บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 21 เกวียนใหม่

“ใช่ๆ น้ำนี้เป็นของลูกสาวอันเป็นที่รักของเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า อย่าว่าแต่บ้านอี้ที่พวกเราไปขายน้ำให้เลย แม้แต่ตัวข้ากับชิงเหอก็ยังไม่อยากกลับไปกินน้ำในหมู่บ้านนั่นอีกแล้ว”

โจวเหวินหลงยิ้มกว้างตามแบบฉบับของเขา ก่อนจะหันไปทางม่านหรงด้วยสายตาคาดหวัง

“เอ่อ… ม่านหรง จะเป็นอะไรหรือไม่ หากลุงจะขอน้ำนี้ไปให้ท่านพ่อท่านแม่ของลุงได้ดื่มกินบ้าง”

โจวเหวินหลงยิ้มแห้งๆ อันที่จริงเขารู้ว่าบ้านไป๋ช่วยตนไว้มากไม่แพ้กันกับที่ตนช่วยบ้านไป๋เอาไว้ ดังนั้นการขออนุญาตก่อนหยิบจับสิ่งของของผู้อื่นไป น่าจะเหมาะสมมากกว่าการที่จะนำของของผู้อื่นไปโดยไม่บอกกล่าว

“เชิญท่านลุงนำกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”

ม่านหรงอมยิ้ม ‘ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก แค่น้ำไม่กี่โอ่งข้าไม่ถือสาหรอก’

“แต่ว่า… ท่านลุงไม่สามารถนำน้ำนี้ไปให้ใครตามใจชอบได้ ดังนั้นข้าอนุญาตให้ท่านลุงนำน้ำไปให้แค่บ้านพ่อแม่ของท่านเท่านั้นนะเจ้าคะ”

“ลุงเข้าใจๆ หากลุงนำน้ำไปมากเกินไป ผู้อื่นคงจะสงสัยเอา”

เหวินหลงยิ้มแห้งๆ พลางเกาท้ายทอย ถึงม่านหรงจะกำชับมาแบบนั้นก็เถอะ เขาเองก็ไม่รู้แล้วว่าจะเอาน้ำสะอาดนี้ไปให้ใครได้อีก

“อันที่จริงข้าหาได้เป็นคนใจดำนะเจ้าคะ แต่ว่าในเมื่อเราบอกคนอื่นๆ ไปเช่นนั้นแล้ว หากจะกลับคำและบอกว่าที่บ้านมีคันโยกน้ำอยู่ ข้าเกรงว่าที่แห่งนี้คงจะไม่สงบสุขอีกต่อไป”

ม่านหรงกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง

“ลุงรู้ ลุงจะไม่เปิดเผยเรื่องน้ำบาดาลนี่ออกไปอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่ลุงเลย ป้าโจว เจียหลิน หรือแม้แต่โจวเว่ยก็จะไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกไป”

เหวินหลงยิ้มกว้างให้ม่านหรง

แน่นอนว่าน้ำนี้จะทำให้เขาได้เงินมากมายในอนาคต อีกอย่างการเปิดเผยเรื่องคันโยกคงส่งผลร้ายตามมามากกว่าผลดี ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะรับปากม่านหรงไป

“เช่นนั้นก็ดียิ่งเจ้าค่ะ เพราะข้าก็ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัวจากน้ำนี้เช่นกัน และหากมีโอกาสข้าก็อยากปลูกผักทำนาด้วยน้ำนี้ แน่นอนว่าในวันหน้าท่านลุงโจวกับครอบครัว จะไม่ลำบากอย่างแน่นอน”

ม่านหรงยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กๆ

“โอ้ นี่เจ้าคิดเผื่อลุงด้วยแล้วหรือนี่”

เหวินหลงหัวเราะลั่นอย่างพอใจ

โจวเว่ยมองม่านหรงไม่กะพริบตา ไม่คาดคิด ว่าม่านหรงนางจะคิดการณ์ไกลไปถึงขนาดนั้น แต่ถ้าหากน้ำนี้ไม่มีวันหมดจริง การปลูกผักปลูกข้าวก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

“เอาล่ะๆ มาทำงานต่อเถอะ ยิ่งเราทำเกวียนนี่เสร็จเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะได้ไปซื้อโอ่งน้ำมาเร็วเท่านั้น”

ต้าผางตบหลังเพื่อนรักเบาๆ ในยามนี้บนใบหน้าของต้าผางมีรอยยิ้มพอใจแฝงอยู่ไม่น้อย

อย่างน้อยๆ ม่านหรงก็มีน้ำใจกับบ้านโจว ถึงจะให้ส่วนแบ่งน้อยไปบ้าง แต่รวมๆ แล้ว บ้านโจวก็ไม่มีทางเสียเปรียบ

ไม่รู้ว่า หากท่านแม่รู้เรื่องนี้เข้า ท่านจะมาเรียกร้องหรือเสียดายภายหลังหรือไม่

ต้าผางมีสีหน้าหม่นลงเมื่อคิดถึงครอบครัวกับแม่ของตน

หนึ่งชั่วยามผ่านไป…

เกวียนลาเล่มใหม่ก็ทำการรื้อถอนติดตั้งจนแล้วเสร็จ ม่านหรงที่อาสาสานหลังคาจากไม้ไผ่ให้ก็ยิ้มกริ่มอย่างยินดี

“ไม่เลวๆ ดูสิ พอเรารื้อแผ่นไม้แล้วทำเกวียนใหม่ เกวียนสี่ล้อนี่ก็กว้างและใหญ่ขึ้นมาก ที่นั่งสองฝั่งนี่นอกจากจะนั่งไปเร่ขายน้ำได้แล้ว ยังสามารถพาคนทั้งสองบ้านไปเลือกซื้อของต่างหมู่บ้านได้อีกด้วย”

เหวินหลงเดินสำรวจดูแล้วพบว่าเกวียนลาของเขาในยามนี้ช่างสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ

ดูด้วยตาเปล่าก็รู้ ว่ามันบรรจุของได้มากมายกว่าเดิมขนาดไหน เพียงแต่ไม่รู้ว่าลาสองตัวของเขาจะรับภาระไหวหรือเปล่านี่สิ

“เกวียนนี้ใหญ่กว่าเดิมมาก ท่านลุงโจวเจ้าคะ ลาของท่านจะไหวหรือไม่”

ทันทีที่เหวินหลงคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ม่านหรงก็เอ่ยถามออกมาอย่างกับว่านางอ่านใจเขาได้

“ลุงตอบตามตรงนะ ลุงไม่มั่นใจว่าพวกมันจะเดินทางข้ามไปถึงสองหมู่บ้านไหวไหม วันนี้พวกมันยังดูเหมือนว่าเหนื่อยมากๆ ยังดีที่ให้พวกมันแวะดื่มน้ำไปตามทางได้บ้าง แต่เกวียนที่ใหญ่เช่นนี้…”

เหวินหลงไม่กล้ารับปากว่าลาที่ผอมแห้งของตนจะสู้งานได้นานมากแค่ไหน

“ลาหนึ่งตัวราคากี่อีแปะหรือเจ้าคะ”

ม่านหรงหันไปทางบิดา

“ลาหรือกระบือราคาก็สูสีกัน แต่ในยามนี้ก็ไม่นิยมซื้อมาเลี้ยงนัก อย่างที่ลูกเห็นนั่นแหละ ถ้าไม่พอมีอยู่มีกินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเลี้ยงลาในเวลาเช่นนี้ก็สิ้นเปลืองจนเกินความจำเป็น”

“ดังนั้นท่านพ่อจะบอกว่าลาในยามนี้ราคาไม่แพงนักใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“เป็นเช่นนั้น หากจะเปรียบกับอาหาร ลาก็ถือว่าเป็นสิ่งไร้ค่าในยามนี้ ถึงราคาจะสูงมากในเมื่อก่อนแต่ยามนี้ราคาก็น่าจะพอซื้อไหว”

ไป๋ต้าผางครุ่นคิด

“แล้วหากเราซื้อม้าล่ะเจ้าคะ”

ม่านหรงยิ้มกว้างออกมา แน่นอนว่าม้าย่อมดีกว่าลา หากม้าราคาไม่แพงนั่นก็ควรซื้อมาเก็บไว้สักสองสามตัว

“หากเป็นลา ในยามนี้น่าจะหนึ่งตำลึงเงิน แต่ว่าม้านั้นต่างกันออกไป เพราะคนมีฐานะยังคงเลือกที่จะเลี้ยงพวกมันไว้เป็นพาหนะในการเดินทางอยู่ไม่น้อย”

ไป๋ต้าผางหันไปทางบุตรสาว อย่าบอกนะว่าม่านหรงต้องการซื้อม้า นี่นางคิดจะมองข้ามลาไปเลยหรืออย่างไร

