บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 15 ขนของ

“เจ้าไปอยู่ที่เชิงเขาหากติดขัดอันใดก็ให้มาหาแม่เข้าใจหรือไม่”

โจวหลิงเยี่ยน มารดาของเหวินหลงวัยสี่สิบแปดปี เดินเข้ามากุมมือบุตรชาย ก่อนที่จะกวักมือเรียกหลานชายให้เข้าไปรับเงินขวัญถุง

“ขอบคุณขอรับท่านย่า”

โจวเว่ยคลี่ยิ้มออกมาและรับเอาถุงใบเล็กมาเก็บไว้ในอกเสื้อ

“เด็กดี ดูแลน้องกับพ่อแม่ของเจ้าให้ดีๆ ล่ะ”

นางโจวลูบหัวหลานชาย

“ขอรับ”

โจวเว่ยรับคำ

“ท่านแม่ ข้ากับครอบครัวแค่แยกบ้านอยู่ อ่อจริงสิขอรับ ข้าได้นำหน่อไม้บนเขามาด้วย ถึงมันจะมีไม่มากนัก…”

เหวินหลงรีบเดินเร็วๆ ไปที่เกวียนลาข้างที่นั่งคนบังคับเกวียน เขายกห่อผ้าลงมาแล้วส่งห่อผ้านั้นให้มารดาด้วยรอยยิ้ม

“ขอบใจๆ หากหน่อไม้มีมาก เจ้าก็เก็บไว้ทำอาหารเถอะ คราวหลังไม่ต้องลำบากห่อกลับบ้านมาก็ได้”

โจวหลิงเยี่ยนอมยิ้มแล้วก้มมองหน่อไม้ในห่อผ้า

“ไปเถอะๆ ขืนเจ้ายังทำตัวชักช้าอยู่อีก เย็นนี้คงจะจัดการเรื่องที่อยู่ไม่เรียบร้อยเสียที”

โจวต้านเป่า บิดาของโจวเหวินหลงรีบโบกมือไล่บุตรชาย ขืนเขามัวแต่พูดคุยกันอยู่แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่ที่พักอาศัยจะเข้าที่เข้าทาง

“อย่าห่วงไปเลยขอรับท่านพ่อ ข้ากับต้าผางช่วยกันทำที่พักเสร็จหมดแล้ว แค่ขนที่นอนกับห่อผ้านี้ไปเก็บให้เข้าที่ ก็นอนหลับพักผ่อนได้แล้วล่ะขอรับ”

เหวินหลงหันไปทางบิดาพลางบอกว่าตนเตรียมการเรียบร้อยหมดแล้ว

“อย่างน้อยๆ เจ้าก็ควรรีบเร่งให้มากกว่านี้ มืดค่ำขึ้นมาประเดี๋ยวก็ลำบากลูกเมียของเจ้าอีก”

โจวต้านเป่าถอนหายใจพลางโบกมือไล่บุตรชายคนเล็กอีกครั้ง

“ท่านลุง ท่านปู่ ท่านย่าข้าลานะขอรับ”

โจวเว่ยผสานมือก้มหัวก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งข้างที่คนบังคับลา

“ข้าไปนะขอรับ”

เหวินหลงยิ้มกว้างแล้วหันไปลาทางพ่อกับแม่และพี่ชาย

ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้จะไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย วันนี้เป็นวันแยกบ้านของตนแท้ๆ แต่นางกลับไม่ออกมาส่งเขาเลยสักนิด

เหวินหลงหันไปทางบ้านพี่ชายก่อนจะลดรอยยิ้มลงเล็กน้อยแล้วหันหลังจากไป

“เจี้ยนจื่อ เมียและลูกของเจ้านี่ยังไงกัน น้องชายของเจ้าย้ายออกจากบ้านขนของเสียงดังอึกทึกขนาดนี้ พวกเขายังไม่ออกมาจากบ้านกันอีกรึ”

โจวต้านเป่าหันไปทางบุตรชายคนโตแล้วกล่าวตำหนิ

“ท่านพ่อคงไม่ทราบ เมียกับลูกของข้าออกไปตักน้ำที่บ่อป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยขอรับ”

โจวเจี้ยนจื่อบอกกล่าวบิดาไปตามจริง

“เหลวไหล! รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้บ้านเล็กจะย้ายออก แต่นางกลับมัวไปเถลไถลข้างนอก แถมยังพาหลานๆ ข้าออกไปด้วยอีก ข้ารู้นะว่าเมียเจ้าทำอะไรไว้กับครอบครัวของน้องชายเจ้าบ้าง นางเห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าบ้านอื่นๆ ก็ตุนเสบียงเช่นกัน แต่นางกลับคอยจ้องแต่จะขอส่วนแบ่งเสบียงกับน้องชายของเจ้าเสมอมา ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องนี้เลยจริงๆ แต่มันคันปากจนอดไม่ไหว เห้อ… ช่างเถอะๆ ต่อไปเหวินหลงก็คงไม่กลับมาแล้ว หวังว่าเมียของเจ้าจะเลิกนิสัยคอยจับผิดผู้อื่นได้เสียที”

โจวต้านเป่าส่ายหัวก่อนจะเดินเข้าบ้านหลักไป

ในรั้วบ้านของบ้านโจว มีบ้านสามหลังอยู่ติดกัน บ้านที่อยู่ตรงกลางคือบ้านหลัก ซึ่งเป็นบ้านที่โจวต้านเป่ากับโจวหลิงเยี่ยนอาศัยอยู่ และเป็นบ้านที่สองพี่น้องเคยอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เกิด

บ้านทางขวามือปัจจุบัน เป็นบ้านพี่ชายที่แยกเรือนออกไปตอนแต่งงาน

บ้านทางซ้าย เป็นของเหวินหลงที่สร้างไว้เมื่อคราวออกเรือนเช่นกัน

หลังจากที่ภัยแล้งเริ่มต้น ทุกบ้านเรือนก็พากันตุนข้าวของเก็บไว้

โจวลี่เสวี่ย - ภรรยาเจี้ยนจื่อทำหน้าที่ดูแลบ้านและคอยทำความสะอาดบ้านให้พ่อกับแม่สามี บ้านเล็กของเหวินหลงมีหน้าที่ทำอาหารส่งให้พ่อกับแม่

แต่พักหลังๆ เนื่องจากข้าวของหายากขึ้นเรื่อยๆ บ้านเล็กที่ขยันทำมาหากินก็เก็บตุนเสบียงไว้ได้มากจนทำให้พี่สะใภ้อิจฉาตาร้อน ถึงจะพูดว่านางอิจฉาแต่จริงๆ นางก็สามารถไปทำงานแลกสิ่งของเองได้ ทว่านางกลับอ้างว่า… หากข้าไปทำงานแล้วใครจะดูแลบ้านเรือน!!

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าบ้านใหญ่ของพี่ชายมีเสบียงน้อย และเมื่อนางเห็นบ้านของเหวินหลงได้ของกินมามากมาย นางจึงเกิดความริษยา อยากได้อยากมีของคนอื่นเขา

เรื่องราวใหญ่โตขึ้นเมื่อทุกอย่างกำลังซบเซา โจวลี่เสวี่ยออกปากพูดกับสามีว่าบ้านเล็กมีอาหารและสิ่งของมาก แต่พวกเขาไม่คิดจะแบ่งปัน นางทั้งพูดต่อหน้าและลับหลังบ้านเล็กว่า เห็นแก่ตัว ไม่รู้จักเผื่อแผ่

พอเหวินหลงได้ยินเข้า เขาก็เกิดความไม่พอใจ เพราะสิ่งของที่เขาหามาได้ก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง สุดท้าย คนที่หยุดความวุ่นวายในครั้งนั้นก็เป็นโจวต้านเป่าซึ่งยังคงเป็นผู้นำครอบครัวอยู่ เขาบอกว่า ของที่หามาได้ก็เก็บไว้ได้ แต่ก็ควรแบ่งปันกันเล็กน้อย

โจวลี่เสวี่ยเหมือนไม่พอใจที่ได้รับส่วนแบ่งน้อยเกินไป ตั้งแต่วันนั้นมา นางจึงคอยมาพูดแขวะบ้านเล็กจนทะเลาะกับเหวินหลงใหญ่โต และท้ายที่สุดก็มองหน้ากันไม่ติด

ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่เหวินหลงได้อาหารกลับบ้านมา เขาก็จำต้องแบ่งส่วนหนึ่งให้บ้านของพี่ชาย รวมถึงต้องแบ่งของให้กับพ่อและแม่ซึ่งเขาก็ทำเช่นนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว

แต่ถึงกระนั้น โจวลี่เสวี่ยที่เป็นพี่สะใภ้ก็ยังมิวาย นางบ่นให้เขาว่าไม่เท่าเทียม ควรแบ่งอาหารให้บ้านทุกหลังในจำนวนที่เท่าๆ กัน ในทีแรกเจี้ยนจื่อยังพอพูดห้ามปรามเมียได้บ้าง แต่พักหลังๆ มานี้เหมือนนางจะไม่ฟังคำของเขาเลย เจี้ยนจื่อเองก็จนปัญญา เขาไม่อยากมีปากเสียงในครอบครัวเพราะเกรงจะกระทบกับลูกทั้งสองของเขา ดังนั้น เขาจึงได้แต่เมินเฉยต่อนาง และคอยแอบนำของมาคืนให้น้องชายในยามที่นางไม่อยู่บ้าน

โจวเจี้ยนจื่อถอนหายใจออกมาเมื่อได้รับคำตักเตือนจากบิดา

“เห้อ… ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่บางครั้งเจ้าที่เป็นผู้นำก็ต้องชัดเจนให้มากกว่านี้”

โจวหลิงเยี่ยนลูบหัวไหล่บุตรชาย

สองพี่น้องช่างไม่เหมือนกันแม้แต่นิด พี่ชายเรียบร้อย พูดน้อย ส่วนผู้เป็นน้องถึงจะห่วงเล่นไปหน่อยแต่ก็จริงจังกับงานและไม่ยอมคน

‘หากเจี้ยนจื่อเป็นเหมือนเหวินหลงที่คุมคนในบ้านได้คงจะดีกว่านี้’ โจวหลิงเยี่ยนผู้เป็นมารดาถอนหายใจออกมา

“ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้น”

โจวเจี้ยนจื่อถอนหายใจออกมา เขาตามใจภรรยาเกินไปจนนางกลายเป็นแบบนี้ ส่วนลูกๆ ของเขา ถึงจะรู้ความเพราะได้รับการสอนสั่งจากท่านปู่และท่านย่า แต่พวกเขาก็เชื่อฟังมารดาเสียส่วนใหญ่ หวังว่าพอเหวินหลงจากไปแล้วนางจะเลิกนิสัยชอบสอดส่องผู้อื่นได้เสียที

“ท่านพ่อเหตุใดท่านถึงยังยิ้มอยู่อีกล่ะขอรับ”

โจวเว่ยเอ่ยถามบิดาของเขา

“หลุดพ้นจากความวุ่นวาย ก็ต้องมีความสุขสิถึงจะถูก”

เหวินหลงตอบบุตรชาย

“แล้วท่านพ่อไม่เป็นห่วงท่านปู่กับท่านย่าหรือขอรับ”

“แน่นอนว่าพ่อต้องห่วงใยพวกท่าน พ่อถึงได้นำหน่อไม้จำนวนหนึ่งมอบให้พวกท่านเก็บไว้ หึ คอยดูเถอะ หลังจากที่พวกเราแยกตัวออกมา นางก็คงต้องเหนื่อยขึ้นเป็นเท่าตัวเป็นแน่”

มุมปากของเหวินหลงยกขึ้นอย่างพอใจ

“ท่านพ่อหมายถึงท่านป้าลี่เสวี่ยหรือขอรับ”

“แน่นอนสิ เมื่อก่อนคนที่รับหน้าที่ทำความสะอาดบ้านทำอาหารให้ปู่กับย่าก็เป็นแม่ของเจ้า หลังจากที่พวกเราแยกออกมานางก็ต้องทำหน้าที่นั้นโดยเลี่ยงไม่ได้”

“ท่านพ่อขอรับ ท่านแม่ทำแค่อาหารไม่ใช่หรือ”

โจวเว่ยเลิกคิ้วถาม

“นั่นคือสิ่งที่เจ้าได้ยินมา แต่เรื่องจริงคือแม่ของเจ้าเป็นคนทำทั้งหมด”

“เช่นนั้นท่านป้าก็แอบอ้างใช้ชื่อท่านแม่หน่ะสิขอรับ”

“เรื่องนั้นแม่ของเจ้าไม่ถือสาหรอกนะ เพราะอย่างไรเสียท่านปู่กับท่านย่าของเจ้าก็รู้ดีอยู่เต็มอก”

เหวินหลงยิ้มกว้างออกมา

“ข้าก็ว่า เหตุใดทุกครั้งที่ท่านแม่ไปบ้านหลักถึงได้อยู่นานมากนัก ที่แท้…”

“เจ้ายังเด็ก ไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องพวกนี้หรอก”

เหวินหลงลูบหัวบุตรชาย

“ใครว่าข้าเด็กกัน ปีนี้ข้าอายุสิบสามปีแล้วนะ อีกไม่กี่ปีข้าก็จะหาเมียและออกเรือนได้แล้ว”

โจวเว่ยคว่ำปากลง เขาโตขนาดนี้แล้ว สูงเกือบเท่าพ่อแล้ว แต่พ่อของเขาก็มักมองว่าเขาเป็นเด็กเสมอ

“นั่นสินะ เจ้าใกล้ถึงเวลาหาเมียเข้าบ้านแล้ว แต่ทำอย่างไรดีเล่า พ่อไม่มีอีแปะไปขอเมียให้เจ้าในเวลาเช่นนี้ด้วยสิ”

“หึ ข้ายังไม่มีหญิงที่ถูกใจเลยด้วยซ้ำ แต่งงานหาเมียอะไร ใครเขาสนใจกัน”

โจวเว่ยกอดอกแน่น ถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาก็แอบมองแม่นางคนหนึ่งเอาไว้ในใจแล้ว

“เอาไว้รอให้พ้นความลำบากครั้งนี้ไปก่อนนะ พ่อจะให้เจ้าเลือกดูว่าถึงเวลานั้นเจ้าชอบพอใคร”

“ก็ข้าพึ่งบอกท่านไปอย่างไรเล่า ว่าข้ายังไม่สนใจเรื่องนี้”

สองพ่อลูกพูดจาหยอกล้อกันจนกระทั่งกลับมาถึงตีนเขาและขับเกวียนเข้าไปด้านใน โดยใช้เส้นทางเล็กๆ อ้อมผ่านบ้านของต้าผางเข้าไปด้วยรอยยิ้ม

“ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”

ชิงเหอที่เดินมาเอาน้ำที่คันโยกเอ่ยถาม

“มาแล้ว แล้วเจียหลินนางไปที่ใด”

เหวินหลงชะเง้อคอหาบุตรสาว

“นางไปเก็บไม้ฟืนหน่ะเจ้าค่ะ”

“เจียหลินของพวกเราเก่งขนาดนี้เชียว”

เหวินหลงเลิกคิ้วอย่างสงสัย

“ท่านพี่ ลูกสาวเราอยู่ในวัยเรียนรู้ ยิ่งได้อยู่ใกล้กับม่านหลง นางก็ยิ่งมีทัศนคติที่ดียิ่งขึ้น แถมนางรู้จักช่วยงานและแบ่งเบาภาระของข้าแล้ว”

โจวชิงเหอกล่าวชมลูกสาว

“เป็นเช่นนั้นหรือ”

เหวินหลงยกคิ้วสูง ม่านหรงนี่นะที่จะเปลี่ยนเจียหลินได้

“แน่นอนสิเจ้าคะ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ท่านเคยเห็นเจียหลินช่วยงานหรือไม่เล่า”

โจวชิงเหอพูดยิ้มๆ

“ท่านแม่ขอรับ ข้าว่านางไม่มีเพื่อนเล่นเสียมากกว่า นางถึงได้มาคอยช่วยงานและหาเพื่อนคุยแทน ถ้าตอนนี้นางอยู่ในหมู่บ้านก็คงเป็นเช่นเดินนั่นแหละ”

โจวเว่ยส่ายหัว ฮึ เพียงแค่วันเดียวเจียหลินจะเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน

“เจ้าก็พูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ นั่นน้องสาวของเจ้านะ รู้จักเอาใจนางบ้าง กล่าวชมนางหน่อย”

ชิงเหอหันไปต่อว่าบุตรชาย เห็นๆ อยู่ว่าเจียหลินเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เจ้าลูกชายคนนี้ก็เอาแต่กล่าวหาว่าน้องห่วงแต่เล่นอยู่นั่นแหละ

“ขอรับๆ ข้าทราบแล้ว หากครั้งหน้าข้าเห็นนางทำดี ขยัน ข้าจะเอ่ยปากชมเชยนางเป็นแน่”

โจวเว่ยยิ้มเจื่อนๆ พลางตอบมารดาไป ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้เขาเป็นพี่ของนางล่ะ สุดท้ายก็ต้องยอมนางอยู่วันยังค่ำ

“เร็วเข้ารีบขนของเข้าที่พักกันเถอะ”

ชิงเหอหันไปบอกสามีและบุตรชาย ทั้งสามจึงช่วยกันทำงานอย่างรีบร้อน

ตกเย็นข้างบ้านไป๋ก็มีแสงไฟเพิ่มมาหลายดวง เหวินหลงกลัวว่ากลางคืนจะมืดมากเกินไปเขาจึงลงทุนจุดคบเพลิงเพิ่มมาอีกหลายจุด ความเงียบเชียบในบริเวณใกล้ตีนเขานี้ ชวนให้คนมาใหม่รู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไหร่นัก

เมื่อก่อนมีคนกล่าวว่า นายพรานกลุ่มหนึ่งเจอเข้ากับเสือเจ้าถิ่น โชคดีที่คนกลุ่มนั้นรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่เรื่องนั้นมันก็นานมาแล้ว ถึงจะเป็นแบบนั้นความคิดของคนเรานั่นแหละที่น่ากลัว คิดไปเอง หวาดระแวงไปเอง จนนอนหลับตาไม่ลง

“ท่านพี่ ท่านจะนอนพลิกตัวไปมาอะไรบ่อยนักหรือเจ้าคะ”

หลังมื้อค่ำจบลง คนบ้านโจวก็แยกย้ายกันเข้านอน เจียหลินบอกว่านางไปล้างตัวที่ห้องอาบน้ำมาแล้วรู้สึกสบายตัวมาก บ้านโจวจึงทยอยไปชะล้างร่างกายบ้าง แต่ทันทีที่เข้านอน โจวเหวินหลงก็เกิดความคิดที่ไม่ควรขึ้นมา เขากลัวว่าจะมีเสือลงมาจากเขา แล้วทำให้เกิดเรื่องโชคร้ายขึ้น ทว่าเขาก็ไม่กล้าพูดออกไปเพราะกลัวเมียรักจะคิดมากไปตามๆ กัน

“ข้าทำให้เจ้าตื่นหรือ ขอโทษนะข้ายังไม่ชินกับเตียงนอนใหม่ เลยพลิกตัวบ่อยไปหน่อย”

ชิงเหอไม่ได้พูดอะไรนางเพียงแค่ส่งยิ้มในความมืดให้เขาและมอบความอบอุ่นให้เขาผ่อนคลาย

‘ข้ารู้ว่าท่านคิดมากหลายอย่าง แต่ขอบคุณท่านมากที่นำพาข้ากับลูกๆ ออกมาจากความทุกข์ใจ’

ชิงเหอกระชับอ้อมกอด แล้วนอนซบตรงช่วงอกของเหวินหลงก่อนจะหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel