ตอนที่ 19 ความโลภ
ไป๋ม่านหรงกำลังตักน้ำไปรดหน้าดิน เพื่อที่จะทำให้พื้นดินตรงนั้นชุ่มและขุดพรวนง่ายขึ้น
นางไม่ได้รู้เห็นเลยว่าพ่อกับแม่ของเจ้าของร่างกำลังระเบิดอารมณ์กันใหญ่โต
นางเพียงแต่หาจุดจุดหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวบ้าน แถมยังลอบวางแผนว่าจะวางบ้านหลังใหม่ไว้ตรงไหน หรือแม้กระทั่งควรลงมือทำแปลงผักที่ใด ถึงจะเหมาะสม
ม่านหลงฮัมเพลงอย่างสบายอุราพร้อมกับเดินวนขนย้ายน้ำหลายรอบ
…
“ท่านพี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร ลูกของเรา ม่านหรง!! นางตายไปแล้วครั้งหนึ่งงั้นหรือ!”
ไป๋หลิวเหยาทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
‘ไม่จริง! ลูกของข้าตายตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วม่านหรงที่ข้าเห็นอยู่เล่า?’
ไป๋ต้าผางยกมือข้างขวาขึ้นมากุมหัว มืออีกข้างเท้าเอว เขาเดินวนคิดไปมา
เพราะความกังวลของเขาแท้ๆ เขาจึงได้หลุดปากพูดสิ่งในใจออกไปมากมาย ทีนี้เขาจะแก้ต่างให้ม่านหรงได้อย่างไร อีกอย่างหลิวเหยาจะนำเรื่องนี้ไปพูดต่ออีกหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้
ยิ่งพักหลังๆ นางชอบเจรจาพูดคุยกับชิงเหอ หวังว่ามันจะไม่มีเรื่องใหญ่โตอันใดเกิดขึ้นมาอีกนะ
“ลูกสาวข้านางตายไปแล้วหรือ? …แล้วม่านหรงที่เราเห็นอยู่คือผู้ใด?”
หลิวเหยาน้ำตาไหลพราก นางเงยหน้าขึ้นแล้วคลานเข่าเข้าไปเกาะขาสามีอย่างลนลาน สายตาคู่งามที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเกิดความคับข้องใจ หัวใจของนางเจ็บปวดราวกับว่าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ความทรมานนี้ยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้
“เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้าหน่ะ! ม่านหรงก็คือม่านหรงคนเดิมนั่นแหละ เพียงแค่นางอาจจะได้รับผลกระทบจากความโชคดีที่เราได้รับมาบ้างก็เท่านั้น ข้าถึงได้บอกเจ้าว่าอย่าเห็นใจผู้อื่นให้มันมากนัก หากความใจดีของเจ้าทำให้ลูกสาวของเราลำบากจนกระทั่งเจ็บป่วย หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะยื้อชีวิตของนางกลับมาได้อีกครั้งหรือ สิ่งที่นางได้รับมาก็คือของของนาง ในเมื่อนางเอ่ยปากเจ้าก็จงเชื่อฟัง ข้ายังอยากเห็นนางแต่งงานออกเรือนมีลูกหลานสืบไป ดังนั้น เจ้าควรรู้ว่าต้องทำอย่างไรใช่หรือไม่”
“เช่นนั้นไก่ หรือหน่อไม้นั่น…”
หลิวเหยาเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปทางสามีที่กระวนกระวายใจไม่ต่างจากนาง
“นั่นก็เพราะม่านหรงขอพรมาอย่างไรเล่า นางบอกว่าที่นี่ไม่มีน้ำนางจึงขอแหล่งน้ำที่ไม่มีวันหมด นางเห็นว่าพวกเราไม่มีอาหารจึงขอหน่อไม้ ขอไก่มาให้พวกเรา แต่เจ้า!! เจ้าอยากจะนำของซึ่งที่แรกมาด้วยอะไรสักอย่างของลูกสาวไปส่งต่อให้ผู้อื่น เจ้า! เหอะ!!”
ต้าผางชี้ไปที่ภรรยาด้วยความเคืองโกรธ
“ข้าไม่รู้มาก่อน ข้าคิดแค่ว่า …พวกเราแค่โชคดี”
“หากเจ้าโชคดีมาก แล้วเหตุใดเมื่อก่อน ก่อนที่ม่านหรงจะจมน้ำ เจ้าถึงไม่ได้มีความโชคดีพวกนี้เลย”
ต้าผางถอนหายใจออกมาอย่างกับว่าความอัดอั้นก่อนหน้านี้ได้ถูกปลดปล่อยออกไปจนหมดแล้ว
“เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าเจ้าควรใส่ใจม่านหรงให้มาก คอยสังเกตดูว่านางไม่สบายตรงไหนหรือไม่ หรือมีสีหน้ากังวลอะไรหรือเปล่า และก็เจ้าจงเหยียบเรื่องนี้ให้มิด เพราะหากมีคนรู้เข้าว่าม่านหรงมีพรติดตัวมาด้วย นางอาจจะเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้”
ต้าผางพยุงเมียรักขึ้นมาจากพื้น แล้วกล่าวเน้นย้ำหลิวเหยา เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับลูกสาวของเขาเข้าสักวัน
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ต่อจากนี้ข้าจะไม่เห็นใจใครอีก ข้า… ขอไปดูม่านหรงก่อน”
หลิวเหยาผละออกจากอ้อมกอดสามีแล้วเดินเร็วๆ ไปหาบุตรสาวที่กำลังโยกน้ำไปเทราดพื้นดิน
“ม่านหรง ลูกทำอันใดอยู่หรือ”
หลิวเหยาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วรีบปรับท่าทางให้เป็นปกติก่อนจะเดินไปถามไถ่บุตรสาว
“ท่านแม่มาพอดีเลย ท่านดูสิเจ้าคะ ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะปลูกผักตรงนี้ ท่านแม่ว่าถ้าเรามีผักกินจะดีหรือไม่ ข้าอยากให้ท่านแม่มีอาหารหลายๆ อย่าง ท่านกินผักกินไก่จะได้แข็งแรง”
ม่านหรงยิ้มอ่อนมองไปทางมารดา ก่อนจะเดินถือถังไม้ที่เต็มไปด้วยน้ำนำไปเทราดจุดเดิมซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง
ลูกสาวของข้ากลัวว่าข้าจะไม่แข็งแรง นางตั้งใจจะปลูกผักเพื่อข้างั้นหรือ แล้วข้าล่ะ ข้าทำอะไรเพื่อนางได้บ้าง
จู่ๆ น้ำตาที่คิดว่าหยุดไปแล้วของหลิวเหยาก็ไหลทะลักออกมาอีกครั้ง หลิวเหยารีบหันหลังกลับปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม แล้วบอกม่านหรงไปว่า…
“ปลูกผักก็ดี แม่จะไปดูพ่อของเจ้าก่อน เห็นเขาบ่นว่าเมื่อย แม่จะไปนวดแขนขาให้เขาสักหน่อย”
หลิวเหยากลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้แล้วพูดออกมาอย่างเนิบช้า ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว
“โอ้ นวดแขนขาเวลานี้ คงไม่ใช่ว่า…”
ม่านหรงหัวเราะคิกคักเพราะคิดว่าสองสามีจะเล่นจ้ำจี้กัน
“เฮ้อ พื้นดินนี่ก็แห้งและแข็งเกินไปแล้ว ข้ายกถังน้ำมาเทซ้ำหลายรอบแล้วนะ แต่เหตุใดมันเหมือนกับว่าน้ำที่เทลงดินไปถูกดูดลงไปด้านล่างแล้วหายจ๋อมไปเลย ช่างเถอะๆ ในเมื่อมันแห้งเหือดเร็วเช่นนี้ก็ตักน้ำมารดอีกหลายๆ รอบ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพื้นดินจะไม่มีทางชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง”
ม่านหรงปาดเหงื่อออกจากหน้าผากเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปโยกคันโยกอีกรอบ
“เจ้าร้องไห้กลับมาเพราะอันใด ไม่ใช่เจ้าบอกว่าจะไปดูลูกหรอกหรือ”
ต้าผางขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ม่านหรงกำลังจะทำแปลงผักเจ้าค่ะ แต่พื้นดินมันแข็งไปหน่อยนางจึงตักน้ำไปเทราดพื้นดินหลายรอบ”
“แล้ว? เจ้าร้องไห้เพราะเรื่องใดอีก”
ต้าผางไม่เข้าใจว่าภรรยาของตนกำลังจิตใจอ่อนล้า จึงถามออกไปเช่นนั้น
“นาง นางบอกว่าจะปลูกผักให้ข้ากิน”
“ทุกอย่างนางก็ทำเพื่อเรา ในเมื่อรู้แล้วเจ้าก็ไปช่วยนางเสียเถอะ”
“ข้าเห็นหน้านางแล้วน้ำตาข้าก็ไหลออกมาเอง ข้าไม่กล้ามองหน้านางตรงๆ ข้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้นางจะต้องเจ็บปวดมากขนาดไหน เพียงแค่คิด ใจข้าก็สับสนวุ่นวาย ข้าห้ามตัวเองไม่ได้เลย”
ต้าผางได้ยินเช่นนั้นเขาก็ดึงเมียรักมาสวมกอดพร้อมกับถอนหายใจยาวๆ ออกมา
“อย่าห่วงไปเลย ทุกอย่างจะต้องราบรื่น ม่านหรงพูดแล้วว่านางจะไม่จากไปไหนอีก ดังนั้นเจ้าจงทำตัวตามปกติ อย่าได้ทำให้นางลำบากใจเลย”
ต้าผางลูบหลังเมียรักอย่างปลอบโยน
“ฮึก… ต่อไปข้าจะเชื่อลูกสาว ข้าจะไม่เห็นใจใครอีกแล้ว”
หลิวเหยาสะอื้นไห้ออกมาเหมือนกับว่านางกำลังระบายความทุกข์ใจออกมาทางน้ำตา
หากต่อไปข้าจะมีความเมตตากับผู้อื่น ข้าคงต้องคิดให้รอบคอบว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับม่านหรงในวันข้างหน้า
ม่านหรงเป็นแม่เองที่ผิด แม่ขอโทษเจ้า จากนี้ไปแม่จะเก็บความโชคดีนั้นมาใช้เพื่อเจ้าให้มากที่สุด
เหตุใดถึงได้เกิดเรื่องเช่นนั้นกับลูกสาวของข้าได้กันนะ ความตาย มันคงน่ากลัวมากเป็นแน่..
ตอนที่ม่านหรงสิ้นใจในน้ำนางจะดิ้นทุรนทุรายทรมานมากแค่ไหน เพียงแค่ข้าลองกลั้นหายใจเพียงนิดก็อึดอัดปานนั้น แล้วนางที่อายุเพียงแค่นั้น… ข้าเดาไม่ออกเลยว่านางต้องทุกข์ทนเพียงใด
ไม่เพียงเท่านั้น พอนางฟื้นกลับคืนมาได้ ข้าที่เป็นมารดาแท้ๆ กลับอยากใช้ประโยชน์จากความโชคดีนั้น ข้านี่มันช่างใจร้ายใจดำเสียจริง
ไป๋หลิวเหยากอดสามีพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ต้าผางทำได้แค่กอดปลอบโยนเมียรัก ไม่เพียงแค่นางหรอกที่เสียใจ เขาเองที่ก่อนหน้านี้ชอบกล่าวโทษม่านหรงอยู่บ่อยครั้งก็เสียใจไม่แพ้กัน
“พี่ม่านหรงท่านทำอันใดหรือเจ้าคะ”
โจวเจียหลินเดินมาหาม่านหรงด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าไม่อยู่กินไก่กับพ่อของเจ้าหรือ”
ม่านหรงเลิกคิ้วถาม
“ข้ากินมาแล้วเจ้าค่ะ ไก่ย่างอร่อยมากเลย ข้าอยากรู้ว่าพี่สาวไป๋ทำเช่นไร ไก่ถึงได้นุ่ม หอม อร่อยเช่นนั้น”
โจวเจียหลินคิดถึงรสชาติที่หอมกรุ่นติดลิ้นจึงอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากเล็กน้อย
“ข้าไม่ได้ทำอะไรมากหรอก เพียงแค่ทาเกลือ แล้วใช้ไฟอ่อนค่อยๆ ย่างไปเรื่อยๆ จนไก่สุกดีก็เท่านั้น”
ม่านหรงส่ายหัว นางนึกว่าวันนี้เด็กขี้สงสัยจะไม่มาหานางเสียแล้ว แต่พอนางเงียบหายที่นี่ก็เหมือนกับว่าไร้ผู้คน
“แล้วนั่นพี่สาวไป๋ทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
“ข้ากำลังตักน้ำมาเทราดหน้าดินหน่ะ หากดินตรงนี้ชุ่มขึ้นมา ข้าก็กะว่าจะทำแปลงผักสักหน่อย”
“ทำแปลงผัก? ก็ไม่เลวนะเจ้าคะ ข้าเองก็ไม่ได้กินผักมานานแล้วเช่นกัน”
“งั้นหรือ งั้นเจ้ามาช่วยข้าตักน้ำมารดหน้าดินดีหรือไม่ หากข้าปลูกผักสำเร็จข้าจะแบ่งผักให้เจ้าเล็กน้อย”
“จริงหรือเจ้าคะ ข้าจะช่วยพี่สาวไป๋เองเจ้าค่ะ”
โจวเจียหลินยิ้มกว้างก่อนจะนำถังไม้อีกใบมาช่วยม่านหรงทำงานอย่างขันแข็ง
…
“ท่านบอกว่าน้ำขายดีมากเลยใช่หรือไม่ เช่นนั้นหากเรานำน้ำของบ้านไป๋ไปเร่ขายบ้าง พวกเราจะต้องกอบโกยเงินมาได้มากมายเป็นแน่”
โจวชิงเหอผสานมือสองข้างไว้ช่วงอก ดวงตาของนางวูบไหวราวกับว่ากำลังฝันหวาน
“เจ้าหยุดคิดไปได้เลย น้ำสะอาดนั้นไม่ใช่ของพวกเรา ดังนั้นขอเพียงได้ค่าจ้างมาเล็กน้อยข้าก็พอใจมากแล้ว”
“นั่นสินะ เห้อ… ข้าล่ะอิจฉาหลิวเหยาจริงๆ นางเข้าไปที่ป่าไผ่ทุกครั้งก็ล้วนแต่จับไก่ป่าตัวอ้วนกลับมาได้ เหตุใดข้าถึงไม่โชคดีแบบนั้นบ้างนะ”
ชิงเหอกอดอกแล้วเบ้ปาก
“ในโลกนี้ไม่มีความโชคดีบ่อยนักหรอก ไก่ป่าพวกนั้นอาจจะแค่หลงฝูง อีกอย่างแม้ว่าเจ้าจะไม่มีโชค แต่เจ้าก็ยังมีลาภปากทุกวันไม่ใช่หรือ”
เหวินหลงหันไปส่งยิ้มให้กับเมียรัก
“สามีท่านกล่าวได้มีเหตุผล ถึงข้าจะอิจฉาครอบครัวไป๋อยู่บ้าง แต่ในยามนี้ข้าก็นับได้ว่ามีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าใครๆ จริงสิเจ้าคะ ข้าว่าจะขอไก่บ้านไป๋มาเลี้ยงสักตัวสองตัว หากมันออกไข่ได้บ้านเราก็จะมีไข่ไก่ไว้กิน”
“เรื่องนี้ เอาไว้ข้าจะถามต้าผางวันหลังก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นข้าก็ขอฝากความหวังไว้ที่ท่านแล้วนะ”
โจวชิงเหอยิ้มหวานก่อนจะหันไปทางบุตรชายที่ทำหน้ามุ่ยไม่รับแขก
“โจวเว่ย เจ้ามีความในใจหรือไม่”
โจวชิงเหอเอ่ยถามบุตรชายที่นั่งนิ่งเงียบ
“ข้ากำลังคิดอยู่ ว่าจะขอโทษม่านหรงอย่างไรดี”
“เกิดอันใดขึ้นงั้นหรือ”
ชิงเหอลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งข้างบุตรชาย
“ข้าอยากได้ส่วนแบ่งของบ้านไป๋ อีกทั้งข้ายังพูดไม่ดีต่อหน้าท่านลุงไป๋ด้วยขอรับ”
ใบหน้าของโจวเว่ยสลดลง
“อันที่จริงข้าคิดว่าการที่เราได้รับส่วนแบ่งจากการขายน้ำมาครึ่งนึงก็เหมาะสม แต่ท่านพ่อกล่าวว่านี่มันมากเกินไป แถมยังบอกว่าให้ม่านหรงเป็นคนตัดสินใจ ข้าเข้าใจขอรับว่าพวกเราในยามนี้พึ่งพิงบ้านไป๋แทบทุกอย่าง ทั้งน้ำทั้งอาหาร ยิ่งขากลับมาจากการเร่ขายน้ำ บ้านไป๋ยังมอบไก่ตัวอ้วนที่ย่างมาแล้วอย่างดีให้กับพวกเราอีก ข้าผิดไปแล้วจริงๆ”
โจวเว่ยสำนึกผิดแล้ว แต่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะไปบอกกล่าวม่านหรงตรงๆ แถมก่อนหน้ายังพูดว่าวิธีการของม่านหรงจะขายน้ำได้จริงหรือเปล่าอีก
“ลูกแม่ การขอโทษนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น ความโลภก็ขึ้นอยู่ที่ใจเรานึกคิด ในเมื่อลูกรู้ว่าลูกทำผิด ดังนั้น ลูกควรรู้ว่าต้องทำอย่างไรใช่หรือไม่”
โจวชิงเหอตบไหล่บุตรชายเบาๆ ก่อนจะขอไปล้างถ้วยชาม
“เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ”
เหวินหลงขึงตาใส่บุตรชายพลางโบกมือไล่เขาให้ไปขอโทษม่านหรงเสีย
“ขอรับ”
โจวเว่ยขานรับ แล้วเดินคอตกออกจากบ้าน พอเดินมาถึงลานบ้านของบ้านไป๋ เขาก็พบว่าม่านหรงกับน้องสาวของเขากำลังยกถังน้ำอยู่จึงเดินเข้าไปถามว่าพวกนางทำอะไรกัน
“พวกเจ้าจะยกน้ำไปที่ใดหรือ”
“พี่ชาย ข้ากำลังจะช่วยพี่สาวไป๋ทำแปลงผักเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เจียหลินตอบไป โจวเว่ยก็จำได้ว่าท่านลุงไป๋ซื้อเมล็ดพันธุ์ผักกลับมาด้วย เขาจึงอาสาว่าจะช่วยทำแปลงผักอีกแรง และอาศัยช่วงเวลาหนึ่งกล่าวขอโทษม่านหรงอย่างจริงใจ
“ที่แท้ก็เรื่องเล็กน้อย ข้าไม่ถือสาท่านหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างท่านก็อย่าคิดมากไปเลย อ๋อจริงสิ ช่วงบ่ายพวกท่านจะไปที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”
“ช่วงบ่ายพวกเราไม่ได้ไปไหน อีกอย่างเวลาเช่นนี้จะปลูกผักทำสวนยังยากพวกข้าจะทำอะไรได้”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเจ้าค่ะ ข้าว่าจะให้พวกท่านทำที่กำบังติดตั้งใส่เกวียนลาสักหน่อย หากมันเทอะทะเกินไปก็เพียงแค่ทำเสาสี่มุมขึ้นมาแล้วมัดผ้าบังแสงแดดไว้ด้านบนก็ได้”
“ที่กำบังหรือ”
โจวเว่ยเลิกคิ้วถาม
“อื้ม ข้าเห็นพวกท่านไปไหนมาไหนก็ต้องตากแดดทั้งวัน ร้อนก็ร้อน ข้าเลยคิดว่าหากเกวียนลามีหลังคาคงจะดีไม่น้อย นอกจากพวกท่านจะไม่ต้องทนร้อนแล้ว ก็ต่อเติมเกวียนลาอีกนิด ทำที่นั่งดีๆ หน่อย เพียงเท่านี้พวกท่านก็จะไปมาสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น”
ม่านหรงยิ้มกว้างออกมาพลางใช้ไม้มาขีดเขียนเป็นรูปภาพประกอบให้โจวเว่ยดู