“แล้วราคาของม้ามันเท่าไหร่หรือเจ้าคะ”

ม่านหรงยิ้มตาหยีมองบิดา ต้าผางได้แต่ถอนหายใจก่อนจะตอบว่า

“ราวๆ ห้าตำลึงเงิน”

“หนึ่งพันอีแปะเท่ากับหนึ่งตำลึงเงิน เช่นนั้นข้าต้องมีเงินมากกว่าห้าพันอีแปะใช่หรือไม่”

ม่านหรงขมวดหัวคิ้ว ก่อนจะยิ้มทะเล้นออกมาแล้วถามต่อ

“แล้วไก่ในยามนี้ขายได้ราคาดีหรือไม่เจ้าคะ”

ต้าผางได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มและพยักหน้า แน่นอนว่าไก่ตัวอวบอ้วนเช่นนั้นต้องได้ราคาที่มากพอ

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บหน่อไม้กับท่านแม่ด้วย”

ม่านหรงขยิบตาให้บิดา

“เฮ้อ ม่านหรงเอ๊ย เจ้าก็อย่าได้คาดหวังกับไก่ป่ามากนักเลย แต่หากจะเก็บหน่อไม้ไปขายนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

เหวินหลงส่ายหัว

หน่อไม้… นั่นสิหน่อไม้ก็นำไปขายได้นี่นา เหวินหลงกับบุตรชายหันไปมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย

ม่านหรงเห็นดังนั้นก็เข้าใจแล้วว่าท่านลุงโจวคิดอันใดอยู่

“เช่นนั้นพวกเราก็เก็บหน่อไม้ไปขายกันเถอะเจ้าค่ะ แต่หน่อไม้นี้เราจะไม่แบ่งกำไรกันนะเจ้าคะ ใครเก็บได้มากก็ขายได้มาก แบ่งขายบ้านใครบ้านมัน”

ม่านหรงหันไปทางบิดาเป็นเชิงว่านางยุติธรรมมากพอตัว ต้าผางอมยิ้มให้บุตรสาวที่รู้จักแบ่งปันผู้อื่น

“พวกเราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร หน่อไม้นี้เดิมทีก็เป็นม่านหรงที่พบเจอก่อน เอาแบบนี้เถอะ เราเก็บมาแล้วขายรวมกัน ไม่ว่าจะขายได้เท่าไหร่ก็แบ่งกันคนล่ะครึ่ง พวกเจ้าว่าดีหรือไม่”

เหวินหลงฉีกยิ้มออกมา หากได้เงินจากหน่อไม้เพิ่มมาอีกล่ะก็ ในหนึ่งวัน เขาจะต้องได้รับเงินอีแปะมามากกว่าร้อยเหรียญเป็นแน่

ม่านหรงส่ายหัว นางขี้เกียจที่จะไปเก็บหน่อไม้ ใจนางคาดหวังเพียงแค่ไก่จากระบบ แต่ในเมื่อท่านลุงโจวพูดเช่นนั้นนางก็ยินดีรับมันเอาไว้

“เช่นนั้นก็ตามนี้นะเจ้าคะ ส่วนไก่หากใครเจอก่อนก็เป็นของคนนั้น”

ม่านหรงขยิบตาให้ท่านลุงโจว

“ตกลง”

เหวินหลงยิ้มกว้างอย่างพอใจ ก่อนจะพาโจวเว่ยและต้าผางขนน้ำหนึ่งตุ่มขึ้นเกวียนจากไป

“ลูกสาวเจ้าช่างใจกว้างเสียจริง”

เหวินหลงยิ้มแย้มพลางบังคับเกวียนลาเข้าไปทางหมู่บ้าน

“นางก็เป็นเช่นนี้”

ต้าผางถอนหายใจออกมา

“เจ้าไม่คิดจะนำน้ำไปให้บ้านแม่ของเจ้าบ้างหรือ”

เหวินหลงเอ่ยถาม

“ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“เพราะเจ้าเคืองโกรธท่านป้าไป๋อยู่งั้นหรือ”

เหวินหลงรู้ว่าต้าผางแข็งนอกอ่อนใน จึงพูดให้เขาลดทิฐิลงบ้าง อย่างน้อยๆ นั่นก็คือแม่ที่ให้กำเนิดเขา

“ไว้ข้าจะถามม่านหรงก่อน”

ไป๋ต้าผางไม่อยากพูดอะไรมากจึงตอบไปเพียงเท่านั้น แล้วเลือกที่จะไม่พูดต่อ

ผ่านไปไม่นาน เกวียนลาคันใหญ่ของเหวินหลงก็ไปหยุดที่หน้าบ้านหลัก เขากับต้าผางและโจวเว่ยช่วยกันตักน้ำใส่ถังไม้แล้วนำไปเทใส่ตุ่มให้กับบิดา

“นี่คือ?”

โจวต้านเป่าเห็นเหวินหลงกับหลานชาย รวมทั้งต้าผาง ยกถังน้ำมาทางตนจึงเอ่ยถามไป

“นี่คือน้ำที่พวกข้าทำออกมาขายขอรับ ข้าอยากให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้ลองดื่มดู”

เหวินหลงยังคงยึดมั่นในคำพูดของตนที่ว่าจะไม่มีทางบอกเรื่องคันโยกให้ผู้ใดรับรู้

“อืม ไม่เลวๆ น้ำนี้ใสมาก”

โจวต้านเป่ายิ้มกว้างออกมาเมื่อมองลงไปในถังน้ำ

“เหตุใดน้ำในโอ่งของท่านพ่อ ถึงได้แห้งขอดเช่นนี้ล่ะขอรับ”

เหวินหลงนึกเอะใจ ก่อนหน้านี้ที่เขากับภรรยาอยู่ที่บ้าน น้ำโอ่งนี้มักจะถูกเติมเต็มเสมอ แต่ผ่านไปแค่คืนเดียวไฉนถึงได้กลายมาเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว

“พี่ใหญ่ของเจ้าออกไปทำงานนอกหมู่บ้านแล้ว ดูเหมือนว่าอีกหมู่บ้านหนึ่งกำลังสร้างบ้านเรือนหลังโต ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการคนแบกหามชั่วคราว”

“เช่นนั้น ท่านลุงเจี้ยนจื่อจึงไม่สามารถกลับมาที่นี่ ในเร็วๆ นี้ใช่หรือไม่”

โจวเว่ยสบตากับท่านปู่แล้วถามอย่างตรงไปตรงมา ยิ่งเห็นท่านปู่พยักหน้า โจวเว่ยกับต้าผางก็ยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเกิดอันใดขึ้น

เป็นไปได้หลายส่วน ว่าโจวลี่เสวี่ยละเลยหน้าที่ของลูกสะใภ้ แถมยังไม่ได้ทำอาหารมาส่งให้พวกท่าน เหวินหลงรู้สึกเจ็บปวดใจ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไปอยู่ที่ตีนเขากับลูกเถอะ ถึงที่นั่นจะห่างไกลผู้คน แต่ที่นั่นยังมีข้า มีชิงเหอ ข้ารับปากว่าจะไม่พาพวกท่านไปลำบากนานเกินไป”

เหวินหลงหันไปทางต้าผางอย่างขอความเห็นใจ เขาไม่อาจทิ้งพ่อแม่ที่แก่เฒ่าไว้เพียงลำพังเช่นนี้

เมื่อเห็นต้าผางขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า เหวินหลงจึงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเงยหน้าอ้อนวอนให้บิดามารดาตามติดเขากลับไปที่เชิงเขาด้วย

โจวหลิงเยี่ยนน้ำตาคลอเบ้า สุดท้ายคนที่ดูแลนางตลอดมาก็เป็นชิงเหอกับเหวินหลง นางหันไปสบตากับสามีแล้วพยักหน้า นางรู้ว่าเจี้ยนจื่อก็ดีกับนางไม่น้อย แต่ใดๆ คือ เจี้ยนจื่อไม่สามารถดูแลนางได้ตลอดเวลาดั่งเช่นบ้านเล็กของเหวินหลง

“เฮ้อ… ได้สิ! พ่อจะไปกับเจ้า”

โจวต้านเป่าถอนหายใจแรงๆ ออกมา

เมื่อก่อนเขากับภรรยายังแข็งแรงดีอยู่ ทว่า หลังจากประสบภัยแล้ง เขากับเมียรักก็อ่อนแรงลงเรื่อยๆ อย่าว่าแต่หางานทำเลย แม้แต่แรงที่จะไปแบกน้ำกลับมาใช้ก็ล้วนไม่มีแล้ว

ตอนแรกพวกเขาคิดจะฝากความหวังไว้ที่เจี้ยนจื่อที่เป็นลูกชายคนโต แต่พอเจี้ยนจื่อจากไป ลี่เสวี่ยก็ไม่แลเหลียวพวกเขาเลยแม้แต่นิด

หากไม่มีหน่อไม้ของเหวินหลงทิ้งไว้ให้ สองปู่ย่าวัยกลางคนนี้ก็คงไม่มีอันใดตกถึงท้อง

ยิ่งคิดใจของชายวัยกลางคนก็พลันเจ็บแปลบๆ ขึ้นมา

“ดีเลยขอรับ ท่านพ่อกับท่านแม่เก็บเสื้อผ้ารอข้าก่อนนะขอรับ ข้าจะพาต้าผางไปซื้อโอ่งน้ำก่อน ไว้ขากลับข้าจะแวะมารับพวกท่าน”

เหวินหลงน้ำตาซึม โจวเว่ยที่ยืนข้างๆ ท่านลุงไป๋ก็แอบเช็ดน้ำตา

“ไปเถอะ แม่รู้แล้ว”

หลิงเยี่ยนยิ้มบอกลูกชายแล้วช่วยพยุงให้เหวินหลงลุกขึ้นยืน

ว่ากันว่าใต้เข่าของชายชาตรีนั้นมีทองคำ นางเองก็ไม่อยากให้ลูกชายมาก้มหัวร้องขอนางพร่ำเพรื่อ และนางยังรับรู้แล้วว่าเหวินหลงดีต่อนางกับสามีมากแค่ไหน

“เดี๋ยวข้ามานะขอรับ ท่านพ่อ ท่านไปบอกนางหน่อยนะขอรับ หากพี่ใหญ่กลับมาจะได้รับรู้ว่าพวกท่านไปอยู่กับข้าแล้ว”

“อืม พ่อจะบอกนางเอาไว้ รีบไปเถอะนี่ก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว”

โจวต้านเป่าโบกมือไล่บุตรชายเมื่อเห็นว่าใกล้ยามโหย่ว (17:00-18:59 น.) แล้ว

หลังจากเหวินหลงเคลื่อนเกวียนออกไปไกล โจวหลิงเยี่ยนก็เข้าไปเก็บเสื้อผ้าพลางเช็ดขอบตาที่ร้อนผ่าวที่มีน้ำตาไหลรินออกมา

โจวต้านเป่าเดินไปบ้านของเจี้ยนจื่อแล้วเคาะประตูเรียกอยู่นาน ทั้งๆ ที่ในบ้านมีคนอยู่ แต่ทั้งลูกสะใภ้และหลานๆ ต่างเงียบกริบไม่ขานตอบ

“เหวินหลงมารับข้าไปอยู่ด้วย หากเจี้ยนจื่อกลับมาก็อย่าลืมบอกเขาด้วยล่ะ”

แอดดด~

ทันทีที่ต้านเป่าพูดจบประโยค บานประตูบ้านของเจี้ยนจื่อก็เปิดออกมา

“ท่านปู่จะไปอยู่ที่อื่นหรือเจ้าคะ”

โจวซินหลาน-ลูกสาวเพียงคนเดียวของเจี้ยนจื่อแง้มประตูออกมาเล็กน้อย นางพูดเบามากอย่างกับกลัวว่าท่านแม่ของนางจะได้ยิน

“ปู่จะไปอยู่ที่เชิงเขา จากนี้เจ้าก็ต้องดูแลตนเองให้ดี”

ปู่โจวลูบหัวหลานสาวที่รู้ความ แต่นางนั้นกลัวมารดามาก จนไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ

“ท่านปู่ ข้า… ให้หลานไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

ซินหลานหันไปมองด้านในอย่างลนลาน กลัวว่ามารดาจะได้ยิน

“เจ้าไม่อยากอยู่กับแม่หรือ”

ปู่โจวเอ่ยถามหลานสาวอย่างไม่เข้าใจ

โจวซินหลานส่ายหัวรัวๆ ท่านแม่รักแต่เจี้ยนหยางที่เป็นพี่ชายของนาง และนางก็ถูกมองข้ามไปดั่งกับว่านางไร้ซึ่งตัวตน นางไม่อยากอยู่ในเงาที่มืดมิดนี้แล้ว หากท่านปู่ไม่อยู่ ท่านแม่ต้องลงหวายหวดหลังนางเข้าสักวัน ซึ่งนางไม่เต็มใจ ไม่ยินยอม และไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel