บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 16 ตั้งตารอ

“คนอื่นเขาหลับกันไปหมดแล้ว คงจะเหลือแต่ข้านี่แหละที่ยังนอนไม่หลับ”

ม่านหรงบ่นพึมพำเบาๆ แสงสีฟ้าอ่อนของหน้าต่างระบบก็ยังคงเจิดจ้าท่ามกลางความมืดเช่นเคย หากใช้งานมันแทนไฟฉายได้ นางคงไม่จำเป็นต้องพึ่งคบเพลิงในการออกไปยังที่มืดแล้ว

“บ้านมีแล้ว แหล่งน้ำมีแล้ว ห้องอาบน้ำมีแล้ว จะเหลือก็แต่ห้องสุขาที่ยังคงเป็นปัญหาสำหรับข้าอยู่”

ม่านหรงยกมือน้อยๆ ขึ้นมาก่ายหน้าผาก จำได้ว่าช่วงเย็นนางต้องแอบย่องเข้าไปที่พุ่มไม้เพื่อทำกิจวัตรส่วนตัว ทุกครั้งที่ปวดหนักหรือปวดเบานางก็ต้องทำเช่นนี้ เมื่อไหร่นางถึงจะมีห้องน้ำเป็นของตนเองเสียที

ไป๋ม่านหรงมองไปที่หน้าจอแสดงผล

ชื่อ ไป๋ ม่านหรง

อายุ 12 ปี

เพศ หญิง

ส่วนสูง 156 เซนติเมตร

ครั้งต่อไปที่จะได้รับกล่องสุ่ม

-นับถอยหลังอีก 5 วัน

พรที่ได้รับ (ติดตัว)

-ปากสาปแช่ง : สิ่งที่เปิดใช้งาน หน่อไม้/ไก่…

ของรางวัลที่ได้รับแล้ว

-คันโยกน้ำบาดาลไร้สิ้นสุด

“พรุ่งนี้ข้าจะใช้ปากสาปแช่งเพื่อขอบ้านจากกล่องสุ่ม”

ม่านหรงแทบจะอดทนรอไม่ไหวที่จะได้มีบ้านแบบสมัยใหม่มาครอบครอง

แน่นอนว่าบ้านพักที่นางต้องการก็ควรเป็นบ้านที่มีขนาดกว้างขวาง มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ที่สำคัญก็ต้องมีแหล่งพลังงานที่ไม่มีวันหมด

ม่านหลงคิดทบทวนอีกครั้ง ว่านางควรจะใช้งานปากสาปแช่งอย่างไรดี นางต้องการบ้านก็จริง แต่หากมีเพียงนางที่ได้รับบ้าน ท่านพ่อท่านแม่จะอยู่อย่างไร บ้านโจวที่พึ่งย้ายมาจะว่ามันแปลกประหลาดเกินไปไหม

แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังต้องการบ้านที่ให้ความอบอุ่น ที่นอนนิ่มๆ โซฟานุ่มๆ นั่นอยู่ดี

“เขาจะคิดอย่างไรมันก็เรื่องของพวกเขาสิ ขอแค่ได้บ้านมาข้าก็พอใจมากแล้ว”

ม่านหรงยกยิ้ม นั่นสิ เหตุใดนางต้องมาคิดแทนคนอื่นด้วย

รุ่งเช้า…

บ้านโจวกับบ้านไป๋แยกกันหุงหาอาหาร ม่านหรงมองไปที่ข้าวสารที่เหลือเพียงแค่หนึ่งถ้วย ก็ถึงกับเม้มปากแน่น ข้าวหมดแล้ว อาหารที่มีก็ลดน้อยลง

ม่านหรงตัดสินใจทำโจ๊กมันหวาน ถึงข้าวจะน้อยไปหน่อย แต่ถ้าเติมมันหวานลงไปสักหัวอย่างน้อยๆ ข้ากับครอบครัวก็อิ่มท้องไปได้อีกมื้อ

ไป๋ชิงเหอกับสามีขึ้นเขาแต่เช้ามืด พวกเขาหวังว่าจะได้หน่อไม้กลับบ้านเพื่อนำไปทำอาหารเช้า ทว่าสองผัวเมียแซ่ไป๋ก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นหน่อไม้ที่คิดว่าหมดไปแล้วงอกเงยขึ้นมาใหม่ละลานตา

