหลงเดินไปจับมือต้าผางที่นั่งบนเกวียนลาอย่างกับว่าทาสคนหนึ่งกำลังยอมจำนนต่อผู้เป็นนาย
โจวต้านเป่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เหวินหลงย้ายออกไปที่เชิงเขา ที่ทางข้าก็แบ่งให้ไปแล้ว เหตุใดเขาต้องทำตัวเคารพต้าผางเช่นนั้น
‘ความลับที่ต้าผางว่าคือสิ่งใดกันแน่’
ชายวัยกลางคนได้แต่มองสถานการณ์โดยไม่เอ่ยปากถาม
“เร็วเข้ารีบขึ้นเกวียนลา เดี๋ยวชักช้าจะมืดค่ำเอาก่อน”
เหวินหลงหันไปพยุงหลานสาวที่ก้มศีรษะจรดพื้นดินด้วยความห่วงใย
“ขอบคุณท่านอา ขอบคุณลุงไป๋”
ซินหลานที่น้ำตาไหลพรากรีบเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ แล้วรีบปีนขึ้นเกวียนไปนั่งข้างกายท่านย่าของนางทันที
เมื่อเกวียนลาที่มีหลังคามุงเคลื่อนตัวออกไป โจวลี่เสวี่ยกับเจี้ยนหยางที่เป็นบุตรชายก็ออกมาจากตัวบ้าน
“ท่านแม่ ซินหลานไม่อยู่แล้ว มื้อค่ำพวกเราจะกินอะไรหรือขอรับ”
โจวเจี้ยนหยางเดินออกมาจากตัวบ้าน แล้วมองตามหลังรถม้าด้วยสายตาละห้อย
หากท่านปู่ไม่อยู่ ท่านย่าไม่อยู่ แถมซินหลานก็ไม่อยู่ เป็นไปได้ว่าเมื่อท่านพ่อกลับมาก็คงต้องพิจารณาอีกรอบว่าควรติดตามไปด้วยหรือไม่ เจี้ยนหยางถอนหายใจออกมา
“น้องสาวเจ้าไม่อยู่ก็ยังมีแม่อยู่ไม่ใช่หรือ ลูกแม่เจ้าไปพักก่อนนะเดี๋ยวแม่จะเตรียมมื้อเย็นให้เจ้าเอง”
โจวลี่เสวี่ยหันไปบอกลูกชายวัยใกล้ออกเรือน
ตามที่นางคาดการณ์ไว้ อีกไม่นานเจี้ยนหยางก็จะแต่งแม่นางหยงเข้าบ้าน เมื่อถึงคราวแยกบ้าน นางก็แค่ยกบ้านหลักของท่านพ่อสามีให้พวกเขาไปอยู่อาศัย ไม่เพียงแต่ประหยัดค่าสร้างบ้านได้ นางยังจะได้ลูกสะใภ้มาคอยปรนบัติพัดวี ถึงตอนนั้นเรื่องอาหารเอย งานบ้านเอย ก็จะเป็นหน้าที่สะใภ้ที่จะมาดูแล
คิดได้เช่นนั้นลี่เสวี่ยก็ยิ้มร่าเดินไปหุงหาข้าวปลาให้ลูกชายทันควัน
เกวียนลาเคลื่อนตัวออกมาจากหมู่บ้านไท่ซางไกลพอสมควร ต้าผางอะแฮ่มเล็กน้อย เหวินหลงจึงหยุดเกวียนลาไว้ชั่วคราวก่อนจะหันไปทางครอบครัวของตน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ซินหลาน จากนี้ไปไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ให้ยึดตามต้าผาง เชื่อฟังม่านหรง ที่สำคัญไม่ว่าจะพบเห็นสิ่งใดที่นั่นก็ให้นิ่งเงียบและห้ามนำออกมาเปิดเผย หากทำได้ข้าจะยินยอมให้เจ้าติดตามไปด้วยและเลี้ยงดูเจ้าอย่างดี”
โจวเหวินหลงหันไปทางผู้ให้กำเนิดก่อนจะหันไปหยุดอยู่ที่ซินหลานที่เป็นหลานสาว
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร พวกเราก็ไปอยู่ในที่ของเรา เหตุใดต้องยึดตามต้าผาง แถมยังต้องเชื่อฟังม่านหรงด้วยเล่า”
โจวหลิงเยี่ยนจ้องบุตรชายอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าคงไม่ได้กลับบ้านอีกแล้ว ข้ารับปากเจ้าค่ะ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ท่านลุงต้าผางเลย”
ซินหลานก้มหัวผสานมือหันไปทางต้าผาง ต้าผางพยักหน้าให้นางเล็กน้อย
“ท่านย่าขอรับ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่น แต่ท่านย่าไม่ต้องกังวลที่แห่งนั้นไร้กฎเกณฑ์ ท่านย่าสามารถอยู่กินได้ตามสบาย เพียงแต่ว่าท่านย่าห้ามพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้นก็เป็นพอ”
โจวเว่ยที่นิ่งเงียบมาพักใหญ่หันไปบอกกล่าวท่านย่าของเขา ก่อนจะหันไปสบตากับท่านปู่ที่ไม่แสดงความแปลกใจมากนัก
“ได้ ข้ารับปาก ขอแค่ข้ากินอยู่อิ่มท้อง นอนหลับสบาย แค่เก็บความลับเล็กน้อยไม่ยากเลยสำหรับข้า”
โจวต้านเป่าสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาเชื่อว่าบุตรชายของเขาจะไม่ทำให้เขาลำบากใจจึงตกปากรับคำไป
“เช่นนั้นก็อย่างที่สามีข้าว่า ข้าจะไม่อ้าปากพูดหรือแพร่งพรายเรื่องใดๆ เกี่ยวกับที่แห่งนั้น”
โจวหลิงเยี่ยนถอนหายใจออกมาแล้วหันไปทางบุตรชายที่ฉีกยิ้มอย่างพอใจ
“กลับกันเถอะ”
ต้าผางออกคำสั่ง เหวินหลงก็บังคับเกวียนลาออกไป
สองสามีภรรยามองหน้ากัน ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเป็นแน่ สีหน้าของพวกเขาดูกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก
กลับกัน สีหน้าของซินหลานมีความยินดีแฝงอยู่ นางรู้ว่าท่านอาของนางเป็นคนดี แค่ปกปิดเรื่องเล็กน้อยแลกกับอิสระนางย่อมเห็นว่าคุ้มค่า