ที่สำคัญ… ขากลับพวกเขาก็ยังจับไก่ป่ากลับมาได้อีกหกตัว และไก่ที่พวกเขาจับได้ดูเหมือนว่าจะตัวอ้วนพีมากกว่าเมื่อวาน แถมยังยืนนิ่งๆ ให้ต้าผางจับโดยง่าย พวกมันทำอย่างกับว่า กำลังรอคอยให้สองสามีมาจับพวกมันอยู่เลย

ต้าผางกับหลิวเหยามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ เรื่องนี้เหตุใดมันถึงได้พิลึกนัก

แม้ว่าจะพบเจอเรื่องพิสดารแต่เช้า แต่สองผัวเมียก็ยังส่งยิ้มหวานให้กัน แล้วเก็บหน่อไม้กลับมาที่บ้านหนึ่งตะกร้า ส่วนอีกตะกร้านั้นก็เต็มไปด้วยไก่ป่าที่นอนชูคอ เหมือนกับว่าพวกมันกำลังสงสัยว่าจะถูกพาไปที่ใด

“เมื่อวานเจ้าบอกว่าไก่พวกนั้นหลับอยู่ใช่หรือไม่”

ต้าผางหันไปทางเมียรักที่เดินเคียงกันลงมาจากเชิงเขา

“ใช่เจ้าค่ะ เมื่อวานข้าเจอไก่ห้าตัวก็นับว่าโชคดีมากแล้ว แต่มาวันนี้ได้แม่ไก่กลับมาอีกตั้งหกตัว เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เชิงเขานี้มีแม่ไก่แอบซ่อนตัวอยู่มากมาย”

หลิวเหยายิ้มกว้าง นางดีใจมากที่จะไม่ต้องอดอาหารเพราะข้าวสารหมดไป ถึงจะไม่มีข้าวก็ยังมีไก่ให้ย่างกินได้

“อืม เจ้าโชคดีจริงๆ”

ต้าผางถอนหายใจออกมา ความโชคดีนี้แลกมาด้วยความตายหนึ่งครั้งของลูกสาว แม้นเขาอยากจะยิ้มออกมา แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ

หากพวกเขายังโชคดีต่อไปอีก แล้วม่านหรงเล่า มันจะเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้นกับนางหรือไม่ ต้าผางขมวดคิ้วเข้าหากัน

“อ้าวลูกแม่ เจ้าตื่นแล้วหรือ”

ทันทีที่เดินกลับมาถึงบ้าน ไป๋หลิวเหยาก็วางตะกร้าหน่อไม้ลงข้างห้องครัว ต้าผางวางตะกร้าที่เต็มไปด้วยไก่ลงเช่นกัน เขาตั้งใจกระแอมเล็กน้อย เพื่อส่งสัญญาณให้ม่านหรงหันมาทางเขา

“ท่านพ่อได้ไก่มาอีกแล้วหรือเจ้าคะ”

ม่านหรงขมวดคิ้ว เมื่อวานข้าพึ่งจะทำกรงขังให้เพื่อนพวกเจ้าไป วันนี้พวกเจ้าก็มากันตั้งแต่เช้า ถ้ายังคงเป็นแบบนี้ เห็นทีข้าคงต้องทำเล้าไก่ใหญ่ๆ ไว้แล้วมั้งถึงจะมีพื้นที่เพียงพอเลี้ยงพวกเจ้าทั้งหมดได้

ต้าผางเห็นลูกสาวทำท่าทางตึงเครียด เขารู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลยสำหรับม่านหรง หากความโชคดีนี้มีผลต่อม่านหรงจริงๆ เขาที่เป็นพ่อจะต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยนางได้บ้าง

“นี่คืออะไรหรือ”

ไป๋หลิวเหยาชี้ไปที่หม้อข้าว

“อ๋อ นี่คือโจ๊กมันหวานเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าข้าวในห้องครัวเหลือเพียงแค่ถ้วยเดียว ดังนั้นข้าจึงทำโจ๊กมันหวานแทน”

ม่านหรงตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ราวกับว่านางไม่ได้ตื่นเต้นสักนิดที่ได้เห็นว่าที่บ้านมีไก่เพิ่มขึ้นมา

“หลิวเหยาข้าหิวน้ำ เจ้าไปตักน้ำมาให้ข้าหน่อยสิ”

ต้าผางเห็นเมียรักดีใจ กลับกันใบหน้าของลูกสาวกับเหมือนว่ามีบางอย่างในใจ เขาจึงบอกให้เมียรักไปทางอื่นก่อนสักครู่ เพื่อที่จะได้พูดคุยกับม่านหรงอย่างจริงจัง

“นี่คือสิ่งที่ลูกได้รับมาหรือไม่”

ทันทีที่หลิวเหยาเดินออกไป ต้าผางก็เอ่ยปากถามลูกสาวและชี้นิ้วมือไปทางแม่ไก่ในตะกร้า

“เจ้าค่ะ”

ม่านหรงไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด

“แล้วเจ้าเป็นอะไรหรือไม่ พ่อหมายถึงว่าสิ่งที่เจ้าได้รับมา …มันจะส่งผลไม่ดีต่อเจ้าหรือเปล่า”

“คงจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”

“เจ้าได้รับผลกระทบเพราะมันด้วยงั้นหรือ”

ต้าผางเดินเข้าไปจับไหล่บางของลูกสาวและสำรวจดูว่านางเจ็บป่วย หรือไม่สบายตรงไหนหรือไม่

“เห้อ ผลกระทบก็คือ ข้าต้องทำเล้าไก่ และหาอาหารให้พวกมันกินนั่นล่ะเจ้าค่ะ”

ม่านหรงตีหน้าเศร้า ไก่เหล่านี้จะมีมากขึ้นทุกๆ วัน แต่นางไร้หนทางหาอาหารมาให้ ช่างเป็นเรื่องน่าลำบากใจอะไรเช่นนี้ ครั้นจะให้พวกมันกินแต่เศษอาหาร ต่อไปไก่ตัวอ้วนพีก็คงได้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

“เจ้าไม่ได้เจ็บป่วยใช่หรือไม่”

ต้าผางย่นหัวคิ้วเข้าหากัน

“ก็ไม่หนิเจ้าคะ”

ม่านหรงเลิกคิ้วเรียวขึ้นอย่างสงสัย ข้าป่วยงั้นเหรอ เห็นชัดๆ อยู่ว่าข้าสบายดี

“เช่นนั้นเจ้าคิดมากเพราะไม่มีอาหารให้ไก่กินงั้นสินะ”

ม่านหรงพยักหน้า ต้าผางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ

“พ่อก็เผลอคิดไปว่าเรื่องดีๆ จะทำให้เจ้า…”

ต้าผางไม่กล้าพูดคำว่า ตาย ให้ลูกสาวได้ยิน หากเรื่องดีๆ ทำให้นางต้องมาจบชีวิตลงอีกล่ะก็ เช่นนั้นเรื่องดีๆ เหล่านี้ เขาล้วนไม่ต้องการมัน!

“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ จริงสิ”

พอม่านหรงนึกขึ้นมาได้ว่าอีกห้าวันจะมีบ้านปรากฏขึ้นมา นางก็รีบกระซิบบอกผู้เป็นพ่อไปว่าให้เตรียมใจ

“หา บ้านรึ?”

บุตรสาวข้าหมายถึงบ้านทั้งหลังจะโผล่ออกมาเนี่ยนะ!! นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยหรือ?

“ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยข้าปกปิดมันนะเจ้าคะ”

ม่านหรงเกาะแขนบิดาไว้แน่น หวังให้เขาช่วยหาทางออกให้กับตน

“ลูกพ่อ ไก่กับหน่อไม้ และคันโยกนี้ พ่อพอช่วยเจ้าพูดได้ แต่บ้านทั้งหลังนี่…”

ต้าผางส่ายหัวพลางถอนหายใจออกมา

หากเขาบอกคนอื่นๆ ไปว่า ที่ตรงนี้ได้รับพรมาจากเจ้าแห่งนรก ยังจะมีใครที่จะเชื่อเขาได้ลง ต้าผางถอนหายใจออกมาเสียงดัง

“น้ำสะอาดเย็นชื่นใจมาแล้วเจ้าค่ะ”

เสียงของหลิวเหยาดังมาแต่ไกล ม่านหรงจึงเขยิบออกห่างจากบิดาในทันที

ต้าผางมองค้อนลูกสาวที่ขอพรแปลกๆ อะไรนั่นมา ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าม่านหรงได้รับพรมาจากเจ้าแห่งความตาย แต่ดูๆ แล้วพรนี้มันออกจะเกินจริงไปมาก แถมพรที่ทำให้บ้านโผล่ออกมาได้นี่…

เห้อ… หากคนไม่รู้ คงจะคิดว่าที่นี่มีเทพเซียนคุ้มครองจริงๆ แล้วกระมัง

“ท่านพ่อ…”

ม่านหรงสะกิดผู้เป็นพ่อ และขยับปากเรียกเขาโดยไร้เสียง

“เห้อ… ก็ได้ๆ ”

ต้าผางถอนหายใจออกมาแรงๆ

“อะไรหรือเจ้าคะ”

หลิวเหยาที่พึ่งมาถึงมองสามีสลับกับมองลูกสาวอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ลูกของเจ้านางจะให้ข้าทำเล้าไก่ให้หน่ะสิ”

ต้าผางหลุบตาลงต่ำ เขาไม่กล้าสบตากับเมียรัก เพราะกลัวว่านางจะจับได้ที่ตนโกหกคำโตออกไป ถึงเรื่องทำเล้าไก่จะเป็นจริง แต่เขาก็รู้สึกไม่ดีที่ต้องมาปิดปังเมียรักแบบนี้

เมื่อม่านหรงได้รับคำตอบนางก็ฉีกยิ้มกว้าง แล้วขอตัวเข้าไปพักในบ้านก่อน

“ทำเล้าไก่ก็ดีนะเจ้าคะ ถ้าพรุ่งนี้พวกเราจับไก่มาได้อีกก็คงจะดีไม่น้อย”

พอหลิวเหยาพูดขึ้น ต้าผางก็ถึงกับกุมขมับ แน่นอนว่าพรุ่งนี้ต้องมีไก่มาเพิ่มอีกเป็นแน่

ต่อจากนี้เขาคงจะกลายเป็นคนเลี้ยงไก่ ต้าผางอดขำออกมาไม่ได้จึงได้แต่ยืนอมยิ้มจนตัวสั่นไปหมด

ขอแค่ไม่ส่งผลเสียต่อบุตรสาว จะได้ไก่มากน้อยเขาก็ไร้เรื่องกวนใจแล้ว

“เลี้ยงไก่ก็ดี เจ้ากับลูกจะได้มีไข่ไก่กิน อีกอย่างหากหิวก็จับพวกมันมาทำน้ำแกงเสีย หรือจับถอนขนไปขาย แบบนี้อาจจะพอแลกข้าวสารกลับมาได้บ้าง”

ต้าผางกล่าวกับเมียรัก แล้วดื่มน้ำเย็นฉ่ำลงคอไป

“ขายไก่? ก็ไม่เลวเลยนะเจ้าคะ ข้าขอไปบ้านโจวก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปบอกพี่สาวโจวว่าบนเขายังมีหน่อไม้เหลืออยู่อีก”

ต้าผางโบกมือให้เมียรัก นางจึงเดินเร็วๆ จากไป

“ให้ตายสิ แล้วข้าจะบอกคนอื่นๆ อย่างไรเกี่ยวกับบ้านที่จะได้รับมา”

ต้าผางมองเข้าไปในตัวบ้านที่มีลูกสาวอยู่ด้านในแล้วส่ายหัว

ไม่ว่ามันจะเป็นพรหรือความโชคดีอะไรก็ตามเถอะ ขอแค่ม่านหรงปลอดภัย เรื่องอื่นๆ เขาจะแบกรับเอาไว้เอง

ช่วงสาย (ยามซื่อ) บ้านโจวกับบ้านไป๋ช่วยกันยกโอ่งน้ำของบ้านโจวขึ้นเกวียนลา จากนั้นก็เตรียมกระบอกไม้ไผ่สิบกว่าอัน ต้าผาง เหวินหลง โจวเว่ย สามชายชาตรีก็พากันขนน้ำออกไปเร่ขาย

เจียหลินอยากจะไปพูดคุยกับพี่สาวไป๋ แต่นางก็เห็นพี่สาวไป๋นำเสื้อผ้าออกมาซัก เจียหลินเดินกลับไปที่บ้านแล้วจับเสื้อผ้าที่ใช้งานแล้วของทางบ้านมานั่งซักเช่นกัน

หลิวเหยาชวนพี่สาวโจวขึ้นเขาไปเก็บหน่อไม้ โจวชิงเหอเห็นลูกสาวรู้ความก็พยักหน้าตอบรับ และสะพายตะกร้าขึ้นหลังแล้วเดินยิ้มพุดคุยกับหลิวเหยาไปทางเชิงเขาด้วยความสบายใจ

“ท่านพ่อ น้ำสะอาดนี้จะขายได้จริงๆ หรือ”

โจวเว่ยพูดขึ้นในขณะที่เกวียนลาเคลื่อนที่ออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

“ขายได้ไม่ได้อะไรกัน เราแค่มาสำรวจดูว่าคนมีฐานะเขาต้องการมันหรือไม่แค่นั้น”

เหวินหลงหันกลับไปบอกลูกชายในขณะที่บังคับเกวียนลาไปด้วย

“อย่าลืมบอกคนอื่นๆ ด้วยล่ะ ว่าน้ำนี้พวกเรากรองมาอย่างไร ห้ามบอกเด็ดขาดว่าได้น้ำนี้มาจากไหน”

ต้าผางกล่าวเน้นย้ำทุกคน หากพวกเขาบอกว่าน้ำนี้ได้มาอย่างง่ายๆ คนรวยพวกนั้นคงแห่กันมาขอน้ำใช้กันฟรีๆ อย่างที่ม่านหรงบอก

ดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากบ้าน ม่านหรงจึงให้บอกไปว่า น้ำนี้ ผ่านการกรองสิ่งสกปรกออกไปแล้ว น้ำถึงได้บริสุทธิ์ ใส สะอาด ทั้งยังผ่านการต้มด้วยความร้อนมาอย่างดี

“รู้แล้วๆ น้ำนี่ใสสะอาด ผ่านการกรองด้วยการใช้สำลีถึงสามชั้น และผ่านการต้มเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกไปอย่างดี”

เหวินหลงรีบตอบเพื่อนสนิท ส่วนโจวเว่ยก็พยักหน้าเข้าใจ

ถึงคำพูดพวกนี้จะดูไร้สาระไปบ้าง ใครกันจะมานั่งกรองน้ำให้ใสสะอาดและผ่านการต้มอย่างพิถีพิถัน แต่อย่างที่ม่านหรงบอก ถ้าพูดเช่นนี้การขายน้ำก็จะราบรื่น เพราะทุกคนจะคิดว่าพวกเราลำบากมากกว่าจะได้น้ำดีๆ มา

โจวเว่ยถึงกับหัวเราะในตอนแรก แต่ม่านหรงก็บอกว่ามันทำได้จริง หากนำน้ำในชุมชนมากรองผ่านสำลีสามชั้น น้ำก็จะใสสะอาดขึ้นมานิดหน่อย ยิ่งแต่ล่ะชั้นของการกรองมีเศษหิน เม็ดทรายแทรกอยู่ด้วย น้ำที่ได้ก็ยิ่งสะอาด หากผ่านการต้มมาแล้วด้วยน้ำก็ยิ่งจะปลอดภัย

ม่านหรงยังบอกอีกว่าหากขายน้ำได้ กลับไปนางจะทำให้ทุกคนดูว่า สิ่งที่นางพูดนั้นไม่เกินจริงเลย

โจวเว่ยตั้งตารอคอยเวลานั้น เขาอยากรู้ว่าสิ่งที่ม่านหรงกล่าวนั้นจริงหรือหลอกลวงกันแน่ ดังนั้นวันนี้เขาจะขายน้ำนี่ให้จงได้ แม้จะเป็นเพียงแค่กระบอกเดียวเขาก็พอใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel